ตอนที่ 52: แกนอสูรขั้นที่สี่ (2)

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 52: แกนอสูรขั้นที่สี่ (2)

หลังจากที่อาจารย์ผู้ตรวจสอบประกาศจบแล้ว ทุกคนก็สูดลมหายใจไปด้วยความตกใจ ทั้งลานเงียบสงัด จนกระทั่งได้ยินเสียงเข็มตกได้

จำนวนแกนอสูรนี้ทำให้แม้แต่รองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน พูดไม่ออก สายตาของเขาจดจ้องไปที่แกนอสูรระดับสองกองใหญ่บนโต๊ะด้วยท่าทางตกตะลึง จำนวนนี้มากกว่าจำนวนแกนอสูรซึ่งผู้ที่ได้ที่หนึ่ง โบกาดิได้มามาก

สักพักผ่านไปก่อนที่ลูกศิษย์บางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “ไม่มีทาง นี่มันเป็นไปไม่ได้แน่ เขาจะทำได้ไง เขายังไม่เป็นเซียนเลย ทำไมเขาถึงได้แกนอสูรมากมายในเขตแดนชั้นสาม และยังมากกว่าจอมยุทธชั้นนำของสำนัก โบกาดิอีก? นี่มันเป็นไปไม่ได้ เขาจะต้องเอาแกนอสูรพวกนี้มาจากข้างนอกเป็นแน่”

เสียงค้านเพียงหนึ่งนี้ ทำให้ลูกศิษย์หลายคนร้องคัดค้านออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนแกนอสูรเกือบร้อยที่เจี้ยนเฉินเอามาได้ทำให้หลายคนอิจฉาและรู้สึกไม่ยุติธรรม ในตอนนี้ที่เขาเอาแกนอสูรออกมาถึง 118 อันอีก ซึ่งมากกว่าจำนวนแกนอสูรระดับหนึ่งที่เขาเอามาเสียอีก ลูกศิษย์หลายคนยอมรับไม่ได้

ด้านล่างแท่น คนที่อยู่ในรายชื่อจอมยุทธอันดับหนึ่งของสำนักคากัต โบกาดิ ก็กำลังจ้องไปด้านหลังของเจี้ยนเฉินด้วยความตะลึงในขณะที่เขาพึมพำออกมา “เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขายังไม่ถึงขั้นเซียนเลย เขาไปได้แกนอสูรระดับสองมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร? เขาเอามากจากด้านนอกจริงจริงหรือ ? ” โบกาดิอดไม่ได้ที่จะคิดออกมาเหมือนคนอื่น อย่างไรก็ตาม เขาก็ปฏิเสธสมมุติฐานนี้ ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าไปในป่า ผู้บริหารของสำนักยึดเอาอุปกรณ์มิติทุกอย่างของลูกศิษย์ไป และลูกศิษย์ก็ได้รับการตรวจอย่างเข้มงวด นอกเหนือไปจากนั้น ป่ายังมีเพียงทางเข้าเดียว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่บางคนจะแอบเอาแกนอสูรเข้ามาจากข้างนอกได้

นอกเหนือไปจากนั้น ถ้าบางคนหาวิธีเอาสัตว์อสูรเข้ามาได้จริง โบกาดิเชื่อว่า คงไม่มีใครที่จะโง่มากที่เอาแกนสัตว์อสูรระดับสองร้อยกว่าอันเข้ามาในทีเดียว นี่จะทำให้สำนักทั้งหมดตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย และผู้บริหารจะต้องจ้างคนมาเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้แน่

ใกล้ ๆ กัน มีหญิงสวยในชุดที่ขาดรุ่งริ่งมองไปที่ร่างของเจี้ยนเฉินที่อยู่บนแท่นอย่างใจลอยแล้วพึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร? เด็กใหม่แบบเขาที่ยังไม่ได้เป็นเซียนเลยจะไปเอาแกนอสูรระดับ 2ร้อยกว่าอันมาได้อย่างไร ? ” น้ำเสียงที่ไพเราะของหญิงคนนี้เต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ

ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเขาได้ยินเสียงอาจารย์ผู้ตรวจสอบประกาศจำนวนแกนอสูรของเจี้ยนเฉิน เฉิงหมิงเซียงก็ตกใจในขณะที่เขาจ้องอย่างเหลือเชื่อไปที่เจี้ยนเฉิน อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าท่าทางของเขาก็มืดมน และมันก็ถูกแทนด้วยโทสะในที่สุด นี่เป็นเพราะคนที่ได้หนึ่งในสามในการแข่งขันแกนอสูรถึงจะได้รางวัล แม้ว่ารางวัลนี้จะไม่ได้มากมายสำหรับคนที่เกิดในตระกูลใหญ่อย่างเขา แต่มันคือเกียรติที่ยิ่งใหญ่และบ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง ในตอนแรกนั้นเฉิงหมิงเซียงนั้นได้ที่สาม แต่ในตอนนี้เมื่อเจี้ยนเฉินเข้ามาแทรก เขาจึงถูกดันตกจากสามอันดับแรก นี่ทำให้เขาโกรธมาก และสิ่งที่ยิ่งยากที่จะยอมรับมากกว่าคือการที่เจี้ยนเฉินยังไม่ได้เป็นเซียนด้วยซ้ำ

