เจ็ดสิบสอง
เจตนาดี
การที่เสวี่ยเจียเยว่ยกถ้วยน้ำให้เสวี่ยหยวนจิ้งนั้น เป็นเพราะเธอต้องการหยั่งเชิง
หากเด็กหนุ่มไม่ยอมรับถ้วยน้ำ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาโกรธเธอมาก แต่ถ้าเขารับไป…
เธอเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าดีใจ “ท่านพี่ ท่านไม่โกรธข้าแล้วใช่หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งปรายตามองอีกฝ่าย “รอให้เจ้าพูดความคิดที่เจ้าไตร่ตรองไว้ในใจแล้ว ข้าค่อยโกรธอีกครั้งก็ยังไม่สาย”
แม้น้ำเสียงนั้นจะยังดุดัน แต่เสวี่ยเจียเยว่ดูออกว่าสีหน้าเขาไม่เคร่งขรึมแล้ว เธอจึงรู้สึกโล่งอกทันที ก่อนจะเอ่ยความคิดในใจออกมา
“…เรื่องเดิมพัน ตอนนั้นข้าเดือดดาลเพราะตันหงอี้พูดจายั่วโทสะ ความโกรธนั้นข้าไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ สุดท้ายก็ยอมตกลงเดิมพันเรื่องนี้กับเขา เป็นเพราะข้ามีเหตุผล
“ประการแรก… ข้าเชื่อมั่นในตัวท่านพี่ รู้ว่าท่านจะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชู การเดิมพันนั้นข้าจะเป็นฝ่ายชนะ และจะได้เงินหนึ่งร้อยตำลึงของตันหงอี้ เงินก้อนนี้สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพวกเราได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นมีทางใดบ้างที่จะหาเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาได้อย่างรวดเร็วเท่ากับวิธีนี้
“ประการที่สอง… แม้ว่าข้าจะแพ้ กลายเป็นสาวใช้ของตระกูลตันสามปี แต่เรื่องนี้ไม่ดีตรงไหน ข้าคิดดีแล้ว ตอนนี้ข้าเองก็เพิ่งอายุเก้าขวบ ออกไปหางานทำนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ อยู่ที่เรือนทั้งวันก็สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ตระกูลตันร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในเมืองผิงหยาง เป็นสาวใช้ในคฤหาสน์ของพวกเขาหนึ่งปี ได้เสื้อผ้าใหม่ทั้งสี่ฤดูกาล มีอาหารมีน้ำให้กินทุกวันไม่ขาด ทุกเดือนยังได้รับเงิน ช่างเป็นเรื่องดีอะไรเพียงนี้
“มีคนมากมายในเมืองผิงหยางอยากเข้าไปเป็นบ่าวรับใช้ในคฤหาสน์ของพวกเขา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร การเดิมพันนี้ข้ามีแต่ได้กับได้ ข้าถึงได้ตอบรับไป”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ฟังดังนั้น แม้เขาจะโกรธมากแต่ก็ยิ้มบางๆ
“แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งนี้พร้อมกัน เจ้าเชื่อมั่นในตัวข้ามากเกินไป ถึงขั้นคิดว่าข้าจะเป็นคนแรกที่ทำเรื่องที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนเชียวหรือ เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้ายังโยนก้อนทองคืนให้ตันหงอี้ ตอนนี้กลับต้องการเงินหนึ่งร้อยตำลึงของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเสียงเบา “เงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้ข้าไม่ได้รับมาเปล่าๆ ข้ามีความเสี่ยง หากข้าแพ้ ข้าต้องเป็นสาวใช้ให้เขาสามปี และการเดิมพันในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นพ้องต้องกัน”
เสวี่ยหยวนจิ้งห้ามใจไม่ได้จึงยกมือขึ้นเคาะศีรษะอีกฝ่าย “เดิมพัน? เจ้ายังมีสติดีอยู่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเจ็บจนต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะ และมองเขาด้วยแววตาน้อยใจ
เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่าหัวใจเขาถูกกรงเล็บแมวน้อยข่วนเบาๆ ก็ไม่ปาน จนคันยุบยิบอย่างบอกไม่ถูก และใจอ่อนให้เสวี่ยเจียเยว่จนได้
