ไข่ไก่ในมือที่เพิ่งกินไปได้ครึ่งหนึ่ง ลู่พั่นก็กินไม่ลงแล้ว เขาโบกมือ 

 

 

ซุ่นจื่อรีบตะโกนบอกทหารที่มีหน้าที่ดูแลด้านอาหาร “ให้ตามจำนวนคนของพวกเขา คนหนึ่งให้ไข่ต้มหนึ่งฟอง” 

 

 

สักพักหนึ่ง แถวเด็กน้อย แต่ละคนได้ไข่ไก่ต้มร้อนๆ หนึ่งฟองที่เพิ่งเอาออกมาจากเตา 

 

 

พวกเด็กๆ ต่างตื่นเต้นดีใจกันมาก 

 

 

ซ่งจินเป่าร้อนจนต้องใช้ปากเป่า สองมือจับไข่ไก่ไว้แน่นเพื่อให้ระบายความร้อน และเอาไข่ไก่ยัดเข้าปากโดยที่เขาไม่สนใจจะปอกเปลือกมัน 

 

 

ในเด็กกลุ่มนี้ มีเด็กน้อยใช้ผ้าห่อไข่ไก่ไว้ ไม่รีบร้อนที่จะกิน 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วพาหัวใจอันสั่นไหว มือถือไข่ไก่สั่นเท่าด้วยความตื่นเต้น เขาลองก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว แล้วลองก้าวไปข้างหน้าอีกหลายก้าว  

 

 

เมื่อพบว่าไม่มีทหารเข้ามาห้ามปรามเขา เขาจึงใช้สองเท้าน้อยๆ วิ่งเข้าไป 

 

 

เขาวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าลู่พั่นแล้วคุกเข่าลง 

 

 

เด็กน้อยวัยห้าขวบเอาไข่ไปวางไว้ด้านข้างก่อน จากนั้นเขาจึงใช้สองมือวางกับพื้นและโขกหัวจนเกิดเสียงดัง หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าอันมอมแมมขึ้นมา เขาพูดกับลู่พั่น “นายท่าน ขอไข่อีกฟองให้แก่ข้าน้อยได้ไหม?” 

 

 

ซุ่นจื่อขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ “เจ้าเพิ่งได้ไปหนึ่งฟองไม่ใช่หรือ? ไปๆ ยังไม่ทันได้กินก็อยากจะเอาอีก?” 

 

 

“ข้าอยากเอาไปให้พี่สาวฟองหนึ่ง” 

 

 

ซุ่นจื่อหันไปมองซ่งฝูหลิง “คนนั้นที่เพิ่งเป็นลมหมดสติไป? นางโตแล้ว เจ้ากินของเจ้าเถอะ พี่สาวของเจ้าคงไม่กิน” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วกระพริบตา “ไม่ นายท่าน พี่สาวของข้าต้องเอาแน่ๆ” 

 

 

ลู่พั่นอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองซ่งฝูหลิงอีกครั้ง “…” 

 

 

คนกลุ่มนั้นบอกว่า นางไม่ยอมทำอะไร นางไม่ทำการทำงาน พวกเขาถึงวางสิ่งของที่อาจแตกง่ายไว้กับนาง ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงไม่ใช่มีแค่เท่านี้ 

 

 

ซุ่นจื่อเติมคำพูดที่เหลืออยู่ในใจของลู่พั่น คิดในใจ พี่สาวของเจ้าทำไมถึงตะกละขนาดนั้นน่ะ 

 

 

“ต้มให้หมดเถอะ” ลู่พั่นหยุดชะงักสักครู่ “นำกล่องขนมออกมาด้วย” 

 

 

ซุ่นจื่อตกตะลึง นั่นเป็นของที่เหล่าฮูหยินเตรียมไว้เป็นพิเศษให้กับคุณชายน้อยเวลาเดินทาง ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ช่างมีความสุขเสียจริง โชคดีมาก “ขอรับ” 

 

 

“เรียกบัณฑิตคนนั้นมาพบข้าด้วย” 

 

 

เมื่อมีทั้งขนมและไข่ไก่มาให้ ทุกคนต่างดีใจกันมาก 

 

 

พวกเด็กน้อยยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้กำลังลี้ภัย แต่เหมือนได้ฉลองเทศกาลปีใหม่  

 

 

โดยเฉพาะขนมนั้น ถึงแม้ว่าคนหนึ่งจะแบ่งได้เพียงหน่อยเดียว แต่ตั้งแต่พวกเขาโตกันมาขนาดนี้ก็ยังไม่เคยกินเลย ไม่เคยพบเห็นขนมที่ทำได้ประณีตวิจิตรขนาดนี้ แถมยังมีรสชาติที่อร่อย 

 

 

ซ่งฝูหลิงที่เคยกินของดีๆ มาก็เยอะ ตอนนี้นางรู้สึกว่าขนมนี่มัน… 

 

 

“นี่มันจะอร่อยเกินไปแล้ว” 

 

 

