บทที่ 39 ฝึกตนพัฒนาขึ้น
“จริงเหรอ?” ลู่เมิ่งเหยาดีใจขึ้นมาอีกครั้งทันที
หลัวซิวพยักหน้า “วันนี้คงไม่ได้แล้วครับ ผลการฝึกตนของผมต่ำเกินไป เปลวไฟที่ดูดรับเมื่อกี้มาถึงขั้นสุดแล้ว ดังนั้นจึงแผ่ออกมา”
ได้ยินหลัวซิวพูดแบบนี้ ลู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ตอนเสื้อผ้าของทั้งสองถูกเผา เผชิญหน้ากันด้วยร่างที่เปลือยเปล่า
อีกทั้งเมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่ลู่เมิ่งเหยาตกใจยิ่งกว่าก็คือ หลัวซิวทำได้อย่างร? เขาสามารถดูดรับพลังแห่งไฟของเส้นปราณธาตุหยางไฟได้อย่างไร?
เส้นปราณธาตุหยางไฟที่ปรมาจารย์ฝึกจิตจนปัญญา แต่หลัวซิวซึ่งเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่างกับสามารถจัดการได้ ถ้าไม่ใช่เพราะประสบพบเจอด้วยตน เธอไม่อาจเชื่อได้จริงๆว่าเรื่องทั้งหมดคือความจริง
“อาจารย์ลู่ ให้ผมเป็นแบบนี้ตลอดไม่ได้รึเปล่าครับ……” หลัวซิวพูดด้วยความกระอักกระอ่วน
มองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนพื้น ร่างกายห่อด้วยผ้าปูที่นอน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
แต่ว่าเมื่อคิดถึงเหตุการณ์น่าอายเมื่อครู่ สรรพนามคำว่าอาจารย์ที่ใช้เรียกนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่รื่นหู
“นายรอฉันอยู่ที่นี่ ฉันออกไปซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ให้นานย”
ขณะพูด ลู่เมิ่งเหยาลุกขึ้นแล้วเปิดประตูเดินออกไป ทิ้งให้หลัวซิวนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องตามลำพัง ไม่ค่อยเข้าใจว่าเมื่อกี้อาจารย์ลู่หัวเราะทำไม
“อาจารย์ลู่คนนี้หน้าตาสวย หุ่นดี เวลายิ้มก็ยิ่งสวย” หลัวซิวพูดในใจ
ห่อตัวด้วยผ้าปูที่นอน นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น หลัวซิวข่มความคิดในใจลงไป กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง
เขาหลับตาลง สัมผัสอาการในร่างกายของตนเอง มองแล้วไม่พอเท่าไหร่ ทำให้เขาถึงกับตกตะลึง
ปราณในหนาแน่นบริสุทธิ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เลือดผนึกรวมถึงขั้นสุด ก้าวข้ามระดับกลั่นเลือดขั้น8 ไปยังระดับเกลากระดูกขั้น9!
“ฉันบรรลุการกลั่นร่างขั้น9แล้ว?”
หลัวซิวตกใจอย่างมาก เห็นชัดว่าน่าจะเป็นเพราะดูดรับพลังของเปลวไฟนั่น
กางฝ่ามือ ผนึกรวมปราณใน เปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ลมปราณที่เร่าร้อน ทำให้อากาศรอบๆกระเพื่อมขึ้นมา
“ปราณในธาตุไฟ?” หลัวซิวตกตะลึงด้วยความดีใจอีกครั้ง
จากที่เขารู้ ปราณในผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่างฝึกและพลังปราณที่จอมยุทธ์ฝึก ล้วนไม่มีธาตุใดๆทั้งนั้น
มีเพียงผลการฝึกตนเข้าสู่จอมยุทธ์พรสวรรค์ จึงจะปลุกตื่นพลังของธาตุ ยกตัวอย่างเช่นธาตุน้ำ ไฟ ดินและลมเป็นต้น
แต่เขา เห็นชัดว่ายังอยู่ในระดับผู้ฝึกยุทธ์ แทว่ากลับมีธาตุปรากฏขึ้นมาแล้ว
ภาพในความคิดอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงการตระหนักรับรู้ของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย เปลวไฟในฝ่ามือแปรเปลี่ยน เดี๋ยวเปล่ยนเป็นเปลวไฟสีขาวลมปราณแห่งชีวิต เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีดำลมปราณแห่งความตาย
เปลวไฟแห่งชีวิต เปลวไฟแห่งความตาย……
นี่คือสองระดับของธาตุไฟ
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวรู้สึกว่าจุดตันเถียนบริเวณท้องน้อยของตนมีความร้อนแผ่ซ่านขึ้นมา ทว่าเพราะปราณในหนาแน่นเกินไป ปราณในที่เกินออกมาจึงรวมตัวกันที่จุดตันเถียนหนึ่งในนั้นรวมถึงพลังแห่งเปลวไฟที่เขายังไม่ทันได้กลั่นแปรซึ่งดูดรับมาจากตัวของลู่เมิ่งเหยา
“ร่างกายของฉันใกล้จะอิ่มเอมแล้ว แต่ว่าขอเพียงกลั่นแปรพลังแห่งเปลวไฟที่จุดตันเถียน ก็จะสามารถดูดรับได้ต่อ ผลการฝึกตนต้องพุ่งทยานขึ้นแน่นอน!”