“เจียงหยาง เซียงเทียน…” เขามองออกไป ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงมืดมนมากกว่าเดิมมากในขณะที่เขามองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต

ในฝูงชน ท่าทางของลั่วเจี้ยนก็มืดมนเช่นกัน เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินอย่างเกลียดชัง เหมือนว่าเขาจะกลืนกินเจี้ยนเฉินไปด้วยสายตาของเขา

แม้ว่าความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินในตอนนี้จะยังคงค่อนข้างอ่อนแอ แต่จิตวิญญาณของเขานั้นทรงพลังมาก บางทีเขาคงไม่สามารถสังเกตได้จากสายตาธรรมดา แต่เมื่อมีสายตาบางคนจับจ้องมาที่เขา จิตวิญญาณของเขาก็จับได้ทันที ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงรู้ได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตของลั่วเจี้ยนและเฉิงหมิงเซียง เขาหันไปและใช้จิตวิญญาณที่ทรงพลังของเขาในการหาแหล่งสายตาที่จ้องมา และเขาก็พบลั่วเจี้ยนที่อยู่ในกลุ่มได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเห็นท่าทางที่มืดมนของลั่วเจี้ยน เจี้ยนเฉินก็เหยียดออกมา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาชิงแกนสัตว์อสูรของลั่วเจี้ยนมา และทำให้เขาปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ นอกเหนือไปจากนั้น เจี้ยนเฉินยังทำให้ลั่วเจี้ยนบาดเจ็บเช่นกัน ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่ลั่วเจี้ยนจะเกลียดเจี้ยนเฉินมาก

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่สายตาของเจี้ยนเฉินหันไปหาเฉิงหมิงเซียง คิ้วของเขาก็ขมวดในขณะที่เขาแสดงท่าทีช่วยไม่ได้ออกมา เขาไม่ได้มีความเค้นกับเฉิงหมิงเซียง อุบัติเหตุก่อนหน้านี้ที่หอหนังสือนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยกว่าที่จะทำให้เกิดความเกลียดชังรุนแรง เหตุผลหลักคือการที่เจี้ยนเฉินเตะเฉิงหมิงเซียงหลุดออกจากสามอันดับแรก

การที่ได้ติดหนึ่งในสามของสำนักนั้นเป็นความสำเร็จที่เป็นเกียรติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่เกิดในตระกูลชั้นสูง เพราะว่าเกียรตินี้จะเพิ่มสถานะของพวกเขาได้มาก

ถ้าคนที่เป็นสิบยอดจอมยุทธเป็นคนที่เขี่ยให้เขาตกจากสามอันดับแรก เขาก็คงไม่รู้สึกไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อคนที่เขี่ยให้เฉิงหมิงเซียงตกจากสามอันดับแรกไม่ใช่แม้แต่จะอยู่ในรายชื่อสิบคน แต่ยังเป็นเด็กใหม่ที่ยังไม่ได้เป็นเซียนเลยด้วยซ้ำ นี่ทำให้เฉิงหมิงเซียงที่เป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกฝนของสำนักคากัตรู้สึกอับอาย เขาไม่คิดเลยว่าเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาที่สำนักจะมาถึงในระดับนี้ และทำให้เขารู้สึกเกลียดเจี้ยนเฉินขึ้นมา

แม้ว่าจะยังมีเถี่ยต้าที่เป็นเด็กฝึกหัดของเจ้าสำนักและมีผู้ที่มีอำนาจมากกว่าที่เขามีหนุนหลังอยู่ แน่นอนว่า เฉิงหมิงเซียงก็ไม่กล้าที่จะไปทำให้อาจารย์ใหญ่โกรธอยู่แล้ว

อาจารย์ผู้ตรวจสอบประเมินสูดหายใจลึกและบังคับให้ตัวเองสงบลง เขามองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างลึกซึ้งแล้วยิ้ม “เจียงหยาง เซียงเทียน เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนแบบเจ้าที่ยังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเซียนจะได้แกนอสูรระดับสองมามากมายแบบนี้ เจ้าเหนือกว่าคนที่ได้ที่หนึ่งในตอนแรก โบกาดิ มาก ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนได้ที่หนึ่งในการแข่งขันนี้ไป” อาจารย์ยื่นเข็มขัดมิติและเข็มกลัดเกียรติยศให้เจี้ยนเฉิน