หลังจากยิ้มบางๆ แล้ว เขาเอื้อมมือไปจับแขนเสวี่ยเจียเยว่และดึงอีกฝ่ายมายังเบื้องหน้า ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะเล็กและลูบบริเวณที่ตนเคาะไปเมื่อครู่นี้อย่างเบามือ ในขณะที่ลูบอยู่นั้นเขาก็ถอนหายใจเบาๆ ไปด้วย
“เจ้าบอกว่าการเดิมพันนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะเจ้าก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบหรือ แต่ข้าไม่ใช่คนโง่ จะไม่เข้าใจเจตนาดีของเจ้าได้อย่างไร เจ้ารู้ว่าอีกไม่กี่วันข้าก็ต้องเข้าเรียนแล้ว ค่าเรียน ค่ากระดาษ ค่าพู่กัน ค่าหินฝนหมึก ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไม่ใช่น้อยๆ อีกทั้งพวกเรายังต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะเหลือเงินติดตัวอยู่บ้าง แต่ก็คงใช้ได้อีกไม่นานใช่หรือไม่ เจ้ากังวลกับเรื่องนี้มาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำดูถูกเหยียดหยามของตันหงอี้ ความโกรธนั้นมีครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งเป็นเพราะเงินสั่นไหวจิตใจของเจ้า ฉะนั้นเจ้าถึงได้ลงเดิมพันครั้งนี้
“แต่เยว่เอ๋อร์ ในฐานะที่ข้าเป็นบุรุษ และเป็นพี่ชายของเจ้า จะยอมให้น้องสาวของตัวเองไปเป็นสาวใช้คนอื่นเพื่อให้ตนได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาได้อย่างไร หากข้าทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าก็เป็นพี่ชายที่ไร้ประโยชน์ของเจ้า และเป็นบุรุษที่ไร้ค่าคนหนึ่ง”
เสวี่ยเจียเยว่ใจสั่นสะท้าน คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะมองเจตนาที่แท้จริงของเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง…
เธอก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี มีคำที่กล่าวว่า ‘เงินหนึ่งอีแปะสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ’ เมื่อก่อนเธอคิดว่าเป็นคำที่กล่าวเกินจริง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว หากคนคนหนึ่งยังไม่ถึงจุดอับจนหนทาง ก็ไม่มีทางได้สัมผัสกับรสชาติของความลำบาก
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงลูบศีรษะของเสวี่ยเจียเยว่ที่ถูกเขาเคาะเมื่อครู่นี้ ในหัวใจนั้นอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากมารดาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดคิดเพื่อเขาเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังทำเพื่อเขามากมายขนาดนี้…
ลมพัดโชยเบาๆ อยู่นอกหน้าต่าง ขณะที่แสงแดดสาดกระทบใบการบูรเป็นประกายระยิบระยับดุจทองคำ ผีเสื้อสองตัวกระพือปีกบินอยู่ในลานเรือน ก่อนจะโผบินออกไปนอกกำแพง
“มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสวี่ยหยวน-จิ้งก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าถามมาแล้ว หากคนที่สามารถสอบเข้าสำนักศึกษาถัวเยว่หรือสำนักศึกษาไท่ชูได้ แต่เลือกไปเรียนที่สำนักศึกษาอันดับรองลงมา ไม่เพียงแต่ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนในทุกปี แต่ยังได้รับเงินทุกเดือนด้วย ข้าคิดจะเลือกเช่นนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้า… หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าก็คงบอกเรื่องนี้กับเจ้าไปแล้ว เจ้าจะได้เลิกกังวลเรื่องเงิน”
เขาจะทนเห็นแม่นางน้อยกังวลเรื่องเงินทั้งวันทั้งคืนได้อย่างไร ในฐานะพี่ชาย เขาควรดูแลน้องสาวให้ดี
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม
