พวกทหารตั้งฐานอยู่ตรงพื้นที่ด้านข้างของพวกซ่งฝูเซิง 

 

 

พวกเขากำลังทำอาหาร 

 

 

ส่วนพวกซ่งฝูเซิงกำลังเก็บสิ่งของเข้าที่ หลังจากที่พวกเขาต่อสู้กับโจรจนข้าวของกระจัดกระจาย 

 

 

รถเข็นหลายคันล้มระเนระนาด แขนขามีบาดแผลเลือดจนออกอยู่หลายคน 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งรับยาจากท่านหมอมาด้วยความรู้สึกที่คาดไม่ถึง เขานำคนทั้งหมดคุกเข่าลงอีกครั้ง กำลังจะเงยหน้าเอ่ย “ขอบคุณท่านแม่ทัพ” ซุ่นจื่อก็รีบบอก “ปิดปากซะ อย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของท่านแม่ทัพ” 

 

 

“ขอรับ” ซ่งหลี่เจิ้งนั่งคุกเข่าเช็ดน้ำตา ร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ 

 

 

ช่วงจังหวะที่ซุ่นจื่อเดินไปยังไม่ไกลนัก เขาก็พูดกับซ่งฝูเซิงที่ช่วยพยุงตัวเขาลุกขึ้น “ท่านแม่ทัพ ท่านช่างเป็นคนมีน้ำใจยิ่งนัก มีแม่ทัพเช่นนี้ ราษฎรถึงมีความสุข” เขาพูดกับซ่งฝูเซิงแล้วทอดถอนใจ 

 

 

ซุ่นจื่อได้ยินก็ยิ้มที่มุมปาก 

 

 

ขณะที่เขาเดินกลับไป ก็ครุ่นคิดไปด้วย 

 

 

แน่นอนอยู่แล้ว มีโอกาสได้พบคุณชายน้อยของพวกข้า ถือว่าชาวบ้านอย่างพวกเจ้าช่างโชคดีนัก อย่าลืมว่าคนอื่นอยากเข้าพบ ก็ยังไม่มีโอกาสได้พบ 

 

 

คุณชายน้อยของพวกเราเกิดในตระกูลอันสูงศักดิ์และเป็นบุคคลผู้มีความสามารถ นอกจากนี้เขายังเป็นลูกหลานของเอ้อกั๋วกง ผู้ช่วยมือหนึ่งผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋องเยี่ยน ท่านพ่อของเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้เก่งกล้าสามารถ เขาเป็นหลานรักของเหล่าฮูหยินและเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของเหล่าไท่เหยีย 

 

 

ไม่มีการแบ่งชนชั้นความแตกต่างกันระหว่างลูกภรรยาใหญ่กับลูกภรรยาน้อย ในจวนใหญ่ที่เต็มไปด้วยลูกหลานมากมาย มีเพียงเขาที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว นอกนั้นเป็นพี่สาวทั้งหมด 

 

 

ซ่งฝูเซิงไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุยเยินยอผู้อื่น เขาพยุงซ่งหลี่เจิ้งลุกขึ้นแล้วรีบไปดูอาการของลูกสาวของเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง 

 

 

นี่ก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา ที่เขาเฝ้าทนุถนอมดูแลเอาใจใส่มากับมือเช่นกัน 

 

 

“ลูกสาว ลูกสาว?” 

 

 

ท่านย่าหม่ารีบวิ่งมา “พั่งยา เจ้าอย่าทำให้ย่าตกใจสิ ย่าจะลูบปลอบใจเจ้า ไม่ให้เจ้าตกใจ เจ้ารีบลืมตามามองข้าก่อน” 

 

 

ซ่งฝูหลิงนอนอยู่บนรถเข็น นางค่อยๆ ลืมตา ท่านย่า ท่านพ่อกับท่านแม่ หมี่โซ่วที่น้ำตาคลอเบ้า นางกระพริบตาให้กับทุกคน 

 

 

ท่านย่าหม่ายกมือทาบอก นางทอดถอนหายใจยาว ก่อนที่ขาจะอ่อนแรงล้มลงไปตามรถเข็น 

 

 

“เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบแย่ ข้าตกใจแทบตาย” เฉียนเพ่ยอิงกอดซ่งฝูหลิงร่ำไห้ 

 

 

“ท่านพ่อ บาดแผลของท่านไม่เป็นไรใช่ไหม เมื่อครู่ข้าร้อนใจมาก” ซ่งฝูหลิงถามขึ้นมา 

 

 

ซ่งฝูเซิงตาแดงก่ำ ไม่ได้ตอบว่าเป็นอะไรหรือไม่ เขาใช้มือใหญ่ๆ อันมอมแมมลูบหน้าลูกสาว “ลูกสาวที่น่ารัก เจ้าเก่งที่สุดเลยนะ!” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วเห็นพี่สาวตื่นขึ้นมาก็รู้สึกดีใจ เขารีบซุกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเฉียนเพ่ยอิงเพื่อเบียดตัวอยู่กับซ่งฝูหลิงด้วยกัน เขาร้องไห้เสมือนสัตว์ตัวน้อยๆ ที่ได้รับบาดเจ็บและพูดเลียนแบบน้ำเสียงของซ่งฝูเซิง “พี่สาวที่น่ารัก ท่านเก่งที่สุดเลยนะ!” 

