ตอนที่ 92 นัดหมายพบกันอีกครั้ง ความสงสัยเกิดขึ้นทันควัน (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เว่ยจางดึงสติกลับมาได้นานแล้ว และเมื่อหันเวยกล่าวจบ เขารีบโค้งตัวลง “ท่านกั๋วกง ข้าผู้ใต้บังคับบัญชาท่านชื่นชมคุณหนูเหยามานาน หากองค์หญิงใหญ่สามารถออกหน้าเป็นแม่สื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง!”

หันเวยเห็นเว่ยจางเป็นเช่นนี้ จึงยิ้มแล้วพยักหน้า “ลุกขึ้นๆ! เรื่องนี้ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย องค์หญิงใหญ่และข้าย่อมต้องช่วยเจ้าวางแผนจัดการเป็นอย่างดีแน่นอน”

เว่ยจางพลันกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ความปลื้มปิติพลุ่งพล่านขึ้นมาจากใจ นัยน์ตาของเขาไม่อาจเก็บซ่อนความยินดีเอาไว้ได้

เดิมทีหันเวยนึกว่าเว่ยจางยอมตกลงเพราะเห็นแก่หน้าตนและองค์หญิงใหญ่ ทว่าเมื่อเห็นเขาดีใจเช่นนี้ จึงเอ่ยถามขึ้น “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ข้ามีเรื่องข้องใจอยู่อย่างหนึ่ง วันที่คุณหนูเหยาทำการรักษาซู่จือ เหตุใดเจ้าจึงมีมีดชุดที่มีหน้าตาแปลกประหลาดเช่นนั้นไว้ครอบครอง”

เว่ยจางยิ้มด้วยความประหม่าขัดเขิน แล้วพูดขึ้น “ไม่ขอปิดบังท่านกั๋วกง ผู้ใต้บังคับบัญชาบังเอิญเจอกับคุณหนูเหยาที่โรงหลอมเหล็ก และได้เห็นภาพร่างชุดมีดที่นางสั่งทำกับช่างพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะทางโรงหลอมเหล็กไม่อาจทำชุดมีดเหล่านี้ให้คุณหนูเหยาได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงนำภาพร่างชุดมีดนั้นไปให้ช่างอีกคนทำพ่ะย่ะค่ะ”

“ฮ่า!” เจิ้นกั๋วกงตบโต๊ะแล้วหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กคนนี้ ที่แท้เจ้าก็หมายปองนางมานานแล้ว?”

ใบหูของเว่ยจางแดงระเรื่อ เขายิ้มแล้วก้มหน้าลง

ตอนค่ำ ยามที่เจิ้นกั๋วกงเล่าเรื่องนี้ให้องค์หญิงใหญ่ฟัง องค์หญิงใหญ่หนิงหวากลั้นหัวเราะแล้วพูดขึ้น “เป็นดั่งที่ซู่เอ๋อร์พูดเอาไว้ไม่ผิด ‘บุรุษมีใจ’ มานานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่า ‘สตรีมีใจ’ หรือไม่”

“เรื่องนี้ขอเพียงแค่เหยาหย่วนจือตกลงก็เพียงพอแล้ว” เจิ้นกั๋วกงพูดอย่างไม่ใส่ใจ

ตั้งแต่โบราณ การสมรสนั้นล้วนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของบิดามารดาและการสู่ขอของแม่สื่อ การที่วันนี้เขาตามตัวเว่ยจางมานั้น เป็นเพราะในจวนแม่ทัพติ้งหย่วนไม่มีผู้ใดสามารถตัดสินใจแทนแม่ทัพเว่ยเซ่าได้ บิดาและมารดาของเขาสิ้นใจไปนานแล้ว ปู่ของเขาก็สิ้นใจไปนานกว่าแปดปี ญาติพี่น้องของตระกูลเว่ยเหลือเพียงเว่ยเอ้อร์โต้ว ทว่าเวลานี้เขาก็ยังอยู่ในคุก ไม่เช่นนั้นจวนแม่ทัพติ้งหย่วนก็คงไม่ตกถึงมือเจ้าเด็กคนนี้แน่นอน

“พวกเราทำเช่นนี้เพราะหวังดีต่อคุณหนูตระกูลเหยา คงไม่อาจตกลงเรื่องสมรสโดยที่ไม่ผ่านการยินยอมจากนาง” สิ่งที่องค์หญิงใหญ่หนิงหวาคิด หากว่าตนออกหน้าเป็นแม่สื่อ เหยาหย่วนจือไม่กล้าปฏิเสธอย่างแน่นอน หากเหยาหย่วนจือตกลง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ถือว่าได้ตกลงกันตามนี้ ทว่าหันซังเกอพูดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญไม่ใช่ตำแหน่งของข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง แต่คือคุณหนูเหยาสตรีผู้มากความสามารถในด้านการแพทย์ ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดควรจะเป็นการที่ทั้งสองมีใจให้กัน

เมื่อได้ฟังคำพูดขององค์หญิงใหญ่ หันเวยยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “เว่ยจางกล่าวว่าเขาหมายปองคุณหนูเหยามานานแล้ว เขาพูดเช่นนี้ มีหรือที่วันข้างหน้าจะทำให้นางเจ็บช้ำใจ?”

