ทุกคนก็ทั้งหนาวทั้งกลัว อีกทั้งกำลังตื่นตระหนกมาก 

 

 

เกรงว่าท่านแม่ทัพจะพาลโกรธที่พวกเขาซึ่งเป็นผู้ลี้ภัย มาต่อสู้กับคนอื่น 

 

 

แม้ว่าจะมีเหตุผลว่าพวกเขาเป็นผู้โดนกระทำ ถูกคนมาปล้นถึงได้ขัดขืน แต่ก็ใช้ทั้งมีดทั้งไม้กระบอง ใช้น้ำร้อนลวกหัวคนจนกลายเป็นหัวหมูไปแล้ว ดูเหมือนจะ… 

 

 

นั่งคุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นเทา 

 

 

ลู่พั่นเดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าซ่งฝูหลิง 

 

 

ซ่งฝูหลิงเงยหน้า เห็นรองเท้าจ้าวเซวีย[1]ของเขา แต่ไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นไปมากกว่านี้ ขนตาของนางสั่นไหว 

 

 

“เจ้าเป็นคนโยน?” 

 

 

“ท่านแม่ทัพ บุตรสาวของข้าน้อย…” ซ่งฝูเซิงรีบแย่งพูด 

 

 

“หุบปาก” 

 

 

ซ่งฝูหลิงหมอบอยู่ที่พื้น นางเงยหน้าขึ้นสบตากับลู่พั่น 

 

 

“ใช่ ข้า? โอ้ย!” 

 

 

ซ่งฝูหลิงรู้สึกเจ็บจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือซ้ายของนางกดไปที่ฝ่ามือขวา จุดนี้โดนลวกจนเกิดเป็นแผลพุพองบวมป่องจนแตกมีเลือดไหล 

 

 

นางเพียงแค่กดลงไปนิดหน่อย ถึงกับกลอกตาตาขาวทันทีและล้มฟุบไปข้างหน้า ใบหน้าซบไปบนรองเท้าของลู่พั่นและเป็นลมหมดสติไป  

 

 

ลู่พั่นใช้เท้าสะบัดหน้าซ่งฝูหลิงออก เขาขมวดคิ้ว ก่อนที่จะถอยออกมาก้าวหนึ่ง มองซ่งฝูหลิงด้วยความรังเกียจและก้มมองดูรองเท้าของตนเอง 

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์ก็ดูวุ่นวายขึ้น 

 

 

ซ่งฝูเซิงครุ่นคิด ท่านอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ลูกสาวของเขา ลูกสาวตกใจจนเป็นลมไปแล้วหรือ? หรือเป็นเพราะลําบากจนล้มป่วย? 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงรีบคลานมาอยู่ข้างกายลูกสาวพร้อมกับกอดร่างนางไว้และตะโกนเรียกด้วยความตื่นตระหนก “ฝูหลิง ฝูหลิง!” 

 

 

ไม่ว่าจะเขย่าร่างอย่างไรนางก็ไม่ตื่น เฉียนเพ่ยอิงแหงนหน้าตะโกนใส่ลู่พั่น “ท่านให้พวกข้าสามคนตายเสียเถอะ ท่านได้โปรดให้พวกข้าทั้งสามคนตายเถอะ! พวกข้าทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว!” 

 

 

ตอนนี้เฉียนเพ่ยอิงแทบจะเสียสติ นางไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว 

 

 

ไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน แต่ตอนนี้ต้องมาเห็นทุกวัน ตอนนอนหากไม่ระวัง อาจเผลอไปหลับอยู่ข้างศพคนตาย 

 

 

ก่อนนี้ไม่เคยเห็นใครที่ขโมยสิ่งของของคนอื่นแล้วยังคิดเอาชีวิต 

 

 

เมื่อมาถึงที่นี่ คนหลายพันคนต่างใช้มีด กระบอง ตีพวกเขา ต้องการเอาชีวิตพวกเขา เพียงเพราะต้องการอาหารและน้ำ พวกเขาต้องตื่นตัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  

 

 