หลังจากกินเสร็จ ซ่งฝูหลิงเช็ดขนมที่ติดอยู่ตรงมุมปากปาดเข้าปากไป นางยิ้มอย่างอารมณ์ดี สองมือถูหน้าเล็กๆ ของหมี่โซ่ว จับแก้มยุ้ยของเด็กน้อยบีบจนเปลี่ยนรูปพร้อมเอ่ยขึ้น“น้องชาย เจ้าช่างเก่งจริงๆ” 

 

 

ไกลออกไป ซุ่นจื่อถลึงตามองซ่งฝูหลิงด้วยความรังเกียจ แต่หูของเขาก็ไม่ได้ว่าง กำลังฟังซ่งฝูเซิงเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางให้นายน้อยของเขาฟัง  

 

 

“ระหว่างทางมีผู้คนหิวโหยจำนวนมาก ผู้คนจับกลุ่มรวมตัวกันปล้น เกิดการแย่งชิงอาหารกัน คนกินกันเอง คนตายทิ้งลูกหลาน… 

 

 

…มีคนหลายคนกินดินกินเปลือกไม้ประทังชีวิตจนท้องป่อง พืชพรรณ ต้นหญ้า ต้นไม้ต่างอับเฉา… 

 

 

…ข้าน้อยเดินผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่บ้านไร้สุนัขเห่าหอน บ้านเรือนว่างเปล่า มีแต่ซากกระดูกอันขาวโพลนอยู่ทั่วทุกที่ ยามค่ำคืนเหมือนมีเสียงผีร้องไห้คร่ำครวญ… 

 

 

เมื่อผลักประตูเข้าไป มีห้องหนึ่งที่มีผู้คนแต่ก็สิ้นใจแล้ว นอนอยู่บนเตียงไม่มีผู้ใดมาเก็บศพ…” 

 

 

ซ่งฝูเซิงคิดขณะพูดไป สี่คำนี้ สี่คำที่พูดออกไป พูดกับท่านมาห้านาทีแล้ว หากท่านไม่ให้ข้าหยุด ข้าก็ไม่รู้จะใช้คำพูดใดพูดออกมา 

 

 

ลู่พั่นเหลือบมองไปที่รถเข็นที่จอดไว้เป็นระเบียบอีกครั้ง คนกลุ่มนี้มองดูแล้วก็น่าสังเวชใจ แต่เมื่อเทียบกับผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังมีสภาพดีกว่าผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่มาก 

 

 

ไม่ได้ยินที่คนผู้นี้พูดหรือ ครอบครัวอื่นมีเด็กเสียชีวิตหลายคน และมีอีกหลายคนที่ถูกโยนทิ้งไว้กลางทาง แต่ในกลุ่มพวกเขายังไม่มีใครเสียชีวิตสักคนเดียว 

 

 

“เล่ามาว่าเจ้าได้ข่าวมาได้อย่างไร พูดถึงการเดินทาง ตลอดจนเรื่องที่ว่าเจ้าจัดการกลุ่มคนที่มีจำนวนร้อยกว่าคนนี้ได้อย่างไร” 

 

 

ซ่งฝูเซิงหยุดสักครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันกระทืบเท้าหยิบจดหมายที่ท่านพ่อตาเขียนถึงเขาออกมา 

 

 

ทันทีที่ลู่พั่นเห็นเนื้อความเริ่มต้นของจดหมายที่ท่านเฉียนเขียนระบายอารมณ์ลงในนั้น เขาก็เกือบจะเผลอหัวเราะขบขันออกมา เกือบเสียภาพลักษณ์ เขาต้องอดกลั้นไว้ 

 

 

เขาอ่านจดหมายและฟังคำอธิบายของซ่งฝูเซิงเกี่ยวกับวิธีการจัดขบวน ใครทำอะไร ใครรับผิดชอบอะไร เมื่อฟังจนถึงตอนสุดท้าย ลู่พั่นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับซ่งฝูเซิง 

 

 

เพียงแค่มองอย่างจริงจัง สักพักเขาก็คืนจดหมายให้แล้วโบกมือให้ซ่งฝูเซิงออกไปได้  

 

 

หลังจากนั้น ลู่พั่นก็ขี่ม้าจากไปภายใต้สายตาของเหล่าเด็กน้อย ที่จ้องมองด้วยความอาลัยอาวรณ์ 

 

 

การรายงานในครั้งนี้ ซ่งฝูเซิงไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังมากนัก เขาคิดว่าที่แม่ทัพหนุ่มซักถามเขาก็เพราะอยากรู้รายละเอียดทางด้านนั้น 

 

 

อาจเป็นไปได้ว่าไม่ค่อยวางใจกับกลุ่มคนของพวกเขา ที่ไม่ค่อยได้รับบาดเจ็บ เพราะมีคนสองร้อยกว่าคนในกลุ่ม ถึงได้ซักถามมากหน่อย 

 

 

นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอยากให้เรื่องจบอย่างรวดเร็ว เขาถึงยื่นจดหมายของพ่อตาให้ จะได้ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก พวกเขาเป็นประเภทที่ได้รับจดหมายเร็วมากกว่าคนอื่น จึงหนีได้เร็วกว่าคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดาเพราะในเมืองมีญาติอยู่ 

 

 

ห้าวันต่อมา ในที่สุดทุกคนก็เดินทางมาถึงหน้าเมืองโยวโจว