ตอนที่ 84.1 หญิงอยู่บนชายอยู่ล่าง (1) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

“เจ้าบ่าวน่าตาย ข้าจะสังหารเจ้า!”

หลังจากใช้มือดึงผ้าขี้ริ้วสกปรกบนใบหน้าออก ใบหน้าของหนานกงจวิ้นซีราวท้องฟ้าแจ่มใสสลับเมฆมาก เมฆมากสลับพายุฝน รวมทั้งมีเค้าว่าจะเกิดฟ้าร้องและฟ้าผ่า

โทษเขาไม่ได้!

เพราะใบหน้านี้ของเขา ทำให้เขาภาคภูมิใจมากที่สุด! แต่เวลานี้กลับถูกคนใช้ผ้าขี้ริ้วมาคลุมปิด นี่เป็นการดูถูกเขามากที่สุด!

ดังนั้น หนานกงจวิ้นซีจึงโมโห!

สายตาที่มองเล่อเหยาเหยานั้นดูโกรธแค้นเป็นที่สุด ราวกับมีเปลวไฟกำลังลุกโชนอยู่ภายใน

ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังจากได้สติ เห็นดวงตาอันโหดเหี้ยมของหนานกงจวิ้นซีเข้า อดหดศีรษะลงไม่ได้

ทว่าพลันนึกขึ้นได้อีกครั้งว่า เมื่อครู่องค์ชายเจ็ดผู้นี้คิดรังแกเธอ โดยการยืนอยู่ข้างหลังเธออย่างเงียบเชียบ ทำให้เธอตกใจล้มลงมา ดังนั้นเรื่องในตอนนี้ ไม่ใช่ความผิดของเธอเลยแม้แต่น้อย!

หลังจากคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาก็เผชิญหน้ากับความโหดเหี้ยมของหนานกงจวิ้นซี ด้วยสีหน้าที่ไม่หวั่นเกรง

หนานกงจวิ้นซีเมื่อเห็นดวงตางดงามที่ไม่หวั่นเกรงสุกใสคู่นั้น พลันตกตะลึงชั่วครู่ ก่อนจะรู้ว่าเล่อเหยาเหยานอนทับอยู่บนตัวเขา จึงขมวดคิ้วกระบี่น่ามองนั้น ก่อนเอ่ยอย่างโมโหว่า

“เจ้าบ่าวสมควรตาย รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”

น่าตายนัก

เขาองค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นต้าเซี่ยผู้สง่างาม บนใบหน้าถูกต้อนรับด้วยผ้าขี้ริ้ว ทำให้เขาโมโหอยู่แล้ว แต่ขันทีน่าตายผู้นี้ยังกล้านอนทับอยู่บนตัวเขาอีก

แม้จะไม่หนัก แต่กลับทำให้เขาโมโหอย่างยิ่ง

เล่อเหยาเหยาเห็นความโมโหของหนานกงจวิ้นซีจากบนใบหน้า แต่กลับไม่ลุกขึ้นจากตัวเขา

ฮึ!

เขาสั่งให้เธอลุกเธอก็ลุก เช่นนั้นเธอไม่เสียหน้าอย่างยิ่งหรือ!

ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่ก็เป็นเขาที่คิดร้าย จึงทำให้ล้มลงบนพื้นทั้งสองคน ตอนนี้เขาต้องรับผลกรรมที่ตนก่อไว้!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาแสร้งไม่ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี ทั้งยังเห็นหนานกงจวิ้นซีเป็นเบาะรองอันนุ่มนิ่ม กลิ้งไปมาบนร่างกายของหนานกงจวิ้นซีไม่หยุด และยังเอ่ยคำพูดที่น่าโมโหเป็นที่สุดออกมา

“เอ๊ะ! อากาศวันนี้ดีไม่เลวทีเดียว”

“เอ่อ”

อาจเพราะไม่รู้ว่าจะมีคนไม่สนใจคำพูดของเขา ทั้งยังพูดจาหัววัวไม่ตรงกับปากม้า[1] ทำให้หนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าตะลึงเล็กน้อย ทว่าเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเล่อเหยาเหยาตั้งใจ

“เจ้าบ่าวน่าตายนี้ ช่างกล้ายิ่งนัก ข้าสั่งให้เจ้าลงไป!”

“หืม อะไรนะ ขออภัยด้วย องค์ชายเจ็ดบ่าวหูไม่ค่อยดี จึงไม่ได้ยินว่าท่านพูดอันใด!”

