ตอนที่ 185 ความลับ / ตอนที่ 186 ไป๋หลัวซื่อ

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 185 ความลับ

เมิ่งหนานแบมือ “บอกเรื่องนี้กับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ให้พวกเขาไปหาใต้เท้ากู้เถอะ” เขาเป็นแค่ผู้ตัดสินคดีเล็กๆ เรื่องบางเรื่องที่จัดการในทุกวันนี้ก็เหนือขอบเขตที่เดิมทีเขาควรจะทำแล้ว เรื่องผู้ประสบภัยนี้เกี่ยวข้องกับหลายๆ ฝ่าย เขาไม่มีสิทธิอะไรจะไปจัดการ

ระหว่างทางกลับหมู่บ้านหวงถัว จู่ๆ หูเฟิงก็รู้สึกแปลกๆ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งโมโห จึงหยุดม้าโดยพลัน แล้วหมุนกายลอดเข้าไปในรถ

ไป๋จื่อกำลังพิงอยู่ในรถ สะลึมสะลือ เมื่อรถม้าหยุดลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางไม่ทันได้ตั้งตัวสักนิด ร่างกายจึงทิ่มไปข้างหน้าตามความหนืด ตัวพาดอยู่บนแท่นที่นั่งในรถดังโครม ในจมูกมีของเหลวร้อนไหลออกมาสายหนึ่ง อีกทั้งยังมึนศีรษะอีกด้วย

ตอนที่หูเฟิงลอดเข้ามา เขาเห็นนางเลือดกำเดาไหลพอดี จึงตกใจจนสะดุ้งโหยง ความโกรธเกรี้ยวในใจพลันหายไปไม่เห็น ก่อนจะรีบแย่งผ้าเช็ดหน้าในมือนางมา ช่วยนางปิดจมูกไว้

ไป๋จื่อเงยหน้าขึ้น พลางเหล่มองเขา “นี่ เหตุใดเจ้าถึงหยุดรถ หยุดรถอย่างกะทันหันเช่นนี้ หากเกิดขึ้นอีกสักสองครั้ง ข้าไม่หน้าทิ่มตายอยู่ในรถเลยหรือไร”

หูเฟิงเห็นนางพูดด้วยความโมโหอย่างยิ่ง อาการไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คิด เขาจึงวางใจลงได้เล็กน้อย ก่อนจะคิดถึงเป้าหมายที่ตนเองหยุดรถขึ้นมาได้ เขาพลันทำหน้าเคร่ง ขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าบอกว่าจะรีบช่วยข้ารักษาอาการความจำเสื่อม แท้จริงแล้วเจ้าพูดจริงๆ หรือว่าพูดโกหกกันแน่”

เด็กสาวกลอกตาขาว ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าว่าข้าดูเหมือนพูดโกหกหรือไม่ ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อใด”

เขาชี้ไปที่กระเป๋ายาของนาง “เจ้ามียาดีสำหรับรักษาโรคและช่วยชีวิตมากมาย เหตุใดไม่ใช้กับข้า เจ้าเพิ่งรู้จักเมิ่งหนานได้กี่วันกัน เจ้ายอมใช้สิ่งของเหล่านี้กับเขา เหตุใดถึงไม่ยอมใช้กับข้า”

ยามที่เขาพูดจา คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความหึงหวงอย่างยิ่ง

น่าเสียดายที่ไป๋จื่อไม่รู้สึกถึงความหึงหวงนั้น หูเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าความหึงหวงในคำพูดนี้มีมากมายเท่าใด

ไป๋จื่อกล่าว “ข้าจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจนสองเรื่อง เรื่องแรก ของสิ่งนี้ใช้กับอาการป่วยของเจ้าไม่ได้ เรื่องที่สอง ข้าเพิ่งได้สิ่งของเหล่านี้มาเช่นกัน หากได้พวกมันมาเร็วกว่านี้ ข้ากับท่านแม่ของข้ายังต้องลำบากมามากมายเช่นนั้นหรือ”

นางพูดถูก แต่สิ่งที่นางบอกว่าเพิ่งได้มานั้น นางได้มาจากที่ใดกันแน่ อย่างไรทุกวันนี้เขาก็เห็นนางทำนู่นทำนี่อยู่ในสายตาเสมอ

ทว่าเขายังไม่ทันถาม ไป๋จื่อก็แย่งพูดว่า “เจ้าอย่าได้ถามจะดีที่สุด ถามอย่างไรข้าก็ไม่ตอบ ใครเล่าไม่มีความลับบ้าง เรื่องที่ข้าไม่อยากพูด เจ้าถามจนถึงวันที่ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่มีประโยชน์”

