บทที่ 71 ประนีประนอมอีกครั้ง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

เจ็ดสิบเอ็ด

ประนีประนอมอีกครั้ง

เสวี่ยเจียเยว่ใจเต้นตึ้กตั้กขึ้นมาทันควัน

การได้อยู่กับคนฉลาดเป็นเรื่องที่กดดันที่สุด เรื่องโกหกอย่าได้คิดเลย หากมีพิรุธเพียงเล็กน้อย เขาก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งทันที

กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็คิดหนทางแก้ไขไว้บ้างแล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับตันหงอี้ จะมีเรื่องปิดบังท่านได้อย่างไร ข้าก็แค่อยากรีบกลับไปทำอาหารให้ป้าโจวเท่านั้น”

ทว่าเมื่อจบประโยคนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงของตันหงอี้ดังลงมาจากชั้นสองของโรงเตี้ยม

“เฮ้อ… เจ้าเก็บสัมภาระเรียบร้อยหรือยัง อีกสี่วันสำนักศึกษาไท่ชูกับสำนักศึกษาถัวเยว่ก็จะประกาศผลแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะส่งคนไปรับเจ้ามาที่เรือนของข้าทันที”

ราวกับถูกตบหน้าจนทนดูสภาพของตัวเองไม่ได้…

เสวี่ยเจียเยว่ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตน ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ

ยามนี้เธออยากจะพุ่งไปสังหารตันหงอี้ผู้นี้จริงๆ

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น แววตาของเขาพลันเย็นชา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ที่เขาพูดเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร เมื่อผลการสอบออกแล้วเขาจะส่งคนมารับเจ้าไปที่เรือนของเขาเช่นนั้นหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเจ้า”

นานมากแล้วที่เสวี่ยหยวนจิ้งมิได้เผยด้านที่ดุดันต่อหน้าเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อจู่ๆ เธอได้เห็นอีกครั้ง ก็อดนึกหวาดกลัวขึ้นมามิได้

เธอไม่กล้าบอกเรื่องเมื่อวาน แต่ก็รู้ดี… ในเมื่อตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเรื่องนี้แล้ว หากคิดจะโกหกเขาต่อไปก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่ถ้าเขารู้เรื่องการเดิมพันระหว่างเธอกับตันหงอี้ เขาจะโกรธมากขนาดไหน

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เริ่มเต้นแรง เมื่อเห็นแววตาเย็นชาดุจเกล็ดหิมะของเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็ทั้งหวาดกลัวและร้อนใจ จึงรีบจูงมือเขาพลางเอ่ยอย่างร้อนรน

“ท่านพี่ พวกเรากลับกันก่อนเจ้าค่ะ พอถึงเรือนแล้วข้าจะบอกเรื่องนี้อย่างละเอียดเลย”

เธอรู้ดีว่าเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้รู้เรื่องเดิมพันจะต้องโกรธมากอย่างแน่นอน หากอยู่ที่เรือนเธอก็สามารถโกหกเขาได้ แล้วร้องไห้น้ำตาไหลพรากสักหน่อย ตอนนี้ต้องคิดหาทางป้องกันไม่ให้เขาโกรธ แต่ตรงนี้มีคนเดินสัญจรไปมา อีกทั้งยังมีตันหงอี้อยู่ใกล้ๆ หากเขาเอ่ยวาจายั่วโทสะขึ้นมาอีกละก็…

ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่ก้าวเท้า เขาสะบัดมือเสวี่ยเจียเยว่ที่จับมือของเขาออก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “จะพูดก็พูดตรงนี้”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาสะบัดมือเธอออก ในใจก็ยิ่งหวาดกลัวและกระวนกระวาย เธอรีบจับมือเด็กหนุ่มเอาไว้แน่นและลากเขาไปโดยไม่สนใจสิ่งใด ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด

ครู่หนึ่งเธอก็ก้มหน้าลงและเอ่ยเรื่องการเดิมพันออกมา…

เมื่อเล่าจบ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้ง เพียงเห็นริมฝีปากของเขาเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง สายตาที่จับจ้องเธอนั้นราวกับคมมีดที่แช่เอาไว้ในหิมะก็ไม่ปาน ทั้งเย็นชาและแหลมคม

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าตอนนี้เขาโมโหอย่างมาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ เธอก็อยากจะร้องไห้ออกมา

กลัวว่าต่อจากนี้เขาจะไม่สนใจเธออีกแล้ว

“ท่านพี่” เธอเอ่ยเรียกเขาด้วยเสียงปนสะอื้น ยื่นมืออีกข้างไปกุมมือของเขา ทว่าเขาสะบัดออกอย่างรุนแรง

เสวี่ยเจียเยว่คิดจะรีบเอื้อมมือไปจับมือเขาเอาไว้อีก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่แม้แต่จะมองเธอ เขาหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เธอจ้องมองแผ่นหลังของเขาด้วยความตะลึงงัน ในที่สุดก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ มันไหลพรากลงมาอาบแก้มขาวเนียนทันที

