ชั้นเรียนฝึกสมาธิจัดขึ้นที่ชิวซวง
ฉู่หลิวเยว่ตามซือถิงมาถึงที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงหน้าประตู ซือถิงก็กระซิบว่า
“โดยทั่วไปการเรียนทำสมาธินั้นมีไว้ใช้ในการควบคุมพลังแห่งฟ้าดิน”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
การฝึกฝนของปรมาจารย์นั้นมีแค่วิธีการเหล่านี้ไม่กี่ด้าน
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตู ประตูใหญ่ก็เปิดออกมาเองพอดี
เสียงของชายวัยกลางคนที่ดูใจดีคนหนึ่งดังขึ้น
“เข้ามาสิ”
ฉู่หลิวเยว่เดินตามซือถิงเข้ามา
ห้องนี้เป็นห้องกว้างมาก มีผู้ชายหน้าเหลี่ยมยืนอยู่ด้านหน้าสุด
“คารวะท่านอาจารย์ตงฟัง” ซือถิงกล่าว
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจได้ทันทีว่านี่คืออาจารย์ตงฟังชิงผู้สอนทำสมาธิ
“พวกเจ้ามาเร็วจริงๆ”
ตงฟังชิงพยักหน้า สายตาของเขาจ้องมองฉู่หลิวเยว่อย่างรวดเร็วด้วยความสนใจ
“เจ้าก็คือฉู่หลิวเยว่ใช่หรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่ทำความเคารพ
“คารวะท่านอาจารย์ตงฟัง”
สายตาของตงฟังชิงหยุดที่ป้ายชื่อครู่หนึ่ง อันที่จริงเขาก็อยากถามว่านางฝากตัวกับอาจารย์ท่านใด แต่ยังมีนักเรียนมากมายอยู่จึงไม่เหมาะสมที่จะถามกันตรงนี้เท่าไหร่นัก
เขายกมือขึ้นชี้นิ้ว
“เจ้าไปนั่งข้างซือถิงตรงนู้นก่อนไป!”
ฉู่หลิวเยว่มองไปตามที่เขาชี้
มีแท่นศิลาหลายสิบแท่นในห้องนี้ นักเรียนแต่ละคนก็นั่งประจำแท่นศิลาของตนเอง
และมีโต๊ะที่วางกระดานหมากคนละตัววางอยู่ตรงหน้า
นักเรียนแต่ละคนต่างนั่งมองกระดานหมากรุกของตัวเองด้วยความจริงจังตั้งใจ
แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินทั้งสองคนเข้ามา พวกเขาก็แค่เงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่งและก้มหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อศึกษาค่ายกลบนกระดานหมากรุกต่อไป
แท่นศิลาสองแท่นตรงกลางที่ว่างเปล่าข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าอันหนึ่งเป็นของซือถิงและอีกอันเป็นของนาง
หลังจากเข้าไปใกล้ นางก็เห็นว่าบนแท่นศิลานั้นสลักคำว่า “สอง” ไว้อย่างชัดเจน
นางเหลือบมองแท่นศิลาของซือถิงที่อยู่ข้างกันและสลักคำว่า “หนึ่ง”
ดูเหมือนว่าจะจัดอันดับตามผลสอบกลางภาค
ส่วนบนกระดานหมากรุกก็คือค่ายกลนั่นเอง
“บทเรียนของวันนี้ง่ายมาก ตราบใดที่พวกเจ้าหาค่ายกลทั้งสองค่ายบนกระดานหมากเจอก็ถือว่าผ่าน”
ตงฟังชิงมองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยความคาดหวังนิดๆ
“สามคนที่ใช้เวลาน้อยที่สุดจะมีรางวัลมอบให้อีกต่างหาก”
เพราะเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ระหว่างสอบกลางภาค ดังนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร และฉู่หลิวเยว่คว้าอันดับที่สองมาได้เยี่ยงไร
ผู้อาวุโสซุนและอาจารย์ท่านอื่นต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าพรสวรรค์ของฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ด้อยไปกว่าซือถิงเลย
เขาก็อยากจะดูให้เห็นกับตาเหมือนกันว่าเป็นอย่างไรกันแน่!
ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้ามองค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าตนเอง
ค่ายกลระดับนี้สำหรับนางไม่มีความยุ่งยากใดๆ เลยสักนิด
นางมองแค่ปราดเดียวก็สามารถหาวิธีแก้ค่ายกลได้ทันที
แต่แน่นอนว่าตอนนี้ไม่สามารถสอบผ่านไปได้รวดเร็วขนาดนั้น
เมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาของตงฟังชิงที่กำลังจ้องมองตัวเองอยู่นั้น นางก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังหยั่งเชิงตัวเองอยู่
นางหันไปมองซือถิงที่อยู่ด้านข้างแล้วกระซิบถาม
“ซือถิง ด่านแรกเจ้าใช้เวลาเท่าไหร่”
ดวงตาของตงฟังชิงเป็นประกาย นี่ฉู่หลิวเยว่กำลังท้าทายซือถิงหรือ!
ซือถิงมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเรียบนิ่ง และพอจะคาดเดาสิ่งที่นางคิดในใจออก
“ครึ่งชั่วยาม”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าครุ่นคิด
ด้วยอายุรุ่นราวซือถิงในตอนนี้ สามารถไต่มาจนถึงระดับนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“เช่นนั้นด่านที่สองเจ้าก็พยายามเร็วกว่านี้อีกหน่อย ไม่แน่ข้าอาจจะเร็วกว่าเจ้าก็เป็นได้” ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
หากซือถิงเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย นางก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลามากนัก
มิฉะนั้นล่ะก็หากอยู่ตรงนี้หลายชั่วยาม นางคงต้องเมื่อยขบแน่ๆ
ซือถิงมองเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของนาง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“ได้”
“ทำไม ฉู่หลิวเยว่ นี่เจ้าอยากท้าทายซือถิงหรือ”
ฉับพลันก็มีเสียงหญิงสาวดังมาจากด้านหลัง ฉู่หลิวเยว่หันไปมองก็พบว่าเป็นเก็กสาวคนหนึ่งที่อายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี
นางมีใบหน้าสวยสดงดงาม ในดวงตาเรียวดุจหงส์ที่กำลังมองฉู่หลิวเยว่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและไม่เป็นมิตรอย่างเปิดเผย
ไม่เป็นมิตรอย่างนั้นหรือ
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย
นางไม่รู้จักแม่นางผู้นี้ด้วยซ้ำ ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องแสดงกิริยาท่าทางเช่นนี้กับนางด้วย
“กู้หมิงจู ทำไมเจ้าถึงได้ชอบหาเรื่องมากนัก ฉู่หลิวเยว่ท้าทายพี่ใหญ่ข้าก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรนางก็ได้ที่สอง คนที่ได้ที่สี่อย่างเจ้ามีสิทธิ์พูดด้วยหรือ”
คราวนี้ซือหยางที่นั่งอยู่ข้างหลังฉู่หลิวเยว่ก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
พอได้ยินชื่อนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็รู้จักสถานะตัวตนของผู้หญิงคนนั้นทันที
กู้หมิงจู คุณหนูรองตระกูลกู้นี่เอง
เพราะนางคือทายาทสายตรง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญปรมาจารย์ ดังนั้นคุณหนูรองกู้ผู้นี้จึงเป็นไข่ในหินของตระกูลกู้
กู้หมิงจูที่โดนซือหยางกระแนะกระแหน สีหน้าของนางก็เย็นชาขึ้นมาทันที
“ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้นแหละ แล้วทำไมเจ้าถึงต้องเข้าข้างนางขนาดนี้ด้วย!”
ซือหยางแสยะยิ้ม
“เจ้าคิดอย่างไร เจ้าก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ! ถ้าเจ้าอยากท้าทายพี่ใหญ่ของข้านัก ไว้รอเจ้าสอบได้ที่สองแล้วค่อยว่ากัน!”
กู้หมิงจูโมโหจนหน้าซีดขาว จากนั้นนางก็กัดฟันพูดกรอดๆ
“ใครจะไปรู้ว่านางทำอีท่าไหนถึงได้ที่สองมา เพิ่งจะมาบวชเรียนกลางทาง[1] จะไปมีความสามารถใดกัน”
การเรียนรู้ของปรมาจารย์ที่นั่นมีความเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง ต่อให้มีพรสวรรค์ที่ดี ทว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จเลยถ้าหากปราศจากอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องและความอดทนของอาจารย์
หลายปีก่อนตอนที่ฉู่หลิวเยว่ใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลฉู่ แม้กระทั่งคนรับใช้บางคนยังไม่รู้จักนาง ตอนนี้นางอายุสิบกว่าปีแล้วเพิ่งจะมาค้นพบพรสวรรค์ ซึ่งความจริงมันสายเกินไปแล้ว
ผลสอบคราวก่อนต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน!