มิน่าล่ะ… หลังจากเขาสมัครสอบเข้าสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชูแล้ว ยังต้องไปสอบสำนักศึกษาอันดับรองลงมา คิดไม่ถึงว่าเขาจะคิดเช่นนี้
เป็นเพราะประหลาดใจและตกใจ เสวี่ยเจียเยว่จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขึ้นมาอีก “ข้ามั่นใจว่าจะสามารถสอบเข้าสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชูได้ แต่การที่จะสอบได้อันดับหนึ่งของทั้งสองแห่งพร้อมกัน ข้าไม่มีความมั่นใจในเรื่องนั้นเลย แต่ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายตันหงอี้เด็ดขาด เจ้าวางใจเถิด พรุ่งนี้ข้าจะไปพบเขา ข้าจะต้องคิดหาทางออกเรื่องนี้ได้ในที่สุด”
เสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองในหัวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเธอก็กุมมือเสวี่ย-หยวนจิ้งเอาไว้แน่น
“ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งไปหาเขาเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งขมวดคิ้วแน่น เธอกลัวว่าเขาจะเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นผิดจึงรีบเอ่ยต่อ
“พวกเรารอให้สำนักศึกษาทั้งสองแห่งประกาศผลออกมาก่อน การเดิมพันครั้งนี้อาจไม่ใช่ข้าที่เป็นฝ่ายแพ้”
ถึงอย่างไรเสวี่ยหยวนจิ้งก็คือพระเอกในนิยาย จะไม่มีเรื่องให้ตื่นเต้นได้อย่างไร
เรื่องที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน อย่างเรื่องสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งพร้อมกัน ไม่แน่อาจจะเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ ก็เป็นได้
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นแม่นางน้อยยืนกรานเช่นนั้น เขาทำได้เพียงพยักหน้า แต่ถ้าเสวี่ยเจียเยว่แพ้จริงๆ เขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าต้องทำอย่างไร
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่สบายใจแล้ว เธอก็พูดคุยกับเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะหิ้วปลาที่ซื้อมาไปทำอาหารที่ครัวด้านนอก
ปลาที่ถูกล้างทำความสะอาดแล้ว นำไปทอดจนเป็นสีเหลืองทองกรอบทั้งสองด้าน ก่อนจะนำไปใส่หม้อที่มีน้ำเล็กน้อย ใส่ขิงลงไปเพื่อขจัดกลิ่นคาวของปลา จากนั้นก็ใส่เต้าหู้ที่หั่นเป็นชิ้นตามลงไป ต้มให้เดือดด้วยไฟแรง และเคี่ยวด้วยไฟอ่อนอีกครู่หนึ่ง เมื่อโรยหอมซอยลงไปหนึ่งกำ เฮยยวี๋โต้ยฝู่ทังก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
เสวี่ยเจียเยว่นำกะหล่ำปลีมาผัดเป็นอย่างต่อไป จากนั้นก็ตักข้าวใส่ถ้วย และตักผัดกะหล่ำปลีตามลงไป ก่อนจะเทเฮยยวี๋โต้วฝู่ทังครึ่งหนึ่งลงไปในหม้ออีกใบ นำไปใส่ไว้ในตะกร้าพร้อมกับถ้วยข้าวราดผัดกะหล่ำปลี แล้วหิ้วไปส่งให้ป้าโจว
การส่งอาหารในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น เธอเคาะประตูเพียงสองครั้งเท่านั้น ป้าโจวก็มาเปิดให้ และไม่ได้เปิดแง้มเพียงเล็กน้อยเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนี้นางเปิดประตูออกถึงครึ่งบาน
เสวี่ยเจียเยว่สามารถมองเห็นโต๊ะกับเก้าอี้ในห้องโถงด้านหลังของนาง ซึ่งได้รับการเช็ดทำความสะอาดเป็นอย่างดี มีฉากผ้าขนาดเล็กที่ปักเป็นรูปดอกไม้สี่ฤดูกาลดูงดงามและล้ำค่าตั้งอยู่บนโต๊ะชิดผนังห้องโถง
เธอรีบถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว และส่งตะกร้าหวายให้ป้าโจวพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ป้าโจว ข้าทำอาหารมาให้ท่าน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านชอบรสเค็มหรือรสจืด จึงใส่เกลือไม่มากนัก หากท่านรู้สึกว่ามันจืดเกินไป ท่านก็เพิ่มเกลือได้ตามใจชอบเลยเจ้าค่ะ”