ยามนี้ตันหงอี้เดินลงมาจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมแล้ว เขายืนอยู่หน้าประตูและเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทั้งหมด เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเดินจากไปด้วยความเดือดดาล เขาก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก

แม้ว่าจะไม่สามารถจินตนาการถึงท่าทางนิ่งสงบของเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อเผชิญหน้ากับเขา แต่ก็ย่อมนึกถึงท่าทางอวดดีของเสวี่ยเจียเยว่ได้

มีคำกล่าวว่า ‘ต้องทุบตีคนชั่วให้จนมุม’

ตันหงอี้จงใจถามเสวี่ยเจียเยว่ “เป็นอะไรไปเล่า เมื่อวานเจ้าไม่ได้บอกเรื่องเดิมพันระหว่างข้ากับเจ้าให้พี่ชายรู้หรือ ข้านึกว่าเขาดีใจที่ได้ยินเสียอีก เจ้าต้องรู้ว่าการได้เป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลตันนั้นมีข้าวและเสื้อผ้าให้ เงินที่จะได้ในแต่ละเดือนก็สูง คนในเมืองผิงหยางไม่น้อยอยากมาเป็นบ่าวรับใช้ให้ตระกูลของข้า แต่ข้าก็ไม่รับเอาไว้ การที่ข้าวางเดิมพันเช่นนั้นกับเจ้า พอข้ากลับไปคิดทบทวนดูอีกที การที่เจ้าแพ้แล้วได้เป็นสาวใช้ในเรือนของข้านั้น อันที่จริงเจ้าก็ได้เปรียบอยู่มิใช่น้อย”

ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่หันขวับมาจับจ้องเขาด้วยสายตาดุดัน

“หุบปาก!”

เธอพูดจบก็รีบวิ่งตามเสวี่ยหยวนจิ้งไปทันที ปล่อยให้ตันหงอี้ตะลึงงันอยู่ที่เดิม เขายืนนิ่งเช่นนั้นเป็นเวลานาน จากนั้นก็ได้สติกลับมา ก่อนจะโยนถั่วในมือลงบนพื้นด้วยความเดือดดาล มองแผ่นหลังของเสวี่ยเจียเยว่ที่ห่างออกไปและเอ่ยขึ้น

“แม่นางน้อย เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนั้นได้อย่างไร อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องมาเป็นสาวใช้ของข้าแล้ว คอยดูแล้วกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”

เขานึกถึงใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ตอนหันมาจ้องมองเมื่อครู่ ดวงตาคู่นั้นคล้ายกับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้เขาทำเกินไปหรือไม่ เขาต้องการเอาชนะแม่นางน้อยวัยแปดเก้าขวบไปเพื่ออะไร

เสวี่ยเจียเยว่นึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเดินไปไกลมากแล้ว เธอจึงรีบวิ่งตามไป แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นเขายืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า

เธอดีใจไม่น้อยจึงรีบวิ่งไปหาเขาทันที “ท่านพี่”

เด็กหนุ่มไม่เพียงมองเธอด้วยแววตาเย็นชาเท่านั้น แม้แต่จะเอ่ยสักคำก็ยังไม่มี ก่อนที่เขาจะหมุนตัวและเดินต่อไป เสวี่ยเจียเยว่จึงเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางเธอพูดคุยกับเขาไม่หยุด ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่เอ่ยตอบสักคำ เพียงเดินไปข้างหน้าเท่านั้น ราวกับว่าไม่คิดจะสนใจเธอแม้แต่น้อย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เมื่อมีคนควบม้ามา เขาก็จับแขนเธอแล้วดึงไปข้างทาง เมื่อคนควบม้าผ่านไป เขาก็ปล่อยมือทันที ก่อนจะเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเย็นชาและไม่พูดกับเสวี่ยเจียเยว่แม้แต่คำเดียวเช่นเคย

ทว่าเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกปลอดภัยและซาบซึ้งใจยิ่งนัก

เมื่อครู่นี้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เพียงตั้งใจหยุดรออยู่เบื้องหน้าเพื่อจะกลับพร้อมเธอ แต่เขายังเป็นห่วงเธออยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ยื่นมือมาดึงแขนเธอตอนที่มีคนควบม้ามา

อย่างน้อยก็รู้ว่าเขาไม่มีทางเพิกเฉยกับเธอได้

พอคิดเช่นนั้นในใจของเธอก็สงบลงได้บ้าง จึงยื่นมือไปจับแขนเสวี่ย-หยวนจิ้ง แม้ว่าจะถูกเขาสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใยเธอก็ไม่โกรธ และยื่นมือไปจับแขนเขาอีกครั้ง ซึ่งเขาก็สะบัดออกเช่นเคย หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งก็มองเธอด้วยความระอาใจ

ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็สามารถกอดแขนของเสวี่ยหยวนจิ้งได้สำเร็จพลางเรียกเขา “ท่านพี่”

น้ำเสียงนั้นทั้งนุ่มนวล ทั้งอ่อนหวาน และอ่อนโยน

ทว่าเขาก็ยังไม่ตอบเช่นเคย

“ท่านพี่เจ้าคะ” เธอเรียกอีก เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังไม่ตอบ