น้ำเสียงของซือหยางก็แข็งกร้าวขึ้น
“ทำไม เจ้าสงสัยว่าการพิจารณาของผู้อาวุโสซุนและพวกอาจารย์มีสิ่งผิดพลาดอย่างนั้นหรือ”
เขาได้ที่สามเชียวนะ!
กู้หมิงจูสงสัยที่อยู่หลิวเยว่คว้าอันดับสองมาได้ เช่นนั้นหมายความว่าเขาไม่มีความสามารถพออย่างนั้นหรือ!
เมื่อซือหยางเอ่ยเช่นนี้ นางก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ซือหยางชอบยียวนกวนประสาทที่สุด นางขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเขา!
กู้หมิงจูมองไปที่ซือถิงอย่างโกรธเคือง แต่กลับพบว่าชายหนุ่มรูปงามและกล้าหาญไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางด้านนี้ ราวกับว่าเขาไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลยสักนิด
กู้หมิงจูกัดริมฝีปากและนางก็รู้สึกหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม
ซือถิงเป็นคนเงียบสงบและค่อนข้างเก็บตัว เย็นชาไร้อารมณ์ นางคิดว่าเขาก็เป็นคนแบบนี้นี่แหละ ดังนั้นแม้ว่าจะถูกเขาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระนั้นนางก็ยังมีความหวังริบหรี่
ทว่ายามนี้ เมื่อมีฉู่หลิวเยว่โผล่หน้ามาทำให้นางรู้สึกอันตราย!
คนอย่างซือถิงเคยสนใจไยดีคนอื่นเสียที่ไหน
เมื่อครู่นี้ตอนที่อาจารย์ตงฟังเอ่ยปากว่าจะให้ใครสักคนไปตามฉู่หลิวเยว่มาที่นี่ นางคิดไม่ถึงเลยว่าซือถิงจะเป็นคนรับปากคนแรก!
แม้ซือถิงจะบอกว่าเพราะเขาแก้ค่ายกลด่านแรกได้แล้วจึงมีเวลาออกไปตามฉู่หลิวเยว่ แต่กู้หมิงจูกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
และเมื่อครู่นี้ที่ฉู่หลิวเยว่พูดคุยกับซือถิง นางก็รู้สึกได้ทันทีว่าซือถิงเลือกปฏิบัติกับนางแตกต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
นี่เป็นสัญชาตญาณที่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่มี!
ดังนั้นสิ่งนี้จึงทำให้กู้หมิงจูยิ่งรู้สึกไม่ถูกชะตากับฉู่หลิวเยว่มากขึ้นไปอีก
นางวางมือข้างหนึ่งไว้บนกระดานหมาก แต่เพราะออกแรงมากไปจึงไปให้ปลายนิ้วขาวซีด
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้ากล้าแข่งกับข้าหรือไม่ หากเจ้าแพ้ก็ยกอันดับที่สองนั่นมาให้ข้า หากข้าแพ้ ข้าจะยก ค่ายกลด้ายมังกร ให้เจ้า ตกลงไหม!”
คนรอบข้างต่างตกตะลึงแล้วพากันเงยหน้าและหันมามองทางด้านนี้
ค่ายกลด้ายมังกรนั่นคือค่ายกลระดับห้าในตำนาน!
สมกับเป็นคุณหนูรองตระกูลกู้ ช่างใจเด็ดจริงๆ!
สิ่งตอบแทนสมน้ำสมเนื้อเช่นนี้ เกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
ถึงกระนั้นฉู่หลิวเยว่ไม่แสดงสีหน้าตื่นเต้นเลยสักนิด กลับส่ายหน้าแล้วยิ้มให้อย่างใจดี
“ไม่เอาดีกว่า เพราะจริงๆ แล้วข้าไม่ชอบรังแกใครสักเท่าไหร่”
[1] บวชเรียนกลางทาง สำนวนจีน หมายถึงการเรียนรู้สิ่งอื่น เปลี่ยนงานหรือเข้าวงการอื่นในภายหลัง โดยไม่ได้มาเส้นทางนี้ตั้งแต่ต้น