บทที่ 73 สอบได้อันดับหนึ่ง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

เจ็ดสิบสาม

สอบได้อันดับหนึ่ง

ยามนี้ยังเช้าอยู่มาก สำนักศึกษาไท่ชูจึงยังไม่ประกาศผลสอบ ทุกคนที่รออยู่ด้านนอกต่างมองไปที่ประตูซึ่งยังปิดอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

เสวี่ยเจียเยว่กระวนกระวายใจยิ่ง เธอจับมือเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้แน่น ขณะเดียวกันก็เขย่งเท้ามองไปยังประตูสำนักศึกษาท่ามกลางฝูงชน ยามนี้เธอแทบไม่มีเวลาว่างไปสนใจตันหงอี้เลย

ข่งซิวผิงก็อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาจึงเดินเข้ามาทักทาย

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ประตูสีดำเบื้องหน้าก็เปิดออกทั้งสองบาน มีคนสองคนเดินออกมาจากด้านในสำนักศึกษา คนหนึ่งถือกระดาษหนึ่งม้วน ส่วนอีกคนหิ้วถังหนึ่งใบและแปรงอีกหนึ่งด้าม

“มาแล้วๆ”

คนที่รออยู่ด้านนอกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างพุ่งเข้าไปหาสองคนนั้น แต่ถูกทหารที่รักษาความเรียบร้อยหน้าสำนักศึกษาขวางเอาไว้

ผู้ที่หิ้วถังใช้แปรงจุ่มแป้งเปียกทาบนกำแพง จากนั้นก็วางถังกับแปรงลง ก่อนจะช่วยคนที่ถือกระดาษติดป้ายประกาศลงบนกำแพง

ป้ายประกาศสีแดงฉาน บนนั้นใช้หมึกสีดำเขียนชื่อผู้สอบผ่านด้วยตัวบรรจง

เหล่าผู้เข้าสอบต่างเบียดกันไปยังด้านหน้า เพื่อดูว่ามีชื่อของตนอยู่บนป้ายประกาศนั้นหรือไม่ ไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ และเสียงถอนหายใจด้วยความเสียดาย เป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขและความโศกเศร้า

เสวี่ยเจียเยว่อยู่ในร่างของเอ้อร์ยาที่อายุยังน้อย ส่วนสูงก็น้อยกว่าพวกเขา การจะเบียดเข้าไปด้านหน้านั้นจึงมิใช่เรื่องง่าย เสวี่ยหยวนจิ้งกลัวว่าเธอจะถูกคนเบียดเข้า จึงคอยปกป้องอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังไม่อาจต้านทานแรงเบียดเสียดจากคนด้านข้างได้

สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่ลากเสวี่ยเจียเยว่ออกมาจากฝูงชนที่แน่นขนัด พามาตรงที่ไม่มีใครอยู่และสั่งว่าให้ยืนอยู่ตรงนี้ ห้ามขยับไปไหน ส่วนตนก็หันกลับไป และเดินเบียดฝูงชนไปดูป้ายประกาศอย่างยากลำบาก

เสวี่ยเจียเยว่เขย่งเท้ามองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยหัวใจที่เต้นแรง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดข้างๆ หู น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชูต้องเป็นข้าอย่างแน่นอน”

เมื่อเธอหันกลับไปมองก็พบว่าผู้พูดนั้นคือตันหงอี้

ตันหงอี้ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่มีทางเบียดฝูงชนเข้าไปอย่างแน่นอน จึงส่งคนที่อ่านออกเข้าไปดูป้ายประกาศนั้นตั้งแต่แรกแล้ว เพียงยืนรออยู่ตรงนี้ก็พอ

เสวี่ยเจียเยว่ปรายตามองเขาครู่หนึ่งแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร ก่อนจะหันกลับไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน

ยามนี้เธอไม่อยากเปลืองน้ำลายกับตันหงอี้มากนัก ผลสอบออกมาแล้วเมื่อครู่ อีกประเดี๋ยวก็ได้รู้ว่าใครที่เป็นคนสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชู

ตันหงอี้ได้รับการเลี้ยงดูมาเหมือนไข่ในหิน สิ่งที่ยอมไม่ได้ที่สุดก็คือถูกคนอื่นมองข้าม เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เย็นชากับเขาเช่นนั้น ในใจจึงเดือดดาลขึ้นมาทันที แต่ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยบางอย่าง ก็เห็นบ่าวรับใช้พยายามเบียดฝูงชนออกมา และวิ่งมาหาเขาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ

เมื่อตันหงอี้เห็นดังนั้นจึงไม่สนใจเสวี่ยเจียเยว่อีกต่อไป เขารีบเอ่ยถามบ่าวรับใช้ “อันดับหนึ่งคือข้าใช่หรือไม่”

ชายสวมชุดสีฟ้าอ่อนผู้นั้นเพิ่งพยายามเบียดออกมาจากฝูงชน ยามนี้เขากำลังก้มตัว มือขวาจับเข่าเอาไว้และหายใจออกมาอย่างรุนแรง เมื่อได้ยินตันหงอี้เอ่ยถาม ก็ส่ายหน้าพลางยกมือซ้ายขึ้นโบกไปมา

ตันหงอี้เห็นเขาส่ายหน้าและโบกมือก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลในทันที “อะไรกัน หรือว่าอันดับหนึ่งไม่ใช่ข้า”

น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ แต่ในใจกระวนกระวายยิ่งนัก

บ่าวรับใช้พยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยพร้อมกับหอบหายใจ “ท่าน… ท่านได้อันดับสองขอรับ ยอด… ยอดเยี่ยมเช่นกันนะขอรับ”

ได้อันดับสองมันจะไปมีประโยชน์อันใด สิ่งที่เขาต้องการนั้นคืออันดับหนึ่ง

“เช่นนั้นใครได้อันดับหนึ่ง” ตันหงอี้รีบเอ่ยถามต่อทันที

แม้ว่าเขาจะสอบได้แค่อันดับสอง ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ไม่สบายใจไม่น้อย แต่ตราบใดที่อันดับหนึ่งไม่ใช่เสวี่ยหยวนจิ้ง เขาคิดว่า… เขายังพอฝืนยอมรับได้

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินบทสนทนาของนายบ่าวที่อยู่ข้างๆ เมื่อครู่นี้ เมื่อได้รู้ว่าตันหงอี้ได้อันดับสอง เธอก็โล่งใจเป็นอย่างมาก

พอได้ยินตันหงอี้เอ่ยถามว่าใครได้อันดับหนึ่ง หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้น สายตาจ้องมองไปยังบ่าวรับใช้ของเขาทันที

“เรียนคุณชาย เป็น… เป็นคนที่ชื่อเสวี่ยหยวนจิ้งขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยตอบ

เสวี่ยเจียเยว่ดีใจเป็นอย่างมาก พอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกมาจากฝูงชน เธอก็รีบวิ่งไปหาเขาทันที

เพราะเธอดีใจและตื่นเต้นมากจึงรีบกอดแขนเขา ก่อนจะเงยหน้ามองและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านสอบได้อันดับหนึ่งใช่หรือไม่”

แววตาของเสวี่ยหยวนจิ้งราวกับฉายรอยยิ้มออกมา เขาพยักหน้าและกล่าวสั้นๆ “อือ ใช่แล้วละ”

เสวี่ยเจียเยว่ดีใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้มตลอดเวลา

เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็ดีใจมากเช่นกัน เพราะตามข้อตกลงการเดิมพันระหว่างเสวี่ยเจียเยว่กับตันหงอี้ก็คือ ขอเพียงเขาสอบได้อันดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษาไท่ชูหรือสำนักศึกษาถัวเยว่ เช่นนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่แพ้เดิมพัน และไม่ต้องไปเป็นสาวใช้ในคฤหาสน์ตระกูลตัน

เสวี่ยเจียเยว่มองเพียงเสวี่ยหยวนจิ้งเท่านั้น จึงไม่ได้สังเกตว่าข่งซิวผิงยืนอยู่ข้างๆ เขา

“น้องสาวของเจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง” ข่งซิวผิงเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้เห็นเขา เธอรีบคำนับเขาทันที และรู้ว่าอีกฝ่ายก็สอบเข้าสำนักศึกษาไท่ชูได้เช่นเดียวกัน อยู่อันดับที่สิบแปด จากนั้นจึงเอ่ยแสดงความยินดีกับเขา

ข่งซิวผิงคำนับตอบและเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะเห็นตันหงอี้ยืนอยู่ไม่ไกล จึงเดินไปพูดคุยกับอีกฝ่าย

“ข้าเห็นป้ายประกาศเมื่อครู่แล้ว เจ้าสอบได้อันดับสอง ยินดีกับเจ้าด้วย”

“ยินดีเช่นนั้นหรือ เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่ามิได้มาเยาะเย้ยข้า” สีหน้าของตันหงอี้ดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

เขามองไปที่เสวี่ยเจียเยว่และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าจะดีใจเช่นนี้ไปเพื่ออะไร แม้ว่าพี่ชายของเจ้าจะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชู เจ้าไม่แพ้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่ชนะ อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาถัวเยว่ยังไม่รู้ว่าจะตกเป็นของใคร”

เมื่อเขาเอ่ยประโยคนั้นจบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น

ทุกคนหันไปมองทันที และพบว่าบนทางเดินมีม้าตัวหนึ่งห้อตะบึงมาทางนี้ ไม่นานก็มาถึงเบื้องหน้า และเห็นคนผู้หนึ่งลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าตันหงอี้พร้อมกับแส้ในมือ

ตันหงอี้จำได้ว่าเขาคือบ่าวรับใช้ที่ตนส่งไปดูป้ายประกาศที่สำนักศึกษาถัวเยว่ จึงรีบเอ่ยถามทันที

“ป้ายประกาศของสำนักศึกษาถัวเยว่ออกมาแล้วหรือ อันดับหนึ่งคือข้าหรือไม่”

เป็นเพราะมีความกระวนกระวาย น้ำเสียงของเขาจึงดูร้อนใจไม่น้อย อีกทั้งสองมือยังกำแน่น

เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของบ่าวรับใช้มีเหงื่อผุดซึมออกมาเป็นชั้นบางๆ เมื่อได้ยินตันหงอี้เอ่ยถาม เขาก็คุกเข่าลงทันที

“เรียนคุณชาย ประกาศของสำนักศึกษาถัวเยว่ออกมาแล้วขอรับ ท่าน… ท่านได้อันดับสองขอรับ”

อันดับสองอีกแล้ว! ดูเหมือนหัวใจของตันหงอี้จะเต้นผิดจังหวะ เขาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ผู้ใดได้อันดับหนึ่ง”

“ข้าน้อยไม่รู้จักเขาขอรับ รู้เพียงว่าชื่อเสวี่ยหยวนจิ้งขอรับ” บ่าวรับใช้ก้มหน้าลงเอ่ยยินดีกับคุณชายของตน

ใบหน้าของตันหงอี้ดูย่ำแย่ยิ่งนัก เดี๋ยวก็เขียวคล้ำ เดี๋ยวก็ซีดเผือด สองมือที่กำแน่นอยู่ในแขนเสื้อนั้นสั่นเทาไม่หยุด

คิดไม่ถึงว่าจะมีคนสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ในเวลาเดียวกัน มิหนำซ้ำคนผู้นั้นยังไม่ใช่เขาอีกด้วย แม้แต่จะติดอันดับหนึ่งของหนึ่งในสองแห่งยังทำไม่ได้

ข่งซิวผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองเสวี่ย-หยวนจิ้งด้วยลำคอแข็งทื่อ เอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “น้องเสวี่ย เจ้า… เจ้าถึงกับ…”

สอบได้อันดับหนึ่งพร้อมกันทั้งสองแห่ง ตั้งแต่สำนักศึกษาทั้งสองแห่งนี้ก่อตั้งมายังไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีคนทำได้ และคนผู้นั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขา

เสวี่ยหยวนจิ้งก็คิดไม่ถึงเช่นเดียวกันว่าตนจะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งพร้อมกัน เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าเขาตกตะลึงเล็กน้อย ไม่นานก็ได้สติกลับมา และพยักหน้าให้ข่งซิวผิงด้วยความนอบน้อม จากนั้นจึงก้มหน้าลงมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม

ตอนที่แม่นางน้อยบอกว่าเชื่อมั่นในตัวเขา ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้… ในที่สุดเขาก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง

เมื่อครู่นี้หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นรัวเร็ว แต่ในยามนี้ผ่อนคลายลงแล้ว จากนั้นเธอก็เดินไปพูดกับตันหงอี้ด้วยรอยยิ้ม “เจ้าแพ้แล้ว”