เจิ้นกั๋วกงคือบุรุษผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยว แน่นอนว่าทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาย่อมเป็นบุรุษที่คัดเลือกมาแล้วเป็นอย่างดี ในสายตาของเจิ้นกั๋วกง การที่เว่ยจางสมรสกับเหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นเพียงบุตรีอนุภรรยา ทั้งยังยกย่องให้นางเป็นถึงฮูหยินเอก ก็ถือว่าเหยาเยี่ยนอวี่หัวสูงเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะแม่นางผู้นี้มีความสามารถด้านการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม นางจะได้ออกเรือนกับเว่ยจางได้อย่างไร เพียงแค่สุ่มเลือกบุตรีอนุภรรยาในตระกูลอ๋องเหล่านั้นมาสักคน  มีหรือที่สตรีพวกนั้นจะไม่สูงศักดิ์ไปกว่าบุตรีอนุภรรยาของเหยาหย่วนจือ?

องค์หญิงใหญ่หนิงหวาและเจิ้นกั๋วกงอยู่กินเป็นสามีภรรยาด้วยกันมาหลายปี นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังคิดสิ่งใด เพียงแต่นางไม่อาจพูดได้ นางไม่อาจทำลายความสัมพันธ์ของสามีภรรยาเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องนี้เอง”

ทางด้านเจิ้นกั๋วกงก็เกียจคร้านจะสนใจเรื่องเหล่านี้ของสตรี เขาถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนั่งบนเตียง “แน่นอนว่าต้องให้องค์หญิงเป็นผู้จัดการสิ เรื่องนี้ข้าขอเป็นเพียงลูกมือขององค์หญิงก็พอแล้ว”

วันที่สอง หันหมิงชั่นมาแสดงความเคารพมารดาในยามเช้า ประจวบเหมาะกับเวลานี้เฟิงเซ่าอิ่งก็อยู่ที่นี่ด้วย องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงพูดขึ้น “บาดแผลของซู่เอ๋อร์ดีขึ้นมาก ทว่าแม่ยังไม่เคยได้พบเจอกับคุณหนูเหยาผู้นี้เลย เราควรจะหาเวลาเชิญนางมาที่จวน เพื่อแสดงความมีน้ำใจหน่อยหรือเปล่า”

เฟิงเซ่าอิ่งยังไม่รู้ว่าองค์หญิงใหญ่จะเป็นแม่สื่อให้เว่ยจางกับเหยาเยี่ยนอวี่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใจของนางก็หล่นวูบ นางลอบคิดในใจ สุดท้ายวันนี้ก็มาถึงจนได้!

ทางด้านหันหมิงชั่นพูดด้วยความดีใจ “ลูกเองก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ลูกเพียงแค่กลัวว่าท่านแม่จะไม่มีเวลา จึงไม่กล้าเอ่ยถาม”

“ดอกเหมยสีขาวกลีบเลี้ยงเขียวนับหลายสิบต้นที่พวกเขาส่งมาให้แม่เมื่อหลายวันก่อน เวลานี้กำลังจะผลิบานอย่างงดงามแล้ว” องค์หญิงใหญ่หนิงหวามองบุตรีของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วพูดขึ้น

หันหมิงชั่นปรบมือหัวเราะพร้อมพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ดีเลย ลูกจะได้เชิญน้องเหยามาชมดอกเหมยในจวน ก่อนหน้านี้ลูกได้สัญญาว่าจะเชิญน้องเหยามาพูดคุยเล่นที่จวน เพียงแต่มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นจนทำให้ไม่มีเวลาว่าง ครั้งนี้ขออาศัยดอกเหมยของท่านแม่ เพื่อคลายเรื่องที่ติดค้างในใจของลูกเถอะ”

เฟิงเซ่าอิ่งครุ่นคิดอยู่นานครู่หนึ่ง แล้วเสนอความเห็นขึ้นมา “หากเชิญคุณหนูเหยาเพียงคนเดียวเกรงว่าคงจะเงียบเหงา เช่นนั้นเชิญคุณหนูจวนต่างๆ มาด้วยดีไหม”

“ไม่จำเป็นต้องเชิญมาทั้งหมดหรอก” องค์หญิงใหญ่หนิงหวากล่าวด้วยเสียงเรียบ “เชิญเฉพาะเหล่าคุณหนูที่สนิทสนมไม่กี่ตระกูลก็พอแล้ว ต้องเชิญคุณหนูสามจวนติ้งโหวมาด้วย อีกทั้งในตระกูลของเรายังมีหญิงสาวอีกสองคนมิใช่หรือ เช่นนั้นเชิญน้องสาวบุตรีอนุภรรยาของตระกูลทางแม่เจ้ามาด้วยเถอะ เช่นนี้หญิงสาวเจ็ดแปดนางอยู่ร่วมกันก็จะทำให้บรรยากาศครึกครื้นมากกว่าเดิม”