ดวงตาของหลัวซิวเปล่งประกาย ภายในใจอดไม่ได้ที่จะคาดหวัง สำหรับเขาแล้วอาการป่วยของอาจารย์ลู่ ได้ผลดียิ่งกว่ากินยาฝึกตน!
ผ่านไปไม่นาน ลู่เมิ่งเหยากลับมาจากซื้อเสื้อผ้า ชุดนักรบสีดำพอดีตัวใส่แล้วสบายมากสะพายกระบี่เงามืดไว้ด้านหลัง ถึงแม้หน้าตาจะยังมีความเป็นเด็ก ทว่าก็ฉายความหล่อเหลาคมคาย
“อาจารย์ลู่ครับ หลังจากนี้อีกเจ็ดวัน ผมจะมาช่วยรักษาอาการป่วยของอาจารย์อีก” หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จ หลัวซิวตั้งใจจะบอกลา
ลู่เมิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขนตางอนยาวขยับไปมา จับจ้องไปที่หลัวซิว “ฉันชื่อลู่เมิ่งเหยา อายุยี่สิบเอ็ดปี อายุมากกว่าน้อยนิดหน่อยเท่านั้น”
หลัวซิวชะงักเล็กน้อย มองลู่เมิ่งเหยาด้วยความแปลกใจ พูดในใจว่าเธอบอกชื่อกับอายุให้ตนแบบนี้หมายความว่าอะไร?
กะพริบตาปริบๆ หลัวซิวพูดด้วยความระมัดระวัง : “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ผมเรียนอาจารย์ว่า……พี่ลู่? พี่เมิ่งเหยา?”
“แล้วแต่นาย ยังไงก็แล้วแต่หลังจากนี้ห้ามเรียกฉันว่าอาจารย์อีก” เพราะเหตุผลพิเศษบางอย่าง ทำให้ลู่เมิ่งเหยาแค่ได้ฟังหลัวซิวเรียกตนว่าอาจารย์ก็ไม่รื่นหู
……
ชุดนักรบพอดีตัวสีดำ หมวกสานบดบังใบหน้า หลัวซิวมาเขาปาฉีอีกครั้ง หลัวซิวมาเขาปาฉีในครั้งนี้ ก็เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง
การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และแดนจิตใจ ทำให้หลัวซิวรู้ดีว่า อยากจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ ด้านการฝึกตนห้ามหย่อนยานแม้แต่น้อย เพราะว่าการฝึกตนบำเพ็ญเพียรก็เหมือนกับพายเรือสวนกระแส
ส่วนมากในเขาปาฉีล้วนเป็นอสูรกายระดับ1 อสูรกายระดับ2มีน้อยมาก โดยมากเป็นระดับทั่วไปและระดับกลาง ด้วยความแข็งแกร่งของหลัวซิว หากไม่มีเรื่องไม่คาดคิด ไม่มีวันมีอันตรายอะไรมากมาย
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่าง การเจออสูรกายระดับสองบนเขาปาฉีคือฝันร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลัวซิวกลับไม่กลัว ตั้งแต่ฆ่าเฉินหู่เมื่อคราวก่อน ทำให้เขามั่นใจว่าตนมีความแข็งแกร่งที่เทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์
แน่นอน การฝึกในครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือลับคมวิชากระบี่ วิชากระบี่ฟ้าแลบ ถ้าสามารถฝึกตนถึงแดนบรรลุผล ต้องทรงพลังยิ่งกว่าวิชายุทธ์ระดับ3โดยมาก!