ป้าโจวมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปรับตะกร้าหวาย แต่ยังคงไม่เอ่ยอะไรเช่นเคย
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงยิ้มหวานให้ป้าโจวพร้อมพยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวคิดจะเดินกลับเรือน
เธอไม่ได้บอกว่าพรุ่งนี้จะส่งอาหารมาให้อีก เพราะเห็นว่าสีหน้าของป้าโจวดีขึ้นกว่าสองวันที่ผ่านมา การก้าวเดินก็เป็นปกติ ไม่โงนเงนแล้ว อาการป่วยของนางคงจะดีขึ้นไม่น้อย
คนที่โชคร้ายเหมือนกันย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อเห็นป้าโจวป่วย และยิ่งอยู่ในเรือนนี้คนเดียว เสวี่ยเจียเยว่ก็อดสงสารนางไม่ได้ จึงทำอาหารมาให้ แต่ตอนนี้อาการป่วยของป้าโจวดีขึ้นแล้ว ต่อไปเธอจะไม่ได้ทำอาหารมาส่งให้นางเช่นนี้อีก
อีกอย่าง… เงินที่เหลืออยู่ก็มีไม่มากแล้ว จะเพิ่มค่าอาหารขึ้นอีกนั้นย่อมไม่พออย่างแน่นอน
ทว่าเธอยังเดินออกมาได้ไม่ไกลนัก ก็ได้ยินเสียงของป้าโจว
“เจ้ารอก่อน” เสียงของป้าโจวแผ่วเบา แต่ก็ไม่ดูห่างเหินและเย็นชาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่หันกลับไปขานรับ “ท่านมีอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
ป้าโจวดูลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ล้วงของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ เสวี่ยเจียเยว่เห็นว่ามันคือปิ่น โดยที่ตัวปิ่นทำจากเงิน ส่วนหัวปิ่นนั้นคือทองที่ทำเป็นลายผีเสื้อดอมดมดอกไม้ หนวดของผีเสื้อสองเส้นดูปราดเปรียว และราวกับว่ามันขยับไปมาเบาๆ ช่างออกแบบมาได้อย่างมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ป้าโจวส่งปิ่นให้เสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ย “ข้าไม่มีของอย่างอื่น เลยมอบปิ่นนี้ให้เจ้า ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าทำอาหารมาให้ข้า”
เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงัน เมื่อได้สติกลับมาก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ข้าพูดกับท่านไปแล้ว เหตุผลที่ทำอาหารให้ท่านกิน เพราะข้าเห็นว่าท่านป่วย ไม่มีใครดูแล พวกเราอาศัยอยู่ในลานเรือนเดียวกัน ก็ควรจะดูแลซึ่งกันและกัน ข้าไม่เคยอยากได้สิ่งใดตอบแทนจากท่าน ดังนั้นปิ่นนี้ท่านเก็บไปเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อกล่าวประโยคนั้นจบ เสวี่ยเจียเยว่ก็หมุนตัวเดินจากไป
เช้าวันต่อมา เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ทำอาหารไปส่งให้ป้าโจวอีก และประตูหน้าต่างของเรือนหลักก็ปิดสนิทเช่นเคย ทุกอย่างเหมือนย้อนกลับไปในอดีต
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน จนมาถึงวันประกาศผลสอบของสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชู
ความจริงแล้วหลายวันมานี้เสวี่ยเจียเยว่ไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก แม้แต่ฝันก็ยังเป็นเรื่องการเดิมพันในครั้งนั้น และแม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่พูดอะไร แต่เธอดูออกว่าเขาก็เคร่งเครียดเช่นเดียวกัน
วันนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงชวนเด็กหนุ่มออกไปดูผลสอบตั้งแต่เช้าตรู่
เป็นเพราะเรือนของพวกเขาอยู่ใกล้สำนักศึกษาไท่ชูที่สุด ทั้งสองจึงเลือกจะไปที่นั่นก่อน เมื่อไปถึงก็พบว่ามีคนจำนวนมากยืนอยู่หน้าประตูรอดูผลสอบแล้ว
ท่ามกลางคนเหล่านั้น เสวี่ยเจียเยว่สังเกตเห็นตันหงอี้ เห็นได้ชัดว่าเขาก็มองเห็นเธอแล้วเช่นกัน สายตาของทั้งคู่สบประสานกันท่ามกลางฝูงชน