ช่วงกลางวันยังต้องรีบร้อนเดินทาง วันหนึ่งเดินไกลได้หลายหมื่นก้าว 

 

 

ตลอดการเดินทาง พวกเขาไม่กล้าตะโกนบอกว่าเหนื่อย เมื่อยล้า หรือเจ็บป่วย เดินจนฝ่าเท้ามีตุ่มน้ำพอง มีเลือดไหลออกมา ตุ่มพองหายแล้วก็กลายเป็นเนื้อผิวหยาบกร้านตาปลา แต่ละชั้นความหนาของผิวใกล้จะหนาเท่ากับพื้นของรองเท้าแล้ว 

 

 

เมื่อก่อน ลูกสาวทำอาหารให้นางกับเหล่าซ่ง บอกว่าพ่อกับแม่เหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว ยามปิดประตู พวกเขาก็รู้สึกตื้นตันใจ ออกปากว่าไม่ได้เลี้ยงลูกจนเสียนิสัย ลูกโตขึ้นมากแล้ว นางรู้เรื่องและมีเหตุผลมากขึ้น 

 

 

ตอนนี้ทุกวันนางต้องมากินวัววัวโถวเหมือนกับพวกเขา บางครั้งลูกก็เสียดายวัววัวโถวไม่กล้ากินเยอะ บางทีก็หักแบ่งให้พ่อของนางหรือไม่ก็ให้ท่านย่า ทุกวันนี้นางต้องเดินไปกับพวกเขาเรื่อยๆ นอนกลางแจ้ง เห็นศพก็หวาดผวา แล้วยังจะมีคนมาปล้นมาฆ่าอีก ทำให้นางตกใจไม่น้อย 

 

 

สถานการณ์บีบบังคับทำให้ลูกสาวนางตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไป เมื่อครู่นางคงเห็นพ่อของนางได้รับบาดเจ็บแน่ๆ ถึงได้รีบร้อนโยนข้าวของ เอาน้ำร้อนสาดคน เด็กสาวคนหนึ่งรูปร่างบอบบาง ไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้ใคร ถึงจะพยายามสู้ก็สู้รบกับใครเขาไม่ได้ จะให้ลูกสาวของนางทำอย่างไร? 

 

 

เห็นแบบนี้ยังถาม คุกเข่าให้แล้วก็ยังถาม ท่านถามหาสิ่งใด จะสอบถามใคร 

 

 

โดนไฟลวกแล้วจะให้ทำอย่างไรได้ ก็ให้พวกเขาตายไปเถอะ! 

 

 

ยอมตายไปกับความทรงจำดีๆ ของยุคปัจจุบัน ที่สังคมสงบสุขภายใต้กฎหมาย จะได้ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ที่นี่ คอยทนรับความลำบากอีกต่อไป ตายด้วยกัน ไปด้วยกัน! 

 

 

ท่านย่าหม่าร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนัก นางคลานมาอยู่ข้างเท้าลู่พั่น นางปาดน้ำตา เช็ดน้ำมูกและโขกหัวพร้อมกับจับข้อเท้าของลู่พั่นไว้ นางเงยหน้าวิงวอน “นายท่าน ได้โปรดอย่าฆ่าครอบครัวลูกสามของข้าเลย ท่านฆ่าข้าเถอะ ยายแก่อย่างข้านี่แหละที่เป็นคนโยนระเบิดนั่นเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลานสาวคนเล็กของข้า ยิ่งไม่เกี่ยวพันกับลูกสาม ข้า ข้า? ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้าเป็นคนออกความคิดเอง!” 