เมื่อได้ยินคำพูดกระหืดกระหอบของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาแอบยิ้มอยู่ในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับดูเลิกลั่ก ท่าทางดูสมจริงสมจัง ไม่เป็นนักแสดงอย่างเปล่าประโยชน์

เห็นชัดว่าเล่อเหยาเหยาตั้งใจ หนานกงจวิ้นซีจึงโมโหอย่างหนัก

หลังจากโมโหแล้ว พลันคล้ายนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ในที่สุดก็ยิ้มเย็นออกมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายตักเตือนขึ้นว่า

“เจ้าบ่าวผู้นี้ เจ้าไม่ลุกขึ้นใช่หรือไม่!”

“องค์ชายเจ็ด บ่าวไม่ได้ยิน”

เล่อเหยาเหยายังคงเอ่ยเช่นเดิม แต่ครั้งนี้เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไป และรอยยิ้มเย็นที่มุมปากของหนานกงจวิ้นซี เธอพลันรู้สึกถึงลางร้ายแผ่กระจายขึ้นมาในใจ

เป็นจริงอย่างที่คิด ขณะที่เล่อเหยาเหยาคิดอยู่ พลันรู้สึกเพียงท้องฟ้าหมุนวนผืนดินพลิกกลับ[2] ทั่วร่างกายพลันถูกหนานกงจวิ้นซีนอนทับอยู่ด้านล่าง

“เอ่อ ท่าน!”

สำหรับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยารับมือไม่ทัน เธอยังไม่ได้สติ เหนือศีรษะพลันมีเสียงหัวเราะโอหังถือดีดังขึ้นมา

“ฮ่าๆ เจ้าบ่าวผู้นี้ เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ลงไป ข้าจะทำอันใดเจ้าไม่ได้หรือ! เจ้าดูถูกองค์ชายเจ็ดเช่นข้าเกินไปแล้ว!”

“ท่าน!”

เมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความโอหังของหนานกงจวิ้นซีเหนือศีรษะ ครั้งนี้กลับเปลี่ยนเป็นเล่อเหยาเหยาที่ต้องโมโห

อีกทั้งไม่ว่ามือของเธอจะผลักตัวหนานกงจวิ้นซีตลอดเวลา หนานกงจวิ้นซีกลับไม่สะทกสะท้าน ดุจเขาไท่ซานอันสูงใหญ่ ทำให้เธอท้อแท้เล็กน้อย

หนานกงจวิ้นซีเห็นใบหน้าเล็กของคนด้านล่างดูทั้งอึดอัดและยุ่งยาก รอยยิ้มตรงมุมปากยิ่งล้ำลึกมากขึ้น

“ท่าน รีบลุกออกไปเดี๋ยวนี้!”

“ฮ่าๆ ลุกออกไป! หากตอนนี้ข้าไม่ลุก บ่าวรับใช้เช่นเจ้าจะทำอันใดข้าได้ หืม”

เมื่อเห็นใบหน้าโกรธเคืองของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีรู้สึกเพียงว่า ความโชคร้ายที่อัดอั้นอยู่ในใจมาหลายวันมลายหายไปทั้งหมด

เสียงหัวเราะสดใสนั้น ดังออกมาจากปากของเขาไม่หยุด ทำให้หน้าอกแข็งแรงกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด

ส่วนเล่อเหยาเหยาเวลานี้เมื่อเห็นสีหน้าหาเรื่องของหนานกงจวิ้นซี หากทำได้ เธออยากทุบตีเขาให้หนักยิ่งนัก หากเธอสู้เขาได้

บอกเลยว่าน่าสนุก แต่น่าเสียดายที่เธอมีแขนขาที่เล็กสั้น เขาชกมากำปั้นเดียว เธออาจจะตายได้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาจนใจยิ่งนัก แม้ด้านพละพลัง เธอจะสู้หนานกงจวิ้นซีไม่ได้ แต่กลับไม่ได้หมายความว่าเธอไม่มีสมอง

พอคิดถึงตรงนี้ ดวงตาเล่อเหยาเหยาเป็นประกายแวบขึ้นครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสมองก็แล่นขึ้นมาราวนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ ใบหน้าเล็กงดงามพลันเคร่งเครียด ดวงตางดงามเบิกกว้าง คล้ายเห็นบางสิ่ง ก่อนมองไปทางด้านหลังของหนานกงจวิ้นซีแล้วเอ่ยว่า

“ท่านอ๋อง”

“อะไรนะ! ศิษย์พี่ใหญ่หรือ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีตะลึงเล็กน้อยอยู่ชั่วขณะ ก่อนพลันหันไปมองด้านหลัง

