ตอนที่ 51: แกนอสูรระดับสี่ (1)
คนทั้งสิบผ่านการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ในครั้งนี้ ชายหนุ่มที่ดูธรรมดาก็ได้โผล่ขึ้นมา ชายหนุ่มคนนี้ใส่เสื้อขาดรุ่งริ่ง แต่ความเย่อหยิ่งก็ปรากฏออกมาผ่านทางคิ้วของเขาเสมอ ตอนที่เขามาที่โต๊ะ เขาก็เอาแกนอสูรกองใหญ่ออกมาวางไว้บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว
อาจารย์ที่รับผิดชอบในการตรวจสอบรู้จักชายหนุ่มคนนี้ดีและหลังจากที่นับจำนวนแกนอสูรบนโต๊ะแล้ว เขาก็พูดออกมาอย่างชื่นชม “มีแกนอสูรทั้งหมด 93 อัน ค่อนข้างดีทีเดียว เฉิงหมิงเซียง คะแนนของเจ้าดีมากจริง ๆ “
เมื่อได้ยินชื่อของเฉิงหมิงเซียง เถี่ยต้าที่อยู่ปลายสุดของแถวก็มองไปที่เฉิงหมิงเซียงที่ยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะเพื่อรอให้การประเมินสิ้นสุด สายตาของเถี่ยต้าเป็นประกายและเต็มไปด้วยวิญญาณนักสู้ เขายังไม่สามารถลืมการต่อสู้ที่ยังไม่จบระหว่างเขากับเฉิงหมิงเซียงได้ ในตอนนั้น เขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฆ่าสัตว์อสูรในป่ามาสามวัน ตั้งแต่เขาได้รับการชี้แนะจากเจี้ยนเฉิน ความสามารถในการต่อสู้ของเถี่ยต้าในตอนนี้ก็เหนือกว่าที่เขามีแต่ก่อนมาก เขาเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ เช่นเดียวกันกับประสบการณ์ในการต่อสู้ที่เขาได้รับมา เขาคงจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งราวกับพระเจ้าในการต่อสู้ เพื่อชดเชยความแตกต่างในพลังเซียนระหว่างพวกเขาทั้งสองคนได้ มันไม่มีทางที่เขาจะแพ้เฉิงหมิงเซียง
แม้ว่าเถี่ยต้าจะหัวทึบ แต่เขาก็เข้าใจชัดเจนว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกับเฉิงหมิงเซียง ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่มองอย่างโกรธเกรี้ยวไปที่ด้านหลังของเฉิงหมิงเซียง ในที่สุด เขาก็ข่มความต้องการที่จะสู้กับเฉิงหมิงเซียงเอาไว้ได้
เมื่อได้ยินคำชมจากอาจารย์ เฉิงหมิงเซียงก็ยิ้มและแววตาของเขาก็แสดงความภูมิใจออกมา และดวงตานั้นก็ซ่อนความเย่อหยิ่งอยู่ภายใน
อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินได้จดบันทึกในสมุด แล้วพูดต่อ “แกนอสูรระดับสอง 93 อัน ฮ่าห์! ถ้าไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น เจ้าจะติดหนึ่งในสามสำหรับแกนอสูรขั้นที่สองแน่ นอกเหนือไปจากนั้น เจ้านั้นเป็นอัจฉริยะในการฝึกฝน ดังนั้นอนาคตของเจ้าต้องไกลไร้ขอบเขตแน่ พยายามต่อไป”
“ขอบคุณมากสำหรับคำชม อาจารย์สตีฟ ! “
คำชมของอาจารย์ทำให้เฉิงหมิงเซียงยิ่งมีท่าทางเย่อหยิ่งมากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้น เฉิงหมิงเซียงก็คืนเข็มขัดมิติของสำนักและรับเข็มกลัดเกียรติยศก่อนจะลงจากแท่นไป
หลังจากที่เฉิงหมิงเซียงลงไป ศิษย์คนอื่นที่อยู่ในเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งเหมือนกันก็เดินไปที่โต๊ะ เขาดึงแกนอสูรกองใหญ่ออกมา มันดูเหมือนเขาจะมีแกนอสูรไม่น้อยไปกว่าเฉิงหมิงเซียงเลย
อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินยิ้มและพยักหน้า สายตาของเขาหยุดที่ใบหน้าของชายหนุ่มนี้ในขณะที่เขาพูดออกมาอย่างช้าช้า “ไม่เลว ฮวงดง ดูเหมือนการเก็บเกี่ยวของเจ้าในครั้งนี้จะมากพอดูเลย”
