ด้วยเหตุนี้ เว่ยจางจึงออกจากเมืองหลวงแต่เช้า เพื่อรอคุณชายเฟิงปรากฎตัว
เฟิงเซ่าเชินยกยิ้มบางๆ ขึ้น “ฟ้าดินย่อมรู้ดี ใต้หล้านี้ จะมีเรื่องอะไรได้? ในใจของข้ารู้สึกเบื่อหน่ายจึงออกมาสูดอากาศข้างนอก หากให้คนติดตามมาด้วยจะทำให้ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายและเคร่งเครียดกว่าเดิม”
“ที่แท้คุณชายเฟิงชื่นชอบพื้นที่ละแวกนอกเมืองอันสงบสุขนี่เอง กลับเป็นข้าที่ทำลายเวลาอันสุขสำราญของท่านเสียแล้ว” เว่ยจางยิ้มอย่างเรียบเฉย นัยน์ตาเย็นชากวาดมองดวงหน้าที่งดงามมากยิ่งกว่าสตรีของเฟิงเซ่าเชิน สีหน้าของเขาคละเคล้าด้วยความดูหมิ่น
“เป็นเช่นนั้นเสียที่ไหนเล่า ก็แค่ได้เจอะเจอกับแม่ทัพเว่ยที่นี่ จึงทำให้คาดคิดไม่ถึงเท่านั้น” ถึงปากของเฟิงเซ่าเชินจะเอ่ยด้วยวาจาที่เกรงอกเกรงใจเว่ยจาง ทว่าในใจกลับรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก เขาเสี่ยงหนีออกมาอย่างยากลำบาก จู่ๆ ก็มีคนมาทำให้แผนการของตนเองล่มเช่นนี้
เว่ยจางยิ้มเล็กน้อย “บ้านนาบ้านไร่เล็กๆ แห่งนี้เคยเป็นทรัพย์สมบัติตระกูลเว่ยของข้ามาก่อน วันนี้ข้าเลยมาเยี่ยมชมเท่านั้น”
เรื่องของตระกูลเว่ย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในเมืองอวิ๋นต่างก็ทราบกันดี เว่ยเอ้อร์โต้วคิดจะวางแผนฮุบสมบัติของบุตรภรรยาเอกของตระกูล ตอนนี้ก็ถูกจับกุมตัวและกักขังไว้ในคุกเป็นที่เรียบร้อย ต่อให้เฟิงเซ่าเชินไม่ถามไถ่ก็รู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้น เขาจึงเอ่ยถามคล้ายว่ากำลังฉงนสงสัย “ที่แท้ที่แห่งนี้เคยเป็นทรัพย์สมบัติของจวนแม่ทัพหรอกหรือ การกระทำเช่นนี้ของท่าน ไม่ใช่ว่าอยากจะยึดบ้านนาแห่งนี้กลับไปหรืออย่างไร”
“ข้าก็แค่มีแผนการที่จะจัดสรรทรัพย์สมบัติของข้าใหม่เท่านั้น” เว่ยจางตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยน หากกล่าวถึงการวางแผนตามโจมตีฝ่ายตรงข้าม ต่อให้มีเฟิงเซ่าเชินอีกสิบคนก็ไม่ใช่คู่ปะทะของเว่ยจางอยู่ดี สีหน้าที่ดูกระวนกระวายของเขานั้นถูกเว่ยจางจับจ้องไว้ตลอดเวลา ในใจจึงมีไฟแห่งความโมโหลุกโชนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เฟิงเซ่าเชินขมวดคิ้วเป็นปม แล้วจับจ้องเว่ยจางไว้ คำพูดพลันหยุดชะงัก
เว่ยจางสบตาเฟิงเซ่าเชินกลับด้วยนัยน์ตานิ่งเฉย และไม่พูดไม่จาใดๆ
อย่างไรเฟิงเซ่าเชินก็มีอายุน้อยกว่า ใจจึงไม่นิ่งพอเหมือนดั่งเว่ยจาง ดังนั้นเขาเอ่ยอย่างอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป “ข้ายังมีกิจอยู่ ต้องขอตัวก่อน แม่ทัพเว่ยไว้พบกันใหม่”
“อ้อ?” เว่ยจางเอ่ยด้วยความแปลกใจ “คุณชายเฟิงไม่ใช่ว่าจะมาสูดอากาศระบายความเครียดหรอกหรือ ยังมีธุระสำคัญอะไรอีก”
ภายในใจของเฟิงเซ่าเชินรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก ทว่ากลับไม่สามารถทำเรื่องที่ผิดใจกันได้ เขาทำได้เพียงแสยะยิ้มอย่างไม่แยแส แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกกระหายน้ำ จึงอยากจะไปขอน้ำดื่มในบ้านนาแห่งนี้เสียหน่อย”
เว่ยจางยิ้มอย่างเรียบเฉย “เช่นนั้นก็บังเอิญนัก เพราะข้าอยากจะไปดูการเปลี่ยนแปลงในบ้านนาหลังนี้เช่นเดียวกัน พวกเราเข้าไปด้วยกันเถอะ”
“…” เฟิงเซ่าเชินสูดลมหายใจเข้าด้วยความเจ็บปวดใจยิ่งนัก ในใจกำลังคิดว่าบุรุษผู้นี้เหตุใดถึงได้น่ารังเกียจเยี่ยงนี้!