 

 

สมาชิกในครอบครัวจับกลุ่มร้องไห้กันสักพักถึงจะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ซ่งฝูเซิงไปทำแผล หมี่โซ่วก็จะตามไปด้วยให้ได้ เขาบอกว่าจะไปเป่าแผลให้ท่านลุง เป่าแล้วจะได้ไม่เจ็บแผล ท่านย่าหม่าก็พาคนอื่นในครอบครัวไปตักน้ำมาใหม่ น้ำหกไปจนหมดแล้ว เฮ้อ อ่างก็เกือบแตกเป็นสองส่วน 

 

 

ซ่งฝูหลิงเหลือบมองก่อนจะรีบลงจากรถเข็น ไม่ต้องแกล้งนอนตายแล้ว นางดึงมือท่านแม่พามายังอีกด้านหนึ่ง นางมองดูบริเวณโดยรอบ ระยะทางไกลขนาดนี้คงไม่มีใครได้ยิน ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านแม่ ท่านเดาสิ เมื่อครู่ข้าไปเจออะไรมา?” 

 

 

“เอ๊ะ?” ไม่ใช่เป็นลมหมดสติหรือ 

 

 

“ท่านสังเกตดูสิ” ซ่งฝูหลิงนำกระเป๋าใส่หนังสือใบใหญ่มากอด 

 

 

เมื่อพูดถึงกระเป๋าหนังสือ ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่าตนเองฉลาดมาก เพราะก่อนหน้านี้นางมองการณ์ไกลไว้แล้ว 

 

 

เดือนหนึ่งในค่ำคืนที่มืดมิดและสายลมพัดแรง นางกับย่าของนางนอนปรึกษากันมาก่อน 

 

 

บอกย่าของนางว่า บนถนนสายนี้มีคนที่ยังมีชีวิตอยู่มาก อย่าว่าแต่สมบัติล้ำค่าของท่านพ่อกับกระบอกน้ำของข้า ที่ไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างสะดวก แม้แต่แตรของท่านลุงกัวข้าก็นำมาเก็บไว้ และยังมีกระเป๋าของข้าที่ค่อนข้างจะสะดุดตา ท่านเอากระสอบสักสองกระสอบ เทของออกมาให้ว่างได้หรือไม่ ให้ข้ากับท่านพ่อใช้มันคลุมกระเป๋าไว้อีกชั้นหนึ่ง แล้วใช้เชือกฟางเย็บคลุม 

 

 

ดูสิว่านางฉลาดแค่ไหน มิฉะนั้น แค่เพียงสายตาอันเฉียบคมของแม่ทัพหนุ่มน้อย ถึงแม้ว่าจะอธิบายเรื่องน้ำปูนขาวได้อย่างชัดเจน แต่ก็คงไม่สามารถอธิบายเรื่องกระเป๋ากันฝนนี่ได้แน่ หลอกเพื่อนร่วมทางที่เป็นชาวไร่ชาวนาได้ เพราะทุกคนต่างก็เชื่อใจกัน แต่ถ้าอยากจะหลอกท่านแม่ทัพหนุ่มน้อยที่ได้เห็นโลกกว้างมามากกว่า มันคงไม่ง่าย 

 

 

ซ่งฝูหลิงเปิดปากกระเป๋าให้เฉียนเพ่ยอิงดู “ท่านแม่ ท่านเห็นชัดเจนแล้วน่ะ” มือเล็กๆ พลิกไปมาและสิ่งของที่สัมผัสก็หายไป 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงถามด้วยความร้อนใจ “เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้เป็นลมหมดสติไป แต่เข้าไปในพื้นที่พิเศษ? เจ้า เจ้า เจ้าก็สามารถ?” 

 

 

“ใช่แล้ว ท่านแม่ ข้าเก่งไหมล่ะ ฮ่าๆ” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของลูกสาว “รีบเปลี่ยนเอาก้อนข้าวเหนียวกลับมาเถอะ เดี๋ยวหมี่โซ่วจะร้องหามัน” 

 

 

ซ่งฝูหลิงนิ่งอึ้ง นางรีบก้มดูสิ่งของในกระเป๋า สวรรค์ แค่เปลี่ยนสิ่งของในกระเป๋า ใส่ของเข้าไปแต่หยิบเอาอะไรใหม่ไม่ได้แหะ “ทำอย่างไรดีล่ะ ท่านแม่ ข้าสามารถส่งของเข้าไปได้ แต่นำของออกมาไม่ได้” 

 

 

อ๊าห์ เฉียนเพ่ยอิงเข้าใจแล้ว สามีของนางนำสิ่งของออกมาได้ ส่วนลูกของนางสามารถส่งสิ่งของเข้าไปข้างในได้ แล้วนางล่ะ? นางมองฝ่ามือของตนเอง 

 

 

“ท่านแม่ ท่านเอามีดออกมาทำไม ท่านบ้าไปแล้วหรือ” 

 

 

“ท่านพ่อ แย่แล้ว ท่านรีบช่วยข้านำก้อนข้าวเหนียวของหมี่โซ่วออกมาหน่อย” 

 

 

ซ่งฝูหลิงวิ่งไปทั้งสองฝั่งพร้อมตะโกนไปด้วย 

 

 

ไม่ไกลกันนัก ลู่พั่นหันหน้ามามองซ่งฝูหลิง เขาเห็นซ่งฝูหลิงตั้งแต่ลงจากรถแล้ว และมองเห็นได้อย่างชัดเจน เจ้าเด็กน้อยนั่นหลังจากฟื้นขึ้นมาก็มีรอยยิ้มอันสวยงามปรากฏบนใบหน้าอันมอมแมมนั้น 

 

 

หลังจากนั้นไม่กี่นาที ลู่พั่นก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คน 

 

 

เขานั่งกินไข่ไก่ต้มสุกอยู่ตรงนั้น 

 

 

ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่มีซ่งจินเป่ายืนนำหน้า เฉียนหมี่โซ่วปิดท้าย และมีเด็กๆ ยืนเรียงกันเป็นแถว เด็กแต่ละคนจ้องมองเขาแล้วดูดนิ้วมือไปด้วย