เมื่อได้ยินชื่อของฮวงดง ศิษย์บางคนด้านล่างแท่นก็อุทานออกมาอย่างตกใจ ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไป สายตาของเขาจดจ้องไปที่ร่างคนหนุ่มนั้นทันที เจี้ยนเฉินคุ้นกับชื่อของฮวงดงดี ความแข็งแกร่งของเขาเป็นอันดับที่สามจากสิบอันดับจอมยุทธของสำนักคากัต เจี้ยนเฉินได้ยินมาว่าพลังของเขานั้นอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเซียนเมื่อปีก่อน และอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นที่เขาจะได้เป็นเซียนระดับสูง นอกเหนือไปจากนั้น เมื่อเขาพัฒนาไปได้สำเร็จแล้ว มันก็จะเป็นเครื่องหมายว่าเขาจบการศึกษาจากสำนักได้
รายชื่อสิบสุดยอดจอมยุทธของสำนักคากัตบอกถึงศิษย์ที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามที่สุด 10 คน ทั้งหมดเป็นเซียนขั้นสูงสุด และอีกไม่ไกลที่พวกเขาจะได้เป็นเซียนระดับสูง เมื่อพวกเขาพัฒนาการแล้ว พวกเขาก็จะหลุดจากรายชื่อนี้
ฮวงดงตอบกลับคำชมของอาจารย์ด้วยรอยยิ้มเท่านั้น และไม่ได้พูดอะไรกลับไป
ในไม่ช้า อาจารย์ก็นับจำนวนแกนอสูรบนโต๊ะเสร็จ ฮวงดงได้แกนอสูรขั้นที่ 2 ทั้งหมด 91 อัน น้อยกว่าเฉิงหมิงเซียง 2 อัน
เมื่อฮวงดงลงจากแท่นไป คนจำนวนมากขึ้นจากในรายชื่อสิบจอมยุทธก็ปรากฏขึ้นบนแท่น เกือบทั้งหมดทุกคนได้แกนอสูรมาเป็นจำนวนมาก และศิษย์ที่อยู่ในอันดับหนึ่งจากรายชื่อสิบจอมยุทธ โบกาดิ ก็ได้มาทั้งหมด 103 อัน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างจอมยุทธสุดยอดทั้งสิบ มีเพียง 4 คนในพวกนั้นเท่านั้นที่ปฏิบัติงานสำเร็จ ที่เหลืออีก 6 คนล้มเหลว พวกเขาเจอกับคนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับพวกเขา แต่พวกเขาแพ้ให้กับกลุ่มตรงข้ามเนื่องด้วยความแตกต่างในด้านจำนวน ดังนั้นแกนอสูรของพวกเขาจึงถูกชิงไป
ในไม่ช้า ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อสิบสุดยอดจอมยุทธก็ลงจากแท่นไป คนที่เหลืออยู่ทั้งหมดเป็นที่รู้จักกันดี ในตอนนี้ คนที่มีจำนวนแกนอสูรมากที่สุดคือคนที่อยู่ที่หนึ่งในรายชื่อสิบสุดยอดจอมยุทธ โบกาดิ ซึ่งมีทั้งหมด 103 อัน
คนที่ได้ที่สองอยู่ในอันดับที่ห้าของหนึ่งในสิบสุดยอดจอมยุทธ จิงหมิงเยว่ นางเป็นหญิงเพียงผู้เดียวที่อยู่ในรายชื่อนี้ นางได้แกนอสูรไปทั้งหมด 101 อัน น้อยกว่าโบกาดิ 2 อัน
คนที่ได้ที่สามคือ เฉิงหมิงเซียง ซึ่งได้ 93 อัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อสิบสุดยอดจอมยุทธ แต่พลังของเขาก็อยู่ในระดับเซียนขั้นสูง เขาเป็นพวกหัวกะทิของสำนักคากัต ความสามารถของเขาไม่ได้น้อยไปกว่าจอมยุทธที่อยู่ในรายชื่อสิบคนมาก และที่สำนักคากัต เขาก็ถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะในการฝึกฝน ความเร็วในการฝึกฝนของเขานั้นสูงกว่าคนส่วนมาก และความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็ไม่สามารถมองข้ามได้ด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ทั้งสามคนออกไป ทุกคนก็คาดการได้ถึงผู้ชนะที่ได้อันดับสามอันดับที่ดีที่สุด เพราะว่าคนที่เหลืออยู่นั้นไม่ใช่คนที่เป็นที่รู้จักดีในสำนักคากัต พลังของพวกเขาทั้งหมดแค่เป็นเซียนขั้นต้นหรือขั้นกลางเท่านั้น และไม่มีทางที่จะเทียบกับทั้งสามคนนั้นได้
กลุ่มสี่คนของเจียงหยางหู่ก็แย่งชิงแกนอสูรมาได้บ้างซึ่งต้องขอบคุณเจี้ยนเฉิน แม้ว่าทั้งสี่คนจะแบ่งแกนอสูรไปเท่า ๆ กัน แต่ทุกคนยังมีได้รับแกนอสูรคนละ 30-40 อัน แม้ว่านี่จะไม่ใช่จำนวนที่มากมาย แต่เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้วนั้น ปริมาณขนาดนี้ก็ถือว่าค่อนข้างดีแล้ว เพราะว่าพวกเขายังเป็นแค่เซียนขั้นต้นเท่านั้น