 

 

ลู่พั่น “…” 

 

 

เขาพูดอะไรไป? ดูเหมือนเขายังไม่ได้ซักถามอะไรออกมาเลยนะ 

 

 

หมดสติไปแล้วคนหนึ่ง ก็โผล่มาคนหนึ่งคน ไม่กลัวตาย กลับร้องขอความตาย นี่ก็คลานมาแล้วอีกคน คนนี้ร้ายกาจยิ่งกว่า ทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลมาบนรองเท้าของเขา 

 

 

ซุ่นจื่อผู้ติดตามตะโกน “ถอยออกไป”  

 

 

ซ่งฝูเซิงเองก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เขาไม่ถอยออกมา ยังคงนั่งคุกเข่ากอดลูกสาวอยู่ที่เดิม เขาไม่สนใจใคร ตะโกนบอกซื่อจ้วง “เอาผ้านวมมา” 

 

 

ซื่อจ้วงรีบลุกไปเอาผ้านวมและยังพาเฉียนหมี่โซ่วที่ร้องไห้อย่างหนักมาส่งให้พร้อมกัน 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วน้ำตาไหลไม่หยุด สองมือน้อยจับชายเสื้อของซ่งฝูหลิงไว้แน่น “พี่สาว ท่านตื่นสิ พี่สาว ท่านอย่าทำแบบนี้ หมี่โซ่วขอร้องท่านแล้ว อย่าเหมือนท่านปู่ อย่าทำเหมือนท่านพ่อกับท่านแม่ อย่าจากไปเลย” 

 

 

ลู่พั่นถูกกลุ่มคนพวกนี้ทำจนอ่อนใจ ร้องไห้อย่างน่าอนาถ โดยเฉพาะเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยคนนี้ราวกับว่าเขาทำอะไรไปแล้ว เขาจึงส่งสายตาไปยังท่านหมอผู้ติดตาม 

 

 

หมอจับชีพจรแล้วบอกว่า ซ่งฝูหลิงเกิดอาการตื่นตระหนกมากเกินไป 

 

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ซ่งฝูหลิงรู้สึกวิงเวียน นางนอนอยู่บนพื้นของพื้นที่พิเศษ 

 

 

นางหมดเรี่ยวแรง ทำได้แค่ค่อยๆ ลืมตา แต่เมื่อลืมตาได้ครึ่งหนึ่งก็ต้องนิ่งไป ก่อนตาจะเบิกกว้างขึ้น “อ๊าห์! อ๊าห์ๆ อ๊าห์ๆ” 

 

 

ในห้องเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นของนาง 

 

 

นางสามารถเข้าไปอยู่ในพื้นที่พิเศษนี้ได้แล้ว 

 

 

ซ่งฝูหลิงรีบกระโดดลุกขึ้นมาทันที 

 

 

ซ่งฝูหลิงกำลังกรีดร้องด้วยความตื้นเต้นยินดีโดยที่นางไม่รู้สถานการณ์ภายนอกเลยว่าร่างของนางถูกยกลงไปวางบนรถเข็น จุดไฟด้วยถ่านให้ความอบอุ่น ห่มด้วยผ้านวมอย่างดี แต่การสอบสวนของพวกผู้ใหญ่ยังคงมีอยู่ต่อไป 

 

 

ท่านย่าหม่าอุ้มเอาปูนขาวออกมา “มันคือสิ่งนี้ แล้วเติมน้ำเข้าไป” 

 

 

ซุ่นจื่อผู้ติดตามเทปูนขาวบางส่วน ท่านย่าหม่า “เจ้าเทมากไปแล้ว” 

 

 

ซุ่นจื่อผู้ติดตามเทน้ำใส่ลงไปในปูนขาว ท่านย่าหม่า “เจ้าเทน้อยไปแล้ว” 

 

 

ซุ่นจื่อผู้ติดตาม “…” 

 

 

ท่านย่าหม่าคิดในใจ เจ้าถลึงตาใส่ข้าทำไม? มันก็เป็นแบบนี้แหละ เจ้าทำไมถึงโง่นักนะ หลานสาวคนเล็กของนาง มือเล็กแบบนั้นแต่นางสามารถหยิบจับคาดคะเนปริมาณของได้อย่างแม่นยำ เพียงแค่มือควานไปสองที หลังจากนั้นเพียงชั่วพริบตาเดียว น้ำนั่นก็เริ่มเดือดปุดๆ มีฟองขึ้นมา ร้อน ร้อนมากกว่าต้มน้ำเดือดเสียอีก 

 

 

