เล่ม 2 ตอนที่ 103 รังแก

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ชั้นเรียนฝึกสมาธิจัดขึ้นที่ชิวซวง

ฉู่หลิวเยว่ตามซือถิงมาถึงที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงหน้าประตู ซือถิงก็กระซิบว่า

“โดยทั่วไปการเรียนทำสมาธินั้นมีไว้ใช้ในการควบคุมพลังแห่งฟ้าดิน”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า

การฝึกฝนของปรมาจารย์นั้นมีแค่วิธีการเหล่านี้ไม่กี่ด้าน

เมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตู ประตูใหญ่ก็เปิดออกมาเองพอดี

เสียงของชายวัยกลางคนที่ดูใจดีคนหนึ่งดังขึ้น

“เข้ามาสิ”

ฉู่หลิวเยว่เดินตามซือถิงเข้ามา

ห้องนี้เป็นห้องกว้างมาก มีผู้ชายหน้าเหลี่ยมยืนอยู่ด้านหน้าสุด

“คารวะท่านอาจารย์ตงฟัง” ซือถิงกล่าว

ฉู่หลิวเยว่เข้าใจได้ทันทีว่านี่คืออาจารย์ตงฟังชิงผู้สอนทำสมาธิ

“พวกเจ้ามาเร็วจริงๆ”

ตงฟังชิงพยักหน้า สายตาของเขาจ้องมองฉู่หลิวเยว่อย่างรวดเร็วด้วยความสนใจ

“เจ้าก็คือฉู่หลิวเยว่ใช่หรือไม่”

ฉู่หลิวเยว่ทำความเคารพ

“คารวะท่านอาจารย์ตงฟัง”

สายตาของตงฟังชิงหยุดที่ป้ายชื่อครู่หนึ่ง อันที่จริงเขาก็อยากถามว่านางฝากตัวกับอาจารย์ท่านใด แต่ยังมีนักเรียนมากมายอยู่จึงไม่เหมาะสมที่จะถามกันตรงนี้เท่าไหร่นัก

เขายกมือขึ้นชี้นิ้ว

“เจ้าไปนั่งข้างซือถิงตรงนู้นก่อนไป!”

ฉู่หลิวเยว่มองไปตามที่เขาชี้

มีแท่นศิลาหลายสิบแท่นในห้องนี้ นักเรียนแต่ละคนก็นั่งประจำแท่นศิลาของตนเอง

และมีโต๊ะที่วางกระดานหมากคนละตัววางอยู่ตรงหน้า

นักเรียนแต่ละคนต่างนั่งมองกระดานหมากรุกของตัวเองด้วยความจริงจังตั้งใจ

แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินทั้งสองคนเข้ามา พวกเขาก็แค่เงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่งและก้มหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อศึกษาค่ายกลบนกระดานหมากรุกต่อไป

แท่นศิลาสองแท่นตรงกลางที่ว่างเปล่าข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าอันหนึ่งเป็นของซือถิงและอีกอันเป็นของนาง

หลังจากเข้าไปใกล้ นางก็เห็นว่าบนแท่นศิลานั้นสลักคำว่า “สอง” ไว้อย่างชัดเจน

นางเหลือบมองแท่นศิลาของซือถิงที่อยู่ข้างกันและสลักคำว่า “หนึ่ง”

ดูเหมือนว่าจะจัดอันดับตามผลสอบกลางภาค

ส่วนบนกระดานหมากรุกก็คือค่ายกลนั่นเอง

“บทเรียนของวันนี้ง่ายมาก ตราบใดที่พวกเจ้าหาค่ายกลทั้งสองค่ายบนกระดานหมากเจอก็ถือว่าผ่าน”

ตงฟังชิงมองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยความคาดหวังนิดๆ

“สามคนที่ใช้เวลาน้อยที่สุดจะมีรางวัลมอบให้อีกต่างหาก”

เพราะเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ระหว่างสอบกลางภาค ดังนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร และฉู่หลิวเยว่คว้าอันดับที่สองมาได้เยี่ยงไร

ผู้อาวุโสซุนและอาจารย์ท่านอื่นต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าพรสวรรค์ของฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ด้อยไปกว่าซือถิงเลย

เขาก็อยากจะดูให้เห็นกับตาเหมือนกันว่าเป็นอย่างไรกันแน่!

ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้ามองค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าตนเอง

ค่ายกลระดับนี้สำหรับนางไม่มีความยุ่งยากใดๆ เลยสักนิด

นางมองแค่ปราดเดียวก็สามารถหาวิธีแก้ค่ายกลได้ทันที

แต่แน่นอนว่าตอนนี้ไม่สามารถสอบผ่านไปได้รวดเร็วขนาดนั้น

เมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาของตงฟังชิงที่กำลังจ้องมองตัวเองอยู่นั้น นางก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังหยั่งเชิงตัวเองอยู่

นางหันไปมองซือถิงที่อยู่ด้านข้างแล้วกระซิบถาม

“ซือถิง ด่านแรกเจ้าใช้เวลาเท่าไหร่”

ดวงตาของตงฟังชิงเป็นประกาย นี่ฉู่หลิวเยว่กำลังท้าทายซือถิงหรือ!

ซือถิงมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเรียบนิ่ง และพอจะคาดเดาสิ่งที่นางคิดในใจออก

“ครึ่งชั่วยาม”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าครุ่นคิด

ด้วยอายุรุ่นราวซือถิงในตอนนี้ สามารถไต่มาจนถึงระดับนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

“เช่นนั้นด่านที่สองเจ้าก็พยายามเร็วกว่านี้อีกหน่อย ไม่แน่ข้าอาจจะเร็วกว่าเจ้าก็เป็นได้” ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ

หากซือถิงเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย นางก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลามากนัก

มิฉะนั้นล่ะก็หากอยู่ตรงนี้หลายชั่วยาม นางคงต้องเมื่อยขบแน่ๆ

ซือถิงมองเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของนาง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

“ได้”

“ทำไม ฉู่หลิวเยว่ นี่เจ้าอยากท้าทายซือถิงหรือ”

ฉับพลันก็มีเสียงหญิงสาวดังมาจากด้านหลัง ฉู่หลิวเยว่หันไปมองก็พบว่าเป็นเก็กสาวคนหนึ่งที่อายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี

นางมีใบหน้าสวยสดงดงาม ในดวงตาเรียวดุจหงส์ที่กำลังมองฉู่หลิวเยว่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและไม่เป็นมิตรอย่างเปิดเผย

ไม่เป็นมิตรอย่างนั้นหรือ

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย

นางไม่รู้จักแม่นางผู้นี้ด้วยซ้ำ ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องแสดงกิริยาท่าทางเช่นนี้กับนางด้วย

“กู้หมิงจู ทำไมเจ้าถึงได้ชอบหาเรื่องมากนัก ฉู่หลิวเยว่ท้าทายพี่ใหญ่ข้าก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรนางก็ได้ที่สอง คนที่ได้ที่สี่อย่างเจ้ามีสิทธิ์พูดด้วยหรือ”

คราวนี้ซือหยางที่นั่งอยู่ข้างหลังฉู่หลิวเยว่ก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้

พอได้ยินชื่อนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็รู้จักสถานะตัวตนของผู้หญิงคนนั้นทันที

กู้หมิงจู คุณหนูรองตระกูลกู้นี่เอง

เพราะนางคือทายาทสายตรง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญปรมาจารย์ ดังนั้นคุณหนูรองกู้ผู้นี้จึงเป็นไข่ในหินของตระกูลกู้

กู้หมิงจูที่โดนซือหยางกระแนะกระแหน สีหน้าของนางก็เย็นชาขึ้นมาทันที

“ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้นแหละ แล้วทำไมเจ้าถึงต้องเข้าข้างนางขนาดนี้ด้วย!”

ซือหยางแสยะยิ้ม

“เจ้าคิดอย่างไร เจ้าก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ! ถ้าเจ้าอยากท้าทายพี่ใหญ่ของข้านัก ไว้รอเจ้าสอบได้ที่สองแล้วค่อยว่ากัน!”

กู้หมิงจูโมโหจนหน้าซีดขาว จากนั้นนางก็กัดฟันพูดกรอดๆ

“ใครจะไปรู้ว่านางทำอีท่าไหนถึงได้ที่สองมา เพิ่งจะมาบวชเรียนกลางทาง[1] จะไปมีความสามารถใดกัน”

การเรียนรู้ของปรมาจารย์ที่นั่นมีความเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง ต่อให้มีพรสวรรค์ที่ดี ทว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จเลยถ้าหากปราศจากอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องและความอดทนของอาจารย์

หลายปีก่อนตอนที่ฉู่หลิวเยว่ใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลฉู่ แม้กระทั่งคนรับใช้บางคนยังไม่รู้จักนาง ตอนนี้นางอายุสิบกว่าปีแล้วเพิ่งจะมาค้นพบพรสวรรค์ ซึ่งความจริงมันสายเกินไปแล้ว

ผลสอบคราวก่อนต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน!