หูเฟิงปิดปากเงียบ ในเมื่อนางไม่ยอมพูด เขาถามไปย่อมไม่มีประโยชน์ เช่นนั้นก็รอถึงวันที่นางยอมพูดเองก็แล้วกัน

เขาไม่ได้พูดอะไรมากอีก เพียงหมุนกายออกจากรถ เพื่อบังคับรถม้าต่อไป

ตอนที่หลิวซื่อกลับมาจากข้างนอก แม่สามีของนางกำลังนั่งแกว่งขาอยู่ในลานบ้าน หลายวันมานี้นางล้วนออกไปขุดผักป่า เพราะหญิงชราไม่ได้ใช้แรงแขนขามานานหลายปี ตอนนี้จึงรู้สึกไม่ไหวแล้ว

หลิวซื่อเข้าไปใกล้แม่สามี พลางกล่าวด้วยความโมดหว่า “ท่านแม่ ท่านยังไม่รู้กระมัง ที่ดินอยู่อาศัยที่ไป๋จื่อและจ้าวหลานเพิ่งแบ่งได้มา ตอนนี้เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว”

หญิงชราหยุดแกว่งขาในทันที แล้วเงยหน้ามองหลิวซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ตน “เคลื่อนไหว? เร็วเช่นนี้เลย? แล้วเชิญช่างที่ไหนมาทำงานล่ะ”

สะใภ้ใหญ่ส่ายหน้า ในสายตาเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา “เมื่อครู่ข้าไปดูมาแล้ว ไม่ใช่คนในหมู่บ้านของพวกเรา ล้วนเป็นคนจากต่างถิ่น มีทั้งหมดหลายสิบคนเลยนะเจ้าคะ อิฐหรือกระเบื้องอะไรล้วนส่งมาพร้อมสรรพ นางช่างใช้เงินมือเติบจริงๆ ซื้ออิฐและกระเบื้องมากมายขนาดนั้น ต้องการจะสร้างบ้านเลียนแบบคนในเมืองกระมัง”

หญิงชราตกใจจนผุดลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ “อะไรนะ นางจะสร้างบ้านจากอิฐและกระเบื้อง ทั้งยังเชิญคนทำงานมาหลายสิบคน?”

หลิวซื่อพยักหน้า “ไม่ใช่ที่ดินที่มีขอบเขตกว้างสักเท่าไร แต่กลับมีอิฐส่งมามากมายถึงเพียงนั้น นางจะต้องสร้างบ้านอิฐและกระเบื้องแน่นอนเจ้าค่ะ”

……….

ตอนที่ 186 ไป๋หลัวซื่อ

“เหอะ นางเด็กน่าตายนี่ ใช้เงินมือเติบต่อไปเช่นนี้ แล้วจะเหลือเงินใช้ต่อไปอีกสักกี่น้ำ” หญิงชราปวดใจนัก ราวกับว่าไป๋จื่อใช้เงินของนางก็ไม่ปาน

หลิวซื่อก็รู้สึกขัดใจ “ถึงจะฟุ่มเฟือย แต่นั่นก็เป็นเงินของนางเอง พวกเราอยากยุ่งก็เข้าไปยุ่งไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”

แม่สามีพลันโมโห “ใครบอกว่ายุ่งไม่ได้ นางไม่ใช่คนสกุลไป๋หรือ ขอเพียงนางใช้สกุลไป๋ อย่างไรข้าก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ พวกเราสกุลไป๋เลี้ยงนางมาตั้งสิบสองปี อย่างไรก็ต้องจัดการเงินนี้ให้กระจ่าง”

สะใภ้ใหญ่ก็คิดเช่นนั้น นางมาพูดต่อหน้าแม่สามีเช่นนี้ เพราะหวังว่าจะได้ประโยชน์จากไป๋จื่อ มีหญิงชราออกหน้า หนึ่งครั้งไม่สำเร็จ สองครั้งไม่สำเร็จ ครั้งที่สามอย่างไรก็ต้องสำเร็จ นอกเสียจากไป๋จื่อและจ้าวหลานไม่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

จางซื่อออกมาจากในเรือน กล่าวกับหญิงชราพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ “เรื่องของผู้อื่นค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ วันนี้พวกเราจะกินอะไร”

หลายวันมานี้พวกเขาออกไปขุดผักป่าทุกวัน ผักป่าที่ขุดได้ก็ยังไม่พอกับปริมาณการกินในแต่ละวันของพวกเขา วันนี้ฝนตกหนักตั้งแต่เช้า พวกเขาจึงไม่ได้ออกไปข้างนอก ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ในบ้านแม้แต่สิ่งของที่กินได้ก็ยังไม่มี

หญิงชราก็หิวเช่นกัน ของอย่างผักป่านี้ไม่ค่อยอยู่ท้องนัก กินเข้าไปสองชั่วยามก็ขับถ่ายออกมาจนเกลี้ยงแล้ว