อีกอย่าง นางแค่คอยตรวจดูให้ทำอย่างถูกต้องเท่านั้นเอง หลานสาวคนเล็กของนางก็ยังหมดสติอยู่ หากนางไม่เข้มงวดกับซุ่นจื่อ ผลลัพธ์ออกมาไม่เหมือนกับเมื่อครู่ นั่นจะยิ่งอธิบายให้ท่านแม่ทัพเข้าใจได้ยากขึ้น 

 

 

ลู่พั่นรับไข่ไก่สดจากลูกน้อง เพียงพริบตาเดียว น้ำที่ใส่ไว้ในอ่างก็เดือดขึ้นมา สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สักครู่ไข่ไก่ก็ถูกต้มจนสุก 

 

 

เรื่องนี้คือความรู้อีกด้านหนึ่งที่ลู่พั่นไม่เคยรู้มาก่อน 

 

 

แต่เดิมเขารู้แต่เพียงว่า ให้คนขุดหินปูนเพื่อที่จะทำร่องแม่น้ำและใช้ในการก่อสร้าง แต่อาจมีเสียงจากการระเบิดขึ้นได้? นี่คือสิ่งนั้น 

 

 

ตอนนี้ผลลัพธ์ของการทดลองปรากฏอยู่ตรงนี้ ปริมาณปูนขาวในระดับหนึ่ง เพิ่มน้ำไปตามปริมาณที่กำหนด ก็สามารถทำให้น้ำเดือดในเวลาเพียงเล็กน้อย และมีอุณหภูมิสูงมากกว่าน้ำต้มอยู่มาก 

 

 

เมื่อมองดูแล้ว การใช้น้ำร้อนลวกคนพวกนั้นคงใช้น้ำปูนขาวพวกนี้แน่นอน 

 

 

ลู่พั่นก้มลงตรวจสอบขวดที่ถูกระเบิดจนกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ซุ่นจื่อผู้ติดตามรีบสอบถามทันที “พวกเจ้าอพยพลี้ภัยกันอยู่ ยังจะแบกขวดพวกนี้ไปด้วยหรือ? พวกเจ้าใส่อะไรไว้ในขวด?” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งตอบกลับขณะคุกเข่าอยู่กับพื้น “นั่นเป็นของข้าน้อย ข้างในเอาไว้ใส่ยา ตลอดการเดินทางข้าพกยาติดตัวมาเยอะ สองขวดเล็กนี้เป็นของบรรพบุรุษให้มา ข้างในใส่ยาเม็ดระงับประสาท ข้ายังพกน้ำสมุนไพรสกัดที่บรรพบุรุษสืบทอดต่อกันมา มันสามารถป้องกันโรคระบาดได้” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งแทบจะสาธยายบรรพบุรุษของเขาออกมาเกือบทั้งหมด รวมทั้งยาสองขวดนั้นด้วยก็เป็นของบรรพบุรุษที่ส่งมอบต่อกัน เขาก็พูดบรรยายอีกรอบหนึ่ง 

 

 

“ในเมื่อยาเป็นสิ่งสำคัญมาก ทำไมต้องเอาไปไว้กับนาง” ชี้ไปยังร่างของซ่งฝูหลิงที่ยังนอนหมดสติ 

 

 

“นางไม่ได้ทำงานอะไรเลย” ซ่งหลี่เจิ้งตอบกลับ “นายท่าน ข้าบาดเจ็บ แต่ก็ต้องไปเข็นรถที่บรรทุกอาหาร ก่อนหน้านั้นขาดน้ำ ข้าก็ยังต้องเข็นน้ำ ไม่มีสัตว์ให้ลากรถแล้ว กลัวว่าจะเข็นรถไม่นิ่ง ถ้าห่อผ้าสัมภาระอันไหนตกพื้นแตกไปล่ะ ข้าจึงให้หลานสาวเป็นคนถือไว้” 

 

 

ท่านยายหวังรีบพูดต่อ “นายท่าน ข้าไม่ได้หลอกท่านจริงๆ สิ่งของที่กลัวว่าจะแตกของพวกเราต่างก็ให้พั่งยาเป็นคนถือไว้ เพราะนางไม่เคยสนใจเรื่องอะไร งานการอะไรก็ไม่ได้ทำ” 

 

 