เว่ยจางกลับดึงบังเหียนม้าไว้ แล้วเดินไปยังหน้าประตูที่มีป้ายไม้เขียนไว้ว่า “บ้านนาน้อยวัวจวู” แขวนอยู่ หยิ่นเห้อไม่กล้าทำตัวชักช้า เขารีบจูงบังเหียนม้าของคุณชายตนเองเดินเข้าไป เฟิงเซ่าเชินขี่อยู่บนหลังม้าอย่างสง่างาม เขายับยั้งความรู้สึกโกรธเต็มท้องจนไม่มีที่ระบาย เขาต้องเก็บกลั้นมันไว้จนใบหน้างดงามของเขานั้นแดงระเรื่อขึ้นมา
เมื่อแขกเหรื่อผู้มีเกียรติมาเยี่ยมเยียน แน่นอนว่าพวกบ่าวก็ไม่อาจทำตัวชักช้า บ่าวที่เฝ้าอยู่ตรงประตูหน้าจึงรีบร้อนเข้าไปตรงประตูเรือนหลักของบ้านนาน้อยวัวจวู เถียนหลัวที่เป็นเวรเฝ้าประตูในวันนี้ได้ยินว่าแม่ทัพติ้งหย่วนและคุณชายใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีมาเยี่ยมเยียน จึงไม่กล้าชักช้า เขาจึงรีบหันหลังเดินเข้าไปหาปั้นซย่า
เฝิงหมัวมัวได้ยินว่าทั้งสองคนมา จึงขมวดคิ้วขึ้น ทว่าอย่างไรคราวนี้ผู้ที่มาเยือน คนหนึ่งก็คือแม่ทัพ อีกคนคือบุตรชายของจวิ้นจู่ ไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถไล่ให้ไปจากที่นี่ง่ายดาย ด้วยเหตุนี้จึงให้เถียนหลัวออกไปต้อนรับแล้วเชิญพวกเขาเข้าไปคอยที่ห้องโถงหลักของเรือนหน้า สั่งให้เขายกน้ำชาออกมาต้อนรับ ส่วนตนจะเข้าไปบอกกับเหยาเยี่ยนอวี่เอง
สำหรับเหยาเยี่ยนอวี่ เฟิงเซ่าเชินและเว่ยจางต่างก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า ทว่าก็ไม่ได้สนิทสนมเช่นเดียวกัน
แม้ว่าราชวงศ์ต้าอวิ๋นจะไม่ค่อยเข้มงวดในการรักษาระยะห่างระหว่างหนุ่มสาว ทว่านางคือสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน จึงไม่เหมาะที่จะเจอกับบุรุษเช่นนี้ นางเองก็ไม่ได้ไปสนใจอะไร ทว่าอย่างไรก็ยังคงต้องคำนึงถึงธรรมเนียมประเพณีของใต้หล้าแห่งนี้
ดังนั้นจึงกล่าวว่า “หมัวมัวออกไปแล้วท่านกล่าวกับพวกเขาสองคนว่าข้าป่วยและนอนพักอยู่บนที่นอน ไม่สะดวกแก่การไปพบปะกับผู้ใด แขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านมีคำพูดอะไรจะฝาก ก็ฝากมาได้เลย สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็จะกระทำ ทว่าสิ่งที่มิอาจทำได้ก็คงทำอะไรไม่ได้”
เฝิงหมัวมัวครุ่นคิดไปสักพักและเห็นด้วยว่าคงต้องทำเช่นนี้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปกล่าวคำพูดที่เหยาเยี่ยนอวี่ฝากให้กับพวกเขาทั้งสองด้วยความเกรงอกเกรงใจ
เฟิงเซ่าเชินได้ยินจึงรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาทันที “คุณหนูเหยาป่วยเป็นโรคอะไร นางมีความรู้ด้านการแพทย์ไม่ใช่หรือ”