นางถลึงตามองจางซื่ออย่างไม่สบอารมณ์ครั้งหนึ่ง “กินๆๆ รู้จักแต่กิน คิดถึงเรื่องอื่นบ้างจะได้หรือไม่”

จางซื่อยิ้มเย็น “คิดเรื่องอื่น? คิดอะไรเล่า ข้าก็หิวจนหน้าอกติดกับแผ่นหลังแล้ว ยังมีแรงคิดถึงอะไรได้อีก”

พูดถึงความขี้เหนียว หากหญิงชราเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองเป็นที่หนึ่งอีกแล้ว มีเงินซื้อข้าวและเสบียงแท้ๆ แต่กลับตัดใจนำออกมาใช้ไม่ได้ ทำให้คนทั้งบ้านต้องทรมานกับความหิว เมื่อถึงเวลาที่หิวตายกันหมดแล้ว ดูสิว่านางจะนำเงินออกมาทำศพให้กับใครบ้าง

“อยู่ที่นี่เอง!”

เสียงของหมอลู่ดังมาจากข้างนอก หญิงชรารีบหันไปมอง เห็นหมอลู่นำเจ้าหน้าที่สองคนยืนอยู่ที่หน้าประตู เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนกำลังถลึงตามองนางด้วยความเย็นชา ก่อนที่เจ้าหน้าที่วัยกลางคนหนึ่งในนั้นจะกล่าวว่า “เจ้าคือไป๋หลัวซื่อ[1]หรือ?”

หญิงชราหัวใจเต้นแรงโดยพลัน หน้าผากเริ่มมีเหงื่อกาฬเย็นเยียบผุดออกมา เรื่องที่ถูกเจ้าหน้าที่สองคนตีเสียหนึ่งยกราวกับเพิ่งเกิดขึ้น ครั้นเห็นพวกเขาสองคนเช่นนี้อีก…จะทำอย่างไรดี ขาก็เริ่มสั่นไปหมดแล้ว

“เจ้าค่ะ ข้าก็คือไป๋หลัวซื่อ”

ประตูลานบ้านไม่ได้ปิด เจ้าหน้าที่สองคนและหมอลู่จึงเข้ามาพร้อมกัน

เจ้าหน้าที่ถามกับหญิงชราว่า “ลู่จ่างชุนบอกว่าพวกเจ้าสกุลไป๋ติดเงินเขาหกตำลึงยังไม่คืน มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่”

หญิงชรานึกถึงหนังสือแสดงหนี้ที่ถูกฉีกไปแล้ว ขอเพียงให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับ เรื่องติดเงินครั้งนี้ ถึงแม้ฮ่องเต้มาเองก็ย่อมตัดสินเรื่องนี้ไม่ได้ ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางพลันมีความมั่นใจ เชิดหน้ากล่าวว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนั้น พวกข้าสกุลไป๋ไปติดเงินเขาเมื่อใดกัน เขากำลังรีดไถอย่างเห็นได้ชัด”

หลิวซื่อพูดต่ออีกว่า “ใช่เจ้าค่ะ เขาบอกว่าติดเงิน ก็หมายความว่าติดเงินตามนั้นหรือ มีหลักฐานหรือไม่ อาศัยแค่ปากพูด เช่นนั้นข้าก็พูดได้ว่าเขาลู่จ่างชุนติดเงินข้าอยู่หนึ่งร้อยตำลึงเงิน”

หมอลู่แค่นหัวเราะ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะไม่ยอมรับ ในเมื่อข้ากล้าพาเจ้าหน้าที่มาด้วย ก็ย่อมมีหลักฐาน”

เขาพูดพลางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากในอก บนนั้นมีรอยนิ้วมือประทับสีแดงสดอยู่สองรอย

ครั้นหญิงชราเห็นสิ่งนี้ นางก็ร้องเสียงหลงในทันที “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่มีทางมีหนังสือแสดงหนี้ เพราะแท้จริงแล้ว…” นางรีบปิดปาก เกือบจะพูดโพล่งความจริงออกไป หากเจ้าหน้าที่ได้ยินเข้า นางคงต้องพบจุดจบที่ไม่ดีแน่

เจ้าหน้าที่ถลึงตามองนาง “แท้จริงแล้วอะไร พูดมาให้ชัดเจน!”

หญิงชราเปลี่ยนคำพูดในทันที “แท้จริงแล้วเป็นเขาที่ปลอมมันขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยติดเงินเขา”

[1] ไป๋หลัวซื่อ หมายถึง สตรีสกุลหลัวที่แต่งเข้าสกุลไป๋ จึงอนุมานได้ว่าหญิงชรามีสกุลเดิมเป็นสกุลหลัว