ในไม่ช้า เซียนทั้งหมดก็ถูกประเมินจนครบ แม้ว่าจะมีบางคนที่มีแกนอสูรอยู่มากบ้าง แต่ก็ไม่มีใครที่มีมากไปกว่าที่สาม ในตอนนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เหลืออยู่คือ เถี่ยต้าและเจี้ยนเฉิน
ในตอนนี้ ทั้งคู่และอาจารย์อยู่บนแท่นและสายตาของศิษย์หลายคนก็จับจ้องไปยังเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า ทั้งสองคนยังไม่ได้เป็นเซียน แต่พวกเขาก็อยู่ในระดับที่สามารถสังหารสัตว์อสูรระดับสองได้ นี่ทำให้บางคนรู้สึกอิจฉามากและมีอารมณ์สับสน ในตอนนั้น ทุกคนพยายามที่จะเดาว่าพวกเขาทั้งสองที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่เซียนจะมีแกนอสูรเท่าไร แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าที่จะใช้มาตรฐานที่สูงเป็นพื้นฐานในการตัดสินสิ่งที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้มา พวกเขาทั้งหมดเดาว่าพวกเขาทั้งสองคงมีแกนอสูรขั้นที่สองอยู่ไม่มาก
เจี้ยนเฉินเดินไปหาอาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินและเอาเข็มขัดมิติของเขาออก ในตอนนี้ อาจารย์มองเจี้ยนเฉินด้วยท่าทางชื่นชม การตัดสินเจี้ยนเฉินที่เขามีในตอนแรกได้หายไปจนหมดสิ้น แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าคงไม่ได้ครอบครองแกนอสูรมากกว่าสิบอันแน่ แต่เรื่องที่พวกเขาทั้งสองได้เข้ามาในเขตแดนที่สามและเอาแกนอสูรขั้นที่สองมาครอบครองได้โดยยังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเซียน ก็เป็นอะไรที่อาจารย์นับถือแล้ว เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่คนที่ไม่ใช่เซียนสามารถฆ่าสัตว์อสูรขั้นที่สองได้ในประวัติศาสตร์ของสำนักคากัต
ในตอนนี้เอง อาจาร์ยที่กระสับกระส่ายนั่งอยู่บนแท่นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น พวกเขามองไปที่เจี้ยนเฉินทีละคน ๆ
เจี้ยนเฉินกวาดสายตามองอาจารย์ที่อยู่รอบ ๆช้า ๆ ในตอนที่เขามั่นใจแล้วว่าอาจารย์นั้นกำลังจ้องมาที่เขาด้วยสายตาที่ตั้งหน้าตั้งตารอ ท่าทีนิ่งเฉยของเขาก่อนหน้านี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขาเอื้อมเข้าไปในเข็มขัดมิติและเอาแกนอสูรระดับสองจำนวนหนึ่งออกมาและกองมันไว้บนโต๊ะ มันดูเหมือนจะมีประมาณ 10 อัน
หลังจากที่ได้เห็นเจี้ยนเฉินเอาแกนอสูรระดับสองออกมา 10 อัน อาจารย์หลายคนที่อยู่บนแท่นก็มีท่าทางตกใจและเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดว่าจำนวนนั้นเกินกว่าที่พวกเขาส่วนใหญ่คาดหวังเอาไว้ เพราะว่าในด้านของความแข็งแกร่งนั้น มันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างสัตว์อสูรระดับหนึ่งและระดับสอง ตามการคาดการตอนแรกของพวกเขา มันก็ค่อนข้างมหัศจรรย์แล้วที่เจี้ยนเฉินจะได้แกนอสูรระดับสองมาสามหรือสี่อัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่คิดเลยว่าเจี้ยนเฉินจะได้มาถึง 10 อัน
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ไม่รีรอให้คนอื่นคิดอะไรต่อ แล้วเขาก็เอาแกนอสูรระดับสองเต็มกำมือออกมาจากเข็มขัดมิติของเขาอีก
ในตอนนี้ จำนวนของแกนอสูรระดับสองที่อยู่บนโต๊ะนั้นมีหลายสิบอันแล้ว จำนวนนี้เท่ากับจำนวนของศิษย์เซียนบางคนที่ทำได้ในช่วงสามวันที่ผ่านมา