เว่ยจางกลับดูนิ่งเฉยกว่ามาก ไม่รอให้เฝิงหมัวมัวเอ่ย จึงได้กล่าวขึ้นก่อน “ข้าบังเอิญผ่านทางนี้ พอเห็นสิ่งของและบ้านนาแห่งนี้ จึงได้นึกย้อนถึงเรื่องราวเก่าๆ ดังนั้นเลยอยากจะมาเดินชมโดยรอบของบ้านนาแห่งนี้ แล้วมาชมทิวทัศน์ที่เคยชมมาก่อน ทว่าในเมื่อคุณหนูเหยาไม่สบาย เช่นนั้นข้าคงต้องมาเยี่ยมเยียนในวันหลัง” พูดจบ ก็ได้เหยียดกายลุกขึ้นและเตรียมตัวกล่าวอำลา จากนั้นก็มองเฟิงเซ่าเชินก่อนที่จะเอ่ยถาม “คุณชายเฟิง พวกเราได้ดื่มน้ำชากันแล้ว เช่นนั้นก็กลับพร้อมกันเถอะ?”
เฟิงเซ่าเชินไม่อยากออกไปแม้แต่น้อย ทว่าน้ำชานี้ก็ได้ดื่มจนเย็นหมดแล้ว เขาก็ไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะอยู่ต่ออีก
อีกอย่างหากไม่ไปจากที่นี่พร้อมกันกับเขา เมื่อกลับไปแล้วหากบุรุษห่ามๆ ผู้นี้ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตนเอง และถ้าหากทำให้ชื่อเสียงของเหยาเยี่ยนอวี่ต้องเสื่อมเสีย ก็ถือว่าเป็นความผิดที่เขาก่อขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ลุกขึ้นไม่ได้แล้วจริงๆ เขาได้หันไปพูดกับเฝิงหมัวมัว “ไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้ พวกเราขอตัวก่อน ข้าจะกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้กับท่านย่า แล้วให้ท่านส่งคนของสำนักหมอหลวงมาดูอาการให้กับคุณหนูเหยาเอง”
เว่ยจางยังคงยิ้มจางๆ ขึ้น “คนของสำนักหมอหลวงไม่มีผู้ใดที่มีฝีมือเหนือกว่าคุณหนูเหยา ข้าว่าอย่าได้เรียกพวกเขามารบกวนคุณหนูเหยาเลย”
เฟิงเซ่าเชินถูกขัดขึ้น สีหน้าของเขาจึงดูไม่ดียิ่งนัก
เฝิงหมัวมัวก้มหน้าลงแล้วฟังพวกเขาทั้งสองที่กำลังถกเถียงกัน จึงถอนหายใจภายในใจครั้งแล้วครั้งเล่าพลางคิด ท่านทั้งสอง หากจะมีเรื่องกันก็เชิญออกไปข้างนอกเสียก่อนเถอะ! อย่าได้มาทำเรื่องรบกวนที่นี่เลย หรือว่าพวกท่านจะทะเลาะถกเถียงกันจนคอแห้งแล้วจะนั่งจิบชาอยู่ที่นี่ต่ออีกหรือไร
ไม่ง่ายเลยที่จะเชิญเทพเจ้าทั้งสองผู้มีความสามารถในฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง และเชี่ยวชาญในฝ่ายบู๊อีกคนหนึ่งออกไปจากที่นี่ เฝิงหมัวมัวจึงทอดถอนใจอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็กลับไปรายงานเรื่องนี้กับเหยาเยี่ยนอวี่
เฟิงเซ่าเชินรู้สึกไม่พอใจภายในใจ พอออกจากบ้านนาก็ได้พลิกตัวขึ้นหลังม้าโดยทันที จากนั้นก็กล่าวอำลากับเว่ยจางด้วยเสียงเรียบเฉยสั้นๆ แล้วควบม้าจากไป เว่ยจางมองด้านหลังของชายหนุ่มที่สูงศักดิ์ผู้นั้นถูกตนทำให้เครียดจนต้องรีบออกจากที่นี่ เขาจึงจับคางของตนแล้วยิ้มขึ้น