ตันหงอี้ปรายตามองเสวี่ยเจียเยว่ และพบว่าดวงตาของอีกฝ่ายเปล่งประกายราวกับมีรอยยิ้มอยู่ในนั้น

ยามนี้ในใจของเขาทั้งโกรธและอับอาย แน่นอนว่าความโกรธนั้นมีมากกว่าความอับอาย ขณะเดียวกันก็รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก จนใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ

เขาล้วงตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาจากอกเสื้อของตนโดยไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะโยนให้เสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นก็หันหลังให้พวกเขาแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าเขียวคล้ำเพราะความอับอาย

บ่าวรับใช้ทั้งสองคนของเขาต่างมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบสาวเท้าตามเจ้านายไป

เสวี่ยเจียเยว่หยิบตั๋วเงินที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาดูครู่หนึ่ง แล้วพับครึ่งอย่างระมัดระวัง ก่อนเก็บเข้าไปในอกเสื้อราวกับเป็นสมบัติอันล้ำค่า

ชั่วขณะที่ตั๋วเงินนั้นมาอยู่ในมือ เธอรู้สึกจิตใจสงบลงไม่น้อย เงินจำนวนนี้พอใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียนและค่าอุปกรณ์การเรียนของเสวี่ยหยวนจิ้ง

เธอหันกลับไปก็พบว่าตอนนี้มีคนไม่น้อยกำลังยืนห้อมล้อมและพูดคุยกับเด็กหนุ่ม

แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งซึ่งจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเมืองผิงหยางพร้อมกัน

คนเช่นนี้เมื่อเข้าร่วมการสอบขุนนางในอนาคต จะต้องสอบผ่านอย่างราบรื่น กระทั่งติดหนึ่งในสามอันดับแรกเลยกระมัง

หนึ่งในสามอันดับแรกนี้จะเป็นการสอบในระดับราชสำนัก ซึ่งมีการจัดสอบทุกสามปี ผู้ที่ได้คะแนนมากที่สุดจะเรียกว่า ‘จอหงวน’ อันดับสองคือ ‘ป๋างเหยี่ยน’ และอันดับสามคือ ‘ทั่นฮวา’

และแน่นอนว่าควรจะผูกมิตรกับเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้

ด้วยเหตุนี้จึงมีคนไม่น้อยมาตีสนิทกับเสวี่ยหยวนจิ้ง ต่างก็แย่งกันเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ หรือ ‘น้องชาย’ ทั้งยังบอกว่าอยากจะเชิญเขาไปกินข้าว และถามว่าเรือนเขาอยู่ที่ไหน เพื่อส่งบัตรเชิญไปเยี่ยมตนที่เรือน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

ในที่สุดคนเหล่านั้นก็ผละออกไปซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เสวี่ยหยวนจิ้งปัดแขนเสื้อที่เพิ่งถูกคนอื่นสัมผัสเมื่อครู่นี้ ก่อนจะเดินไปหาเสวี่ยเจียเยว่

เสวี่ยเจียเยว่ยืนเอียงคอมองเขา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านกลายเป็นคนมีชื่อเสียงของเมืองผิงหยางแล้ว”

เมื่อผ่านวันนี้ไป คนทั้งเมืองผิงหยางจะรู้จักชื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นแน่

เด็กหนุ่มทำสีหน้าราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ ความจริงแล้วการกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองผิงหยางนั้นไม่ได้น่าสนใจอะไรขนาดนั้น

“ตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง เจ้ารับมาแล้วใช่หรือไม่”

แม้ว่าเมื่อครู่นี้เขาจะเผชิญกับคนที่คอยเข้ามาตีสนิทไม่หยุด แต่หางตาของเขาก็ยังคอยมองเสวี่ยเจียเยว่ตลอดเวลา และเห็นว่าแม่นางน้อยได้รับตั๋วเงินที่ตันหงอี้โยนให้แล้ว

เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าด้วยความดีใจ จากนั้นเธอก็คิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง จึงรีบจับมือเสวี่ยหยวนจิ้งและดึงให้เดินไปด้วยกัน

“ท่านพี่ ไปกับข้าเร็วเข้า”