เจี้ยนเฉินหัวเราะและยื่นมือออกไปรับสิ่งของ “ท่านอาจารย์พูดเกินไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าใครจะได้ที่หนึ่ง เพราะว่ายังมีเถี่ยต้าอีกคน จำนวนแกนอสูรที่เขามีไม่ได้น้อยไปกว่าข้าเลย” หลังจากพูดจบ เจี้ยนเฉินก็เก็บเอาแกนอสูรทั้งหมดเข้าไว้ในเข็มขัดมิติของเขา

เมื่อได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน อาจารย์ก็มองเจี้ยนเฉินและยิ้มอย่างไม่พูดอะไร

หลังจากที่เจี้ยนเฉินเก็บแกนอสูรระดับสองบนโต๊ะทั้งหมดไปแล้ว เขาก็เดินลงมาจากแท่น หลังจากนั้น เถี่ยต้าก็เดินขึ้นไปบนโต๊ะและเริ่มเอาแกนอสูรระดับสองของเขาออกมาจากเข็มขัดมิติ

เถี่ยต้าเข้ามาในเขตแดนชั้นสามกับเจี้ยนเฉิน และเขาก็แบ่งแกนอสูรเท่า ๆ กัน ดังนั้น พวกเขาจึงมีแกนอสูรปริมาณเท่า ๆ กับที่เจี้ยนเฉินมี หลังจากที่อาจารย์ผู้ตรวจสอบนับเสร็จแล้ว มันก็แสดงให้เห็นว่าเถี่ยต้านั้นมีแกนอสูรระดับสองอยู่ 119 อัน ซึ่งมากกว่าเจี้ยนเฉิน 1 อัน

หลังจากที่อาจารย์ผู้ตรวจสอบประกาศจำนวนแกนอสูรของเถี่ยต้าแล้ว คนทั้งหมดในสนามก็ตกใจพูดไม่ออกขึ้นมาอีกครั้ง

ด้านล่างแท่น คนที่เป็นอันดับที่ห้าจากสิบยอดจอมยุทธของสำนักคากัต จิงหมิงเยว่ ก็นิ่งอึ้งไป เมื่อมองดูที่นาง นางเหมือนวิญญาณออกจากร่าง นางถูกดันไปสองอันดับจากเด็กใหม่สองคน ผลลัพธ์นี่มันยากเกินยอมรับได้ เพราะว่านางใช้ความพยายามและพลังงานมากในการรวบรวมแกนอสูรเหล่านั้นมา นางไม่คิดว่าเด็กใหม่ที่ยังไม่เป็นเซียนสองคนจะได้แกนอสูรมากมายได้อย่างไร

ในตอนนี้เอง หญิงที่สวยงามมากก็เดิมไปที่จิงหมิงเยว่และนางก็เข้าไปเอาแขนโอบเอวจิงหมิงยู่เอาไว้ นางหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านพี่จิง ท่านไม่คิดซินะว่าท่านจะถูกดันให้ตกจากอันดับสองจากเด็กใหม่สองคน ใช่หรือไม่ ? “

จิงหมิงเยว่ถอนหายใจและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “คิดไม่ถึงจริง ๆ เด็กใหม่สองคนนั้นยังไม่เป็นเซียนเลยด้วยซ้ำ แต่พวกนั้นยังได้แกนอสูรมามากมาย สองคนนั้นยังเขี่ยจอมยุทธอันดับหนึ่งของสำนักคากัต โบกาดิ ให้ตกไปอยู่ที่สามอีกด้วย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกเขาได้แกนอสูรมากมายเช่นนั้นมาได้อย่างไร มันเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะพวกมันเข้ามาจากด้านนอก ? “

หญิงสาวหัวเราะคิกคักตอบกลับ “ท่านพี่จิง ท่านเดาผิดแล้ว ข้าเชื่อว่าแกนอสูรระดับสองเหล่านั้นได้มาจากความแข็งแกร่งของพวกเขาเอง ไม่ใช่เอามาจากด้านนอกเหมือนที่ท่านสงสัย”

คำพูดของหญิงคนนี้ทำให้จิงหมิงเยว่ผงะ จิงหมิงเยว่หันไปและจ้องอย่างสงสัยไปที่หญิงคนนี้และถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ “เซียวลี่ ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้นล่ะ?”