เมื่อได้เห็นภาพนี้ อาจารย์ทั้งหมดบนแท่นก็แสดงท่าทางกังขาออกมา แม้แต่อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินก็อดไม่ได้ที่จะตกใจจนพูดไม่ออกกับจำนวนแกนอสูรหลายสิบอันที่เจี้ยนเฉินเอาออกมา แม้ว่าจะมีแกนอสูรระดับสองจำนวนไม่กี่สิบอัน แต่นี้ก็ทำให้อารมณ์ของอาจารย์พุ่งพรวดมากกว่าเดิมในตอนที่เจี้ยนเฉินเอาแกนอสูรระดับหนึ่งประมาณร้อยอันออกมาอีกในครั้งเดียว เพราะว่า คนที่เอาแกนอสูรออกมาครั้งนี้นั้นยังไม่ได้เป็นเซียนด้วยซ้ำ
ในตอนนี้เอง อาจารย์ทั้งหมดก็ตระหนักขึ้นได้ทันทีว่าถ้าแกนอสูรระดับสองทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้ได้มาจากการที่เจี้ยนเฉินฆ่าสัตว์อสูรระดับสองด้วยตัวเอง การพัฒนาการในอนาคของเขาก็คง…
ในตอนที่อาจารย์คิดถึงศิษย์ที่ยังไม่ใช่เซียนแต่ยังฆ่าสัตว์อสูรระดับสองได้ พวกอาจารย์สิบกว่าคนก็อดไม่ได้ที่จะพบว่ามันเหลือเชื่อ
รองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน คนที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธานก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจและพึมพำออกมา “ไม่เลว ไม่เลว ไม่เลวเลย สิ่งเดียวที่ยังไม่รู้ในตอนนี้คือแกนอสูรที่เจ้าได้จากการฆ่าสัตว์อสูรด้วยกำลังของเจ้านั้นมีจำนวนเท่าไรกันแน่ ดูเหมือนนี่จะต้องตรวจสอบดูกันต่อไป”
หลังจากที่เอาแกนอสูรออกมาหลายสิบอัน การเคลื่อนไหวของเจี้ยนเฉินก็ไม่ได้หยุด มือของเขาล้วงเข้าไปในเข็มขัดมิติอีกครั้งแล้วเอาแกนอสูรอีกจำนวนหนึ่งออกมา หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ทำอย่างเดิมซ้ำ ๆ และภายใต้สายตาที่เหลือเชื่อและตกใจของอาจารย์ เขาก็เอาแกนอสูรระดับสองหลายขนาดออกมาจนเต็มไปทั้งโต๊ะ
เมื่อเห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยแกนอสูรระดับสอง อาจารย์ทั้งหมดที่อยู่บนแท่นก็นิ่งอึ้ง แม้แต่ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะก็ยังมีท่าทางเหลือเชื่อเหมือนกับว่าพวกเขาได้เห็นภาพที่พวกเขาไม่เข้าใจ
อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินสูดหายใจเข้าลึก และพยายามระงับอารมณ์ตกใจเอาไว้และพยายามสงบสติลง แกนอสูรบนโต๊ะจำนวนขนาดนี้เป็นจำนวนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ถึงเขาจะเคยเห็นแกนอสูรระดับสูงกว่านี้มามากแล้ว
อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างตึงเครียดก่อนที่จะก้มหน้าลงแล้วนับแกนอสูร ในไม่ช้า การประเมินก็สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม อาจารย์ก็มีท่าทางเหลือเชื่อและตกใจบนใบหน้าของเขา อารมณ์ที่สงบลงของเขาก็พุ่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง เขานั่งลงที่หน้าโต๊ะอย่างมึนงง และไม่สามารถเปิดปากรายงานจำนวนของแกนอสูรได้
หลังจากที่หายใจไปสองสามเฮือก รองหัวหน้า จางไป่เอิน ที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธานก็ไม่อยากที่จะรอนานกว่านี้แล้วพูดออกมา “สตีฟ เร็วข้า รายงานจำนวนของแกนอสูรมา” น้ำเสียงของรองหัวหน้าไป่เอินสั่นเล็กน้อยเนื่องจากตื่นเต้น แม้ว่าท่าทางของเขาจะสงบมาก
เมื่อได้ยินคำพูดของรองหัวหน้า อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินก็สูดหายใจลึกก่อนจะประกาศออกมา “เจียงหยาง เซียงเทียน แกนอสูรระดับสองที่ได้มา 108 อัน”