ส่วนเล่อเหยาเหยาสบโอกาส จึงมุดตัวพาร่างเล็กของตนออกมาจากบริเวณแขนของเขา

หลังจากได้รับอิสระ เล่อเหยาเหยาดูภาคภูมิใจ

หันหน้าเท้าสะเอวหัวเราะพลางเอ่ยกับหนานกงจวิ้นซีว่า

“ฮ่าๆ องค์ชายเจ็ดเป็นเช่นไร แม้พละกำลังของบ่าวจะสู้ท่านไม่ได้ ทว่าบ่าวไม่ได้โง่เขลา เหมือนคนบางคนที่โง่ขนาดโกหกเช่นนี้ก็หลงเชื่อ ฮ่าๆ”

เมื่อเห็นท่าทางพ่ายแพ้ของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาอดกุมท้องหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ ท่าทางนั้นราวกับจิ้งจอกน้อยเพิ่งแอบกินไก่ของชาวนา ทั้งโอหังทว่ากลับน่ารักอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะใบหน้าที่แดงก่ำจากการหัวเราะ ผิวขาวอมชมพู ราวกับลูกท้อที่กำลังสุกงอม เมื่อเห็นทำให้คนอยากกัดลิ้มลอง

เพียงแต่ตอนนี้หนานกงจวิ้นซีที่ถูกทำให้โมโห ไม่รับรู้ถึงจุดนี้ เขาเวลานี้คิดเพียงอยากสั่งสอนบ่าวรับใช้ที่โอหังนี้สักครา

เมื่อกวาดสายตาเห็นบางสิ่งเข้า ดวงตาดุจดอกท้อน่ามองนั้นก็เป็นประกาย ก่อนพลันเอ่ยขึ้นอย่างตกใจว่า

“ศิษยพี่ใหญ่ กลับมาแล้วหรือ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อยไปชั่วขณะ แต่ก็ราวกับนึกถึงบางสิ่งได้ ก่อนเอ่ยอย่างเหยียดหยาม

“ฮ่าๆ องค์ชายเจ็ด บ่าวไม่โง่นะ! อุบายนี้บ่าวเคยใช้แล้ว ท่านคิดว่าจะโกหกบ่าวได้หรือ! หึม”

เล่อเหยาเหยาหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างโอหัง คิดไม่ถึง พอถอยหลังไปเพียงก้าวเดียว ไม่ระวังชนกับบางสิ่งที่ร้อน แข็งแกร่งและยืดหยุ่นอย่างมากเข้า คล้ายกับ…

“เอ่อ”

เมื่อรู้สึกว่าตนชนเข้ากับอะไรบางอย่าง เล่อเหยาเหยาพลันหนังศีรษะชาวาบ ก่อนลางร้ายพลันพรั่งพรูออกมาในใจ

โดยเฉพาะเมื่อสบกับสายตาดีใจที่คนอื่นเกิดความโชคร้ายของหนานกงจวิ้นซี เธอรู้ว่าตนเจอปัญหาแล้ว

หลังมีสีหน้ามึนงงชั่วขณะ เล่อเหยาเหยาค่อยๆ เงยใบหน้าเล็กขึ้น เมื่อสบกับดวงตาเย็นชาที่แคบยาวคู่นั้น ใบหน้าพลันชะงักงัน

เห็นเพียงพญายมปรากฏตัวขึ้นอยู่ด้านหลังของเธอไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เมื่อครู่เธอคิดว่าหนานกงจวิ้นซีโกหกตน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นความจริง

อีกทั้งตอนนี้เธอยังชนเข้ากับหน้าอกของพญายม

สวรรค์!

น่าขายหน้าเกินไปแล้ว!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาลำบากใจขึ้นมาพร้อมกัน รู้สึกเพียงความร้อนกำลังพุ่งออกมาจากหัวใจไปที่เหนือศีรษะอย่างช้าๆ สองแก้มร้อนผ่าว แม้ตอนนี้จะไม่มีกระจก เล่อเหยาเหยารู้ว่าสองแก้มของตนต้องแดงราวมะเขือเทศแน่นอน ดังนั้นเมื่อสบเข้ากับดวงตาเย็นชาของพญายม พลันก้มใบหน้าเล็กลง ก่อนเอ่ยปากเสียงเบาว่า

“คารวะท่านอ๋อง”

“อืม เมื่อครู่พวกเจ้าเล่นอันใดกัน ถึงดูเบิกบานเช่นนี้”

เมื่อมองหนานกงจวิ้นซีที่ลุกขึ้นมาจากพื้นยังคงมีสีหน้าภูมิใจเบิกบานใจแวบหนึ่ง ดวงตาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋มองไปยังเล่อเหยาเหยาที่ก้มหน้าอยู่ด้านข้าง ก่อนเอ่ยถามเสียงเข้ม