น้ำเสียงของซือหยางก็แข็งกร้าวขึ้น

“ทำไม เจ้าสงสัยว่าการพิจารณาของผู้อาวุโสซุนและพวกอาจารย์มีสิ่งผิดพลาดอย่างนั้นหรือ”

เขาได้ที่สามเชียวนะ!

กู้หมิงจูสงสัยที่อยู่หลิวเยว่คว้าอันดับสองมาได้ เช่นนั้นหมายความว่าเขาไม่มีความสามารถพออย่างนั้นหรือ!

เมื่อซือหยางเอ่ยเช่นนี้ นางก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

ซือหยางชอบยียวนกวนประสาทที่สุด นางขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเขา!

กู้หมิงจูมองไปที่ซือถิงอย่างโกรธเคือง แต่กลับพบว่าชายหนุ่มรูปงามและกล้าหาญไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางด้านนี้ ราวกับว่าเขาไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลยสักนิด

กู้หมิงจูกัดริมฝีปากและนางก็รู้สึกหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม

ซือถิงเป็นคนเงียบสงบและค่อนข้างเก็บตัว เย็นชาไร้อารมณ์ นางคิดว่าเขาก็เป็นคนแบบนี้นี่แหละ ดังนั้นแม้ว่าจะถูกเขาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระนั้นนางก็ยังมีความหวังริบหรี่

ทว่ายามนี้ เมื่อมีฉู่หลิวเยว่โผล่หน้ามาทำให้นางรู้สึกอันตราย!

คนอย่างซือถิงเคยสนใจไยดีคนอื่นเสียที่ไหน

เมื่อครู่นี้ตอนที่อาจารย์ตงฟังเอ่ยปากว่าจะให้ใครสักคนไปตามฉู่หลิวเยว่มาที่นี่ นางคิดไม่ถึงเลยว่าซือถิงจะเป็นคนรับปากคนแรก!

แม้ซือถิงจะบอกว่าเพราะเขาแก้ค่ายกลด่านแรกได้แล้วจึงมีเวลาออกไปตามฉู่หลิวเยว่ แต่กู้หมิงจูกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

และเมื่อครู่นี้ที่ฉู่หลิวเยว่พูดคุยกับซือถิง นางก็รู้สึกได้ทันทีว่าซือถิงเลือกปฏิบัติกับนางแตกต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

นี่เป็นสัญชาตญาณที่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่มี!

ดังนั้นสิ่งนี้จึงทำให้กู้หมิงจูยิ่งรู้สึกไม่ถูกชะตากับฉู่หลิวเยว่มากขึ้นไปอีก

นางวางมือข้างหนึ่งไว้บนกระดานหมาก แต่เพราะออกแรงมากไปจึงไปให้ปลายนิ้วขาวซีด

“ฉู่หลิวเยว่ เจ้ากล้าแข่งกับข้าหรือไม่ หากเจ้าแพ้ก็ยกอันดับที่สองนั่นมาให้ข้า หากข้าแพ้ ข้าจะยก ค่ายกลด้ายมังกร ให้เจ้า ตกลงไหม!”

คนรอบข้างต่างตกตะลึงแล้วพากันเงยหน้าและหันมามองทางด้านนี้

ค่ายกลด้ายมังกรนั่นคือค่ายกลระดับห้าในตำนาน!

สมกับเป็นคุณหนูรองตระกูลกู้ ช่างใจเด็ดจริงๆ!

สิ่งตอบแทนสมน้ำสมเนื้อเช่นนี้ เกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธ

ถึงกระนั้นฉู่หลิวเยว่ไม่แสดงสีหน้าตื่นเต้นเลยสักนิด กลับส่ายหน้าแล้วยิ้มให้อย่างใจดี

“ไม่เอาดีกว่า เพราะจริงๆ แล้วข้าไม่ชอบรังแกใครสักเท่าไหร่”

[1] บวชเรียนกลางทาง สำนวนจีน หมายถึงการเรียนรู้สิ่งอื่น เปลี่ยนงานหรือเข้าวงการอื่นในภายหลัง โดยไม่ได้มาเส้นทางนี้ตั้งแต่ต้น