เสวี่ยเจียเยว่ยังคงเรียกเขาเช่นนั้นอย่างไม่ละความพยายาม จนกระทั่งเธอถอนหายใจออกมา เขาก็หันมามองด้วยแววตาล้ำลึกยากจะหยั่งพลางเอ่ยขึ้น

“เยว่เอ๋อร์ บางครั้งข้าก็อยากหยิกเจ้าให้ตาย”

เขาไม่มีทางเพิกเฉยต่อการเรียกว่า ‘ท่านพี่’ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานเช่นนี้ได้ ไม่มีแรงมากพอจะต้านทานความอ่อนโยนและน่ารักของอีกฝ่าย ทั้งที่เสวี่ยเจียเยว่กล้าเดิมพันกับตันหงอี้ เขาควรจะโกรธมากและไม่สนใจอีกต่อไป ปล่อยให้แม่นางน้อยเผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง

ทันทีที่เขาเอ่ย แม้ว่าจะเป็นคำพูดข่มขู่ แต่เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าความโกรธของเขาลดลงไปไม่น้อยแล้ว

เธอรีบฉวยโอกาสนี้เอ่ยประจบประแจงด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำไปเพราะโง่เขลานะเจ้าคะ ข้าคิดไตร่ตรองมาแล้วเช่นกัน”

พวกเขาเดินมาถึงหน้าประตูลานเรือนแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งเปิดประตู แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปพร้อมกัน

เสี่ยวฉานกับหูจื่อกำลังเล่นลูกตะกร้ออยู่ในลาน เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้าไป เสี่ยวฉานก็เอ่ยเรียก

“พี่ชาย พี่สาว”

เสวี่ยเจียเยว่ขานรับทันที และบอกให้พวกเขาเล่นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินไปที่เรือนของตนพร้อมเสวี่ยหยวนจิ้ง

ของที่ซื้อมาจากตลาดทั้งหมดอยู่ในมือของเด็กหนุ่ม ทันทีที่เข้ามาในเรือน เขาก็นำของเหล่านั้นไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ขณะนั้นก็คิดในใจว่าควรจะจัดการกับอีกฝ่ายอย่างไรดี

ในใจของเขารู้ดีว่าเสวี่ยเจียเยว่ทำอะไรล้วนมีระเบียบขั้นตอน และรู้ลำดับความสำคัญ อีกฝ่ายไม่ใช่เด็กเก้าขวบเหมือนร่างกายที่ครอบครองในขณะนี้อย่างแน่นอน อายุจริงๆ ต้องมากกว่าเอ้อร์ยา แต่ก็ไม่มากเกินไป

แววตาของคนคนหนึ่งไม่สามารถโกหกได้ และนัยน์ตาของเสวี่ยเจียเยว่เปล่งประกายทุกครั้งที่มองเขา ทั้งยังดูเฉลียวฉลาดไม่น้อย ทว่าคงยังไม่ได้พบเจอเรื่องราวในชีวิตมามากนัก

แต่ไม่ว่าอายุจริงๆ ของอีกฝ่ายคือเท่าไร เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังเป็นน้องสาวของเขาเช่นเคย และเขาอยากปกป้องห่วงใยเหมือนกับน้องสาวแท้ๆ ของตน

เสวี่ยเจียเยว่ยกเก้าอี้มาให้เสวี่ยหยวนจิ้งนั่ง จากนั้นก็เทน้ำหนึ่งถ้วยแล้วยกให้เขาด้วยสองมือพลางเอ่ย “ท่านพี่ ดื่มน้ำสักถ้วยก่อนเจ้าค่ะ”

ใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้ม ดูอ่อนหวานยิ่งนัก นัยน์ตาคู่นั้นก็เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เอ่ยอะไร เพียงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ราวกับมองบุตรหลานที่กระทำความผิดมาก็ไม่ปาน คิดจะแสดงความน่าเกรงขามออกมาอย่างสุดกำลัง เพื่อให้คนตรงหน้าตระหนักถึงความผิดของตัวเอง

เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการสังเกตสีหน้าคน เมื่อเห็นท่าทางนั้นของเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็หรี่ตาลงและเอ่ยด้วยเสียงปนสะอื้นเล็กน้อย

“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าข้าผิด ท่านยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”

เมื่อมองท่าทางราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรมของอีกฝ่ายเช่นนั้น แม้จะรู้ดีว่าเป็นการแสร้งทำ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็อดใจอ่อนไม่ได้

สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก แล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปรับถ้วยน้ำมาจากเสวี่ยเจียเยว่ ส่วนอีกมือก็เคาะหน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ หนึ่งที พลางเอ่ยออกมา

“พูดมาสิ ว่าเจ้าไตร่ตรองอย่างไรกันแน่”

สุดท้ายเขาก็โกรธเสวี่ยเจียเยว่ไม่ลง และไม่มีทางเพิกเฉยได้จริงๆ