อีกทั้งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นขันทีน้อยนี้หยอกล้อ หัวเราะเสียงดังกับหนานกงจวิ้นซีเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ

เพราะเขาคับคล้ายคับคราว่า จากที่ขันทีน้อยนี้ปรนนิบัติเขามาเป็นเวลานานาน ต่อหน้าเขามักหวาดกลัว สีหน้าดูระแวง

คล้ายกับเขาเป็นสัตว์ร้ายที่น่าหวาดกลัวสั่นผวา พร้อมกระโจนใส่ ‘เขา’ และจับกินได้ทุกเมื่อ

แต่ต่อหน้าหนานกงจวิ้นซี ‘เขา’ กลับหัวเราะเบิกบานอย่างสบายใจ

เมื่อเห็น ‘เขา’ ยิ้มดุจบุปผา แฝงด้วยความภาคภูมิใจอยู่หลายส่วน คล้ายกับแมวน้อยแสนน่ารักตัวหนึ่ง แม้จะน่ารักอย่างยิ่ง แต่กลับทำให้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

เพราะ‘เขา’ยิ้มได้น่ามองเช่นนี้ ทำให้เขาอยากนำตัว‘เขา’ซ่อนไว้ขึ้นมา หาก‘เขา’จะยิ้ม ต้องยิ้มให้เพียงเขาคนเดียวเท่านั้น!

สำหรับความคิดที่แวบขึ้นมานี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดตกใจไม่ได้

คิ้วกระบี่ขมวดเล็กน้อยครู่หนึ่ง ในใจก็ไม่เข้าใจ

พักนี้เกิดอันใดขึ้นกับตนกันแน่

ในใจมักเกิดความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้นมา!

ขณะที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋สงสัยอยู่ในใจ ด้านเล่อเหยาเหยาหลังจากได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เอาแต่ก้มหน้าลงต่ำ โดยไม่เอ่ยตอบออกมา

กลับเป็นหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง หลังจากยืนขึ้นแล้วก็ยื่นมือไปปัดฝุ่นบนร่างกาย พร้อมเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า

“ไม่มีอันใด เพียงเล่นสนุกกับบ่าวรับใช้นี้เท่านั้น!”

เอ่ยถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีพลันชะงัก คล้ายนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

“ศิษย์พี่ใหญ่ ได้ยินเหล่าขันทีพูดกันว่า วันนี้ทางตะวันออกของเมืองมีหญิงสาวเสียชีวิตไปสิบคน จริงหรือไม่!”

เพราะหนานกงจวิ้นซีหลับมาโดยตลอดเพิ่งลุกขึ้นมาจากเตียง ดังนั้นจึงได้ยินเรื่องนี้จากปากของบ่าวรับใช้

ดังนั้นตอนนี้เมื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋อยู่ เขาคือคนที่รู้ชัดที่สุด ดังนั้นจึงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี ใบหน้าพลันปกคลุมด้วยความเย็นชาอย่างรวดเร็ว สีหน้ายังเคร่งเครียดมากขึ้น

เห็นเช่นนั้น แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะไม่เอ่ยปาก หนานกงจวิ้นซีก็รู้ว่าคือเรื่องจริง สีหน้าทะเล้นก็ค่อยๆ หายไป

“เฮ้อ วันนี้หญิงสาวสิบคน รวมกับครั้งก่อนอีกยี่สิบสี่คน ก็เป็นสามสิบสี่คนแล้ว สวรรค์ ลัทธินอกรีตนี้หายตัวหรือมุดดินได้กันแน่ เหตุใดจึงลึกลับเช่นนี้! สุดท้ายต้องทำเช่นไร ถึงจะสามารถถอนรากถอนโคนพวกมันได้”

สำหรับเรื่องนี้หนานกงจวิ้นซีก็ทุกข์ใจไม่หยุดเช่นกัน

เพราะเมื่อนึกถึงหญิงสาวบริสุทธิ์พวกนั้นถูกทำร้าย ในใจเขาแค้นเคืองลัทธินอกรีตนี้อย่างยิ่ง

[1] หัววัวไม่ตรงกับปากม้า หมายถึงตอบไม่ตรงคำถามหรือเรื่องราวไม่สอดคล้องกัน

[2] ท้องฟ้าหมุนวนผืนดินพลิกกลับ หมายถึงอาการวิงเวียนศีรษะมากๆ จนมองอะไรก็เหมือนกับโลกจะหมุนไปหมด