หญิงคนนั้นยิ้มอย่างลึกลับ ในขณะที่นางแสดงท่าทีมีเกียรติออกมา นางพูดเสียงเบาเบา “ท่านพี่จิง ข้าเจอสองคนนั้นในเขตแดนชั้นสองและอยู่กับพวกเขามาทั้งวัน ท่านจะประเมินพวกเขาต่ำไม่ได้ พวกเขาทั้งคู่นั้นน่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจียงหยาง เซียงเทียน เขาฆ่าสัตว์อสูรระดับหนึ่งไปหลายตัวด้วยแท่งเหล็กธรรมดา โดยการแทงทะลุไปที่คอของพวกมัน”

“จริงหรือ ? ” จิงหมิงเยว่ถามออกมาอย่างตกใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่เชื่อ

“แน่นอน ข้าเห็นมันกับตา ไม่มีทางที่จะไม่ใช่ได้” หญิงคนนั้นยืดอกขึ้นมาและพูดอย่างมั่นใจ “อีกทั้ง คืนนั้น พวกเราได้เจอกับการโจมตีลับจากหมาป่าสีน้ำเงินมากกว่ายี่สิบตัว ทั้งสองฆ่าพวกมันทั้งหมดอย่างไม่ต้องพยายามมากเลย”

“อะไรนะ? เจ้าพูดว่าพวกนั้นสองคนฆ่าหมาป่าสีน้ำเงินมากกว่ายี่สิบตัวด้วยตัวของพวกเขาเองอย่างนั้นหรือ?” เมื่อได้ยินแบบนี้ จิงหมิงเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บอาการตกใจเอาไว้ แม้ว่านางจะเป็นเซียนระดับสูง แต่นางก็ยังต้องหนีหากนางไปเจอกับสัตว์อสูรระดับหนึ่งยี่สิบกว่าตัวเข้า อย่าว่าแต่การจะฆ่าพวกมันเลย

หญิงสาวคนนั้นพยักหน้าออกมากระฉับกระเฉงแล้วพูดออกมา “ใช่แล้ว ท่านพี่จิง ข้าเห็นมันมาเองเลย แม้ว่าเจียงหยาง เซียงเทียนและเถี่ยต้าจะยังไม่ได้ควบรวมอาวุธเซียนของพวกเขา แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนไปกว่าเซียนเลย นี่เป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าแกนอสูรของพวกเขานั้นไม่ได้เอาเข้ามาจากด้านนอกแน่”

เมื่อยินแบบนี้ จิงหมิงเยว่ก็ก้มหัวลงและคิดอย่างเคร่งเครียด แม้ว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจะเขี่ยให้นางตกจากหนึ่งในสาม แต่นางก็ไม่ได้แสดงร่องรอยของความผิดหวังออกมาก เห็นได้ว่า จิงหมิงเยว่นั้นไม่ใช่คนที่ใจแคบ

หลังจากที่การประเมินจบ พิธีมอบรางวัลก็เริ่มขึ้น ในครั้งนี้ หนึ่งในสามสำหรับแกนอสูรระดับหนึ่งและที่สองจะได้รับรางวัลเดียวกัน รางวัลที่หนึ่งเป็นแกนอสูรระดับสี่และเหรียญเกียรติยศที่ทำมากจากเหรียญม่วง ทั้งที่สองและที่สามจะได้แกนอสูรระดับสามและเหรียญเกียรติยศที่ทำมาจากเหรียญทอง

เหรียญเหล่านี้ไม่ได้มีมูลค่ามาก แต่มันก็แสดงถึงความสำคัญมาก ดังนั้น แม้แต่ชนชั้นสูงที่มีคนหนุนหลังที่ทรงพลังยังไม่สามารถละสายตาของเหรียญเกียรติยศพวกนี้ได้

เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้สองอันดับแรกสำหรับแกนอสูรขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สอง พวกเขาจึงได้รางวัล 2 ครั้ง ที่สามสำหรับแกนอสูรระดับหนึ่งยังเป็นของมู่เทียน และที่สามของแกนอสูรระดับสองเป็นของจอมยุทธอันดับหนึ่งของสำนักคากัต โบกาดิ

หลังจากที่พิธีรับรางวัลจบลง เจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นไปที่พลังงานที่บริสุทธิ์พวยพุ่งออกในแกนอสูรระดับสี่ที่เขาถือเอาไว้ในมือ ด้วยการที่มีแกนอสูรระดับสี่ พร้อมกับแกนอสูรอื่นมากกว่าสองร้อยอันในเข็มขัดมิติของเขา มันก็ทำให้เขาใช้ได้ไปอีกนาน ตามการคาดการของเจี้ยนเฉิน เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการไม่มีแกนอสูรให้ใช้ไปอย่างน้อย 1 ปี