พวกผู้หญิงเมื่อเห็นท่านยายหวังกล้าพูดออกมา พวกนางก็พากันพูด ใช่ ใช่ ท่านต้องการสอบสวนอะไร? พั่งยาของพวกเราเป็นเด็กดี แค่ลวกคนเอง นั่นก็ทำเพื่อช่วยเหลือทุกคน 

 

 

ถูกต้อง ไม่ผิด ทุกคนดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจว่ากำลังโดนสอบสวนเรื่องอะไรกันแน่ 

 

 

ลู่พั่นยื่นมือไปรับขวดเปล่าที่ท่านหมอส่งมาให้ เขาเทปูนขาวใส่ลงไปในขวดพร้อมกับถามท่านย่าหม่า “เทแค่นี้?” 

 

 

ท่านย่าหม่าไม่กล้าสบตาลู่พั่น “ใช่แล้ว” นางรู้ที่ไหนกันล่ะ? ตอนนั้นนางกำลังถือน้ำเพื่อที่จะเอาไปลวกคนพวกนั้น มือของหลานสาวคนเล็กก็เคลื่อนไหวรวดเร็วมาก นางรู้แต่เพียงว่าตอนนั้นหลานสาวโยนขวดไปสองขวด 

 

 

ใส่มากใส่น้อยไม่เป็นไร ขอให้สามารถระเบิดได้ก็พอ 

 

 

ปรากฏว่าลู่พั่นใส่ปูนขาวเยอะเกินไป ใส่น้ำน้อยเกินไป น้ำ ปูนขาว อากาศ ทั้งสามอย่างทำปฏิกิริยาทางเคมีอย่างรวดเร็วมาก ดีที่เขาคล่องแคล่วว่องไว พอขวดโยนไปกลางอากาศก็เกิดการระเบิดแล้ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นเศษเล็กๆ กระจัดกระจาย 

 

 

ลู่พั่นได้ยินเสียงระเบิดก็นิ่งไปสักพัก 

 

 

ซุ่นจื่อผู้ติดตามไม่สามารถอ่านใจจากใบหน้าของเจ้านายได้ เขาลองซักถามทุกคน “ตอนเดินทางทำไมถึงต้องพกสิ่งนี้ไปด้วย?” 

 

 

สิ่งนี้? เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ก็ต้องพูดยาวหน่อย 

 

 

มีคนหนึ่งชื่อชุนฮวา นี่ นั่นแม่เลี้ยงของชุนฮวา หลี่ซิ่วพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าเป็นแม่เลี้ยงของนาง” 

 

 

“พอแล้ว พอแล้ว” นี่เราพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ ซุ่นจื่อถามด้วยน้ำเสียงรำคาญ “แล้วพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสองอย่างนี้ทำปฏิกิริยาร่วมกันแล้วสามารถกลายเป็นระเบิดได้? จะเป็นเรื่องบังเอิญแบบนี้ได้อย่างไร?” 

 

 

เกาถูฮู่รีบตอบ “นายท่าน บ้านข้าเลี้ยงหมู ข้ามีอาชีพขายเนื้อสัตว์” 

 

 

ทุกคนก็รีบพากันพูดเสริม แต่ละคนก็พูดกันออกมา ใช่ ตอนไปบ้านเขา หมูบ้านเขาเยอะมาก มีการโรยปูนขาว พวกข้าก็เคยเห็นกันมาแล้ว พวกข้าต่างก็รู้ว่าของสิ่งนี้ร้อน สิ่งนี้สามารถทำให้ระเบิดได้ 

 

 

โดยสรุปแล้ว ท่านอย่าสอบถามเลย พวกเราไม่ได้มีปัญหาอะไร 

 

 

ท่านย่าหม่ายังพูดเพิ่มเติม “ตอนไปที่บ้านเขา ข้าก็เห็น ข้า บ้านของพั่งยาอยู่ในเมือง นางไม่รู้เรื่องอะไรหรอก” 

 

 

ลู่พั่นเหลือบมองซ่งฝูหลิงที่ยังนอนหมดสติ 

 

 

ยิ่งปกปิด ก็ยิ่งมีพิรุธ 

 