เฟิงเซ่าอิ่งลุกขึ้นแล้วขานรับในทันที “เพคะ สะใภ้ไปจัดการประเดี๋ยวนี้”

หลังจากปรึกษาหารือเรื่องวันเวลาจนเสร็จ หันหมิงชั่นก็ได้นำเอาแผ่นกระดาษที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของพฤกษามาเขียนคำเชิญให้กับคุณหนูทั้งหลาย สำหรับใบเทียบเชิญของเหยาเยี่ยนอวี่นั้น นางได้ให้ซูอิ่งสาวใช้ขั้นหนึ่งส่งไป พร้อมทั้งเขียนจดหมายไปอีกหนึ่งฉบับ เป็นข้อความในการเชื้อเชิญเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยถ้อยคำที่สุภาพ พร้อมกำชับว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องมาให้ได้

หลังจากอ่านใบเทียบเชิญและจดหมายเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มบางๆ ให้กับซูอิ่งจากนั้นพูดขึ้น “เจ้ากลับไปรายงานคุณหนูรอง บอกให้นางวางใจเถอะ งานวันมะรืนนี้ข้าจะไปถึงที่หมายอย่างตรงต่อเวลา”

ซูอิ่งย่อตัวลงขานรับ จากนั้นนางก็พูด “คุณหนูของบ่าวจะส่งรถม้ามารับคุณหนูเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มแล้วพูด “ไม่เป็นอันใด ข้านั่งรถม้าไปเองก็ได้ ให้รถม้าขับมาขับไปเช่นนี้ จะทำให้เสียเวลาเสียงานการ”

ซูอิ่งคลี่ยิ้ม “คุณหนูอย่าได้เป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ คุณหนูของบ่าวบอกเอาไว้ว่าจะส่งรถม้าและเหล่าผู้คุ้มกันมาก่อนหนึ่งคืน เช้าวันที่สองพวกเขาจะรับคุณหนูไป จะไม่เป็นการเสียเวลาเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างจนปัญญา “คุณหนูของพวกเจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว”

“องค์หญิงใหญ่ตรัสแล้วว่า คุณหนูเป็นผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวงของตระกูล ต้องดูแลให้ทั่วถึงเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า “คำพูดนี้ข้าไม่กล้ารับเอาไว้จริงๆ”

เมื่อถึงคืนวันนั้น จวนเจิ้นกั๋วกงได้ส่งรถม้าขนาดใหญ่ซึ่งใช้ม้าถึงสี่ตัวในการขับเคลื่อน พร้อมทั้งผู้คุ้มกันอีกสิบสองคนมายังบ้านนาน้อยวัวจวู เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้เฝิงหมัวมัวออกไปต้อนรับพร้อมทั้งดูแลเรื่องอาหารการกินและที่พักให้กับพวกเขา เช้าวันรุ่งขึ้นเหยาเยี่ยนอวี่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง หลังจากแต่งตัวเสร็จ นางก็กินอาหารเช้าอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็นั่งบนรถม้าของหันหมิงชั่นเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองอวิ๋น

งานเลี้ยงชมดอกเหมยในครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้เหยาเยี่ยนอวี่และเว่ยจางพบเจอกัน เพื่อสังเกตดูเหยาเยี่ยนอวี่มีท่าทีอย่างไรกับเว่ยจาง ด้วยเหตุนี้เว่ยจางก็ได้รับคำชวนจากหันซังเกอและมาถึงจวนแต่เช้า เหตุเพราะเหยาเยี่ยนอวี่เป็นน้องสาวของเหยาเฟิ่งเกอ หันซังเกอจึงสั่งให้คนส่งเทียบเชิญไปให้สองสามีภรรยาซูอวี้เสียงด้วย

เดิมทีหันหมิงชั่นเดินมารับเหยาเยี่ยนอวี่แล้ว ขณะที่นางเตรียมจะพาเหยาเยี่ยนอวี่ไปทำความเคารพองค์หญิงใหญ่หนิงหวานั้น นางคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นคุนจะพาอวิ๋นเหยามาด้วยกัน นางจึงทำได้เพียงหยุดเดินแล้วหันไปทำความเคารพอวิ๋นคุน และขานเรียกเขาว่าพี่ชาย เฉิงอ๋องซื่อจื่ออวิ๋นคุนกระโดดลงมาจากรถม้า เมื่อเห็นหันหมิงชั่นย่อตัวลง เขาจึงยื่นมือไปพยุงนางขึ้นมา พร้อมกับยิ้มบางๆ “ชั่นเอ๋อร์ ไม่ต้องมีพิธีรีตองให้มากหรอก”

หันซังเย่ว์เดินมาด้านหน้าเพื่อทักทายอวิ๋นคุน อวิ๋นคุนยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับเขา ทว่าสายตาของเขากลับมองไปยังดวงหน้าของหันหมิงชั่น คล้ายไม่อยากจะละสายตา

อวิ๋นเหยาลงมาจากรถม้า นางเชิดคางแอ่นอกเดินเข้ามา ทางด้านหันหมิงชั่นก็ได้หันข้างพร้อมกับยิ้มแล้วกล่าวทำความเคารพนาง “จวิ้นจู่”