ฝึกตนไม่ดูวันเวลา อย่างไม่รู้ตัว หลัวซิวลับคมวิชากระบี่ หนึ่งเดือนแล้ว
“ตึ้ง!”
อากาศสั่นไหว เกิดแรงกระเพื่อม กระบี่สีดำราวกับลำแสง รวดเร็วราวกับฟ้าผ่า แทงหัวสือดาวเมฆาอคี ตายในกระบี่เดียว
“ฉึบ!” กระบี่เงามืดเก็บลงฝัก มุมปากของหลัวซิวเผยยิ้ม วันเวลาที่ฝึกวิชากระบี่ด้วยความยากลำบาก ผลลัพธ์ไม่ธรรมดา เขาบรรลุแดนบรรลุผลแล้วใช้กระบี่ราวกับฟ้าที่ผ่าลงมา
ไม่เพียงแค่นี้ หมัดเสือมังกรและก้าวสั้นหลังจากผ่านการฝึกอย่างเป็นเอาตาย ก็ก้าวข้ามแดนบรรลุผม เข้าสู่แดนบริบูรณ์ที่สุดของที่สุด!
แต่แม้จะเป็นหมัดเสือมังกรแดนบริบูรณ์ ด้านความทรงพลังก็ไม่อาจเทียบกับแดนบรรลุผมของวิชากระบี่ฟ้าแลบ เพราะพลังของอาวุธประเภทกระบี่ จึงทำให้พลังการโจมตีไปถึงขั้นสูงสุด
ตอนนี้เขาฆ่าอสูรกายระดับ1ด้วยการแทงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถึงแม้จะเจอกับอสูรกายระดับ2ทั่วไป แม้ไม่ใช้ผังลายเส้นชีวิตเข้ามาช่วยทำลาย ก็สามารถฆ่าได้ แต่ว่าถ้าเจออสูรกายระดับ2ที่เก่งๆ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน ทำได้เพียงอาศัยวิชาท่าร่างก้าวสั้นในการหนี
แดนฝึกชี่ไห่แบ่งเป็นก้าวแดน หลัวซิวคาดการณ์ความแข็งแกร่งของตน น่าจะเทียบได้ระหว่างชี่ไห่ขั้น1ถึงชี่ไห่ขั้น3
นอกจากวิชากระบี่ที่พัฒนาขึ้นแล้ว ทุกเจ็ดวัน หลัวซิวจะกลับเมืองชิงหยุนเพื่อดูดรับพลังแห่งไฟจากเส้นลมปราณหัวใจของลู่เมิ่งเหยา ผลการฝึกตนปราณในบรรลุการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงแล้ว บรรลุแดนฝึกชี่ไห่อีกไม่ไกลแล้ว
ขี่ม้าฝุ่นตลบ มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองชิงหยุนอย่างรวดเร็ว
งานประลองยุทธ์ของสำนักยุทธ์ เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนจะจัดขึ้น ตามกฎแหล้ว นักเรียนที่เข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ต้องสมัครล่วงหน้าหนึ่งเดือน
เมื่อเดือนก่อน พูดคุยกับผู้อาวุโสจวงหนานเทียน ทำให้หลัวซิวรู้ว่า อยากจะเติบโตมีชีวิตที่ดี ได้รับการฝึกอย่างดีจากสำนักยุทธ์ ต้องแสดงความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของตนออกมา
งานประลองยุทธ์ที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง คือช่วงเวลาที่ให้นักเรียนในสำนักยุทธ์ได้แสดงความแข็งแกร่งและพรสวรรค์
ผ่านไปไม่นาน หลัวซิวก็มาถึงสำนักยุทธ์ ไปยังที่สมัคร
ตอนเขามาถึง ที่นี่มีนักเรียนในสำนักยุทธ์มากมาย แต่ว่าคนส่วนมากเป็นแค่ผู้ชม คนที่สมัครเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ส่วนมากคือนักเรียนชั้นกลางและชั้นสูง