 

ซ่งฝูเซิงก็คอยตามอยู่ข้างหลังของลู่พั่น เขาแทบจะทนฟังไม่ไกว ใช้แค่คำพูดเดียว บอกแค่ว่าเขาเป็นคนสอนลูกสาวเอง 

 

 

คนพวกนี้เป็นคนซื่อ โกหกกันไม่เป็น “ท่านแม่ทัพ ท่านก็เห็นแล้ว มันคือปูนขาวจริงๆ ไม่ใช่ดินปืน พวกเราเป็นประชาชนคนธรรมดา จะมีความสามารถแตะต้องดินปืนได้อย่างไร ท่านวางใจได้ พวกเราไม่ใช่โจร” 

 

 

หลังจากนั้น ซ่งฝูเซิงก็ส่งสายตาให้กับซ่งหลี่เจิ้ง ให้เขานำเอกสารเข้ารับตำแหน่งหลี่เจิ้งที่ทางราชการออกให้ นำออกมาแสดง 

 

 

ขณะเดียวกันเขาก็นำเอกสารรับรองของอาจารย์หลายท่านที่ให้กับเขาตอนที่เขาไปสอบ รวมถึงหนังสือรับรองที่ผ่านการสอบมาแล้ว ตลอดจนใบประทับตราส่วนตัวที่เขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ในตัวเมือง 

 

 

อย่ามองข้ามตราประทับนี้ มีเพียงคนที่เรียนหนังสือแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถมีตราประทับเป็นชื่อส่วนตัวของตนเองได้ คนทั่วไปไม่สามารถมีได้ ดังนั้น คนในสมัยโบราณถึงมีการพูดว่า อาชีพอื่นนั้นต้อยต่ำ เทียบไม่ได้กับบัณฑิต 

 

 

ลู่พั่นเหลือบมองกลุ่มคนที่ปล้น ซุ่นจื่อรีบรับคำสั่ง เขาเดินเข้าไปเตะคนน้องของโจรสองพี่น้อง “พวกเขามีหนังสือรับรอง แล้วพวกเจ้าล่ะ?” 

 

 

โจรคนน้องครุ่นคิด พวกข้าเป็นคนเสเพล พวกข้าจะไปเอาหลักฐานที่ไหนมาแสดงให้ดูล่ะ? พวกเรามาจากที่นั่น จะไปสถานที่นั้นของพวกท่าน 

 

 

ไม่มีสิ่งใดมายืนยัน พวกเจ้ายังใช้ความรุนแรงในการปล้นสะดม คนแบบนี้ให้เข้าเมืองไปแล้วก็คงจะไม่อยู่อย่างสงบๆ 

 

 

“สักชื่อพวกมัน นำตัวไปขังไว้ก่อน” ลู่พั่นพูดเพียงไม่กี่คำ จากนั้นเขาก็เดินไปทางภูเขาที่มีสายธารน้ำไหลแล้วโน้มตัวใช้ถุงน้ำตักน้ำ 

 

 

เขาจากไปแล้ว แต่ทำให้เฉียนเพ่ยอิงที่ไม่ใช่คนยุคโบราณนี้ถึงกับตกใจอย่างหนัก 

 

 

แค่หนุ่มน้อยนั่นพูดออกมาเพียงไม่กี่คำ ใบหน้าของกลุ่มโจรพวกนั้นก็ถูกสักตัวอักษร คนพวกนั้นร้องด้วยความเจ็บปวดตอนโดนสักหน้า 

 

 

นางรู้สึกแข้งขาไร้เรี่ยวแรง เมื่อครู่นางยังร้องขอความตายอยู่เลย หากพ่อหนุ่มนั่นเกิดรำคาญขึ้นมา ตอนนี้นางคงไม่ตายไปแล้วหรือ? โอ้ว “ฝูหลิง” 

 

 

ซ่งฝูหลิงคิดในใจ ท่านแม่ ท่านอย่าส่งเสียงดังไป อย่าดันข้าสิ ข้าตื่นตั้งนานแล้ว ข้าแค่แกล้งหลับไปเท่านั้นเอง