“ท่านแม่ทัพขอรับ พวกเราจะกลับจวนเลยใช่หรือไม่” ฉังเหมาขยับเข้าไปดูสีหน้าของนายของเขา แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“กลับกันเถอะ” เว่ยจางหันกลับไปมองที่ป้ายหน้าประตูทางเข้าที่มีอักษรเขียนไว้ว่า “บ้านนาน้อยวัวจวู” สายตาจับจ้องที่ชื่ออยู่นานโดยไม่ละสายตาไปไหน
หลังจากที่เว่ยจางกลับไป ก็ถูกเชิญตัวไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง
องค์หญิงใหญ่หนิงหวากับเจิ้นกั๋วกงหันเวยปรึกษาหารือกันเสร็จ ก็จะได้ทำการออกหน้าเป็นแม่สื่อเรื่องงานสมรสกับตระกูลเหยาให้แก่เว่ยจาง เจิ้นกั๋วกงเชิญตัวเว่ยจางไปพบที่ห้องอักษรของตนเพื่อถามไถ่เรื่องนี้
เจิ้นกั๋งกงให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตนเป็นอย่างมาก เขาพูดจาไม่อ้อมค้อม จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “องค์หญิงใหญ่มีใจที่จะเป็นแม่สื่อให้แก่เจ้า แค่ไม่รู้ว่าในใจของเจ้ามีความคิดอย่างไร ฉะนั้นข้าเลยมาลองถามเจ้าดู”
เว่ยจางทำมือคารวะแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกตะลึง “ไม่ทราบว่าองค์หญิงใหญ่และท่านกั๋วกงได้เลือกสตรีตระกูลใดให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านหรือขอรับ”
เจิ้นกั๋วกงยิ้มบางๆ “คนผู้นี้แน่นอนว่าเจ้าเคยพบแล้ว นางคือคุณหนูรองตระกูลเหยาที่ทำการรักษาให้กับซู่จือเมื่อหลายวันก่อน”
เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเขาเสียจริง ทำให้เว่ยจางไม่สามารถตอบสนองได้โดยทันที สิ่งหนึ่งที่ตัวเขาเองพยายามสรรหาวิธีเพื่อจะทำให้เกิดขึ้น ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าประโยคที่เจิ้นกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่เชิญเขามาเพื่อพูดคำพูดนี้
หันเวยเห็นเว่ยจางไม่พูดไม่จา จึงคิดว่าเขากำลังลังเล เพราะเหตุนี้จึงเอ่ยพูดขึ้น “เหตุใดเจ้าไม่ยินยอมกระนั้นหรือ คุณหนูเหยาผู้นี้ถึงแม้จะเป็นบุตรีอนุภรรยา ทว่านางกลับมีวิชาความรู้ทางการแพทย์ที่ไร้เทียมทาน อีกทั้งมีรูปโฉมงดงาม ท่าทางสง่าผ่าเผย นางเป็นสตรีเช่นไร เจ้าเองก็น่าจะมองเห็นอย่างกระจ่าง ข่าวลือคำนินทาว่าร้ายข้างนอกนั่นไม่ใช่ความจริง อีกอย่าง…เวลานั้นนางหมดสติไป เจ้ายังเป็นผู้อุ้มนางไปนอนพักฟื้นที่เรือนข้าง เรื่องนี้สำหรับเจ้าแล้วคงไม่มีอะไร ทว่าสำหรับสตรีถือเป็นเรื่องใหญ่”