เล่ม 2 ตอนที่ 104 นางคู่ควรด้วยหรือ

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ทำไมกู้หมิงจูจะฟังไม่ออกว่าฉู่หลิวเยว่หมายถึงอะไร

นี่มันหมายความว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาชัดๆ!

นางโกรธจนต้องหัวเราะประชดประชัน

“ฉู่หลิวเยว่ เจ้าคงไม่ได้กลัวหรอกกระมัง”

ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่

“ถ้าเจ้าคิดว่าใช่ก็ใช่”

กู้หมิงจูถึงกับสะอึก คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะมีทิฐิสูงเช่นนี้

นางจึงขึ้นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ

“แล้วถ้าข้าเพิ่ม ค่ายกลชิงมู่ อีก เจ้าจะตกลงหรือไม่!”

จากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นภายในห้อง

ค่ายกลชิงมู่!

นั่นคือค่ายกลที่สุดยอดไม่แพ้ค่ายกลด้ายมังกรเลยทีเดียว!

เพื่ออยากเอาชนะฉู่หลิวเยว่ กู้หมิงจูถึงกับยอมเอาค่ายกลระดับห้าทั้งสองมาวางเป็นเดิมพัน! นี่มันขูดเลือดขูดเนื้อตัวเองชัดๆ!

ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็หันกลับมามองนางด้วยท่าทางเอ้อระเหย

“จริงหรือ”

“คุณหนูรองตระกูลกู้อย่างข้า พูดจริงเสมอ!” กู้หมิงจูเชิดคางขึ้น

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า

“ได้!”

นางไม่ใช่คนโง่และอีกฝ่ายก็ยื่นข้อเสนอให้นางเอง แล้วทำไมถึงจะไม่รับล่ะ

เมื่อกู้หมิงจูเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยอมตกลง นางก็กระหยิ่มยิ้มในใจ แต่ก็หัวเราะเยาะและดูถูกปรามาสฉู่หลิวเยว่

“สงสัยที่เจ้าปฏิเสธเมื่อครู่นี้ ก็แค่ดูถูกของเดิมพันน้อยไปเท่านั้นแหละ”

ความหมายแฝงของวาจาดูถูกนี้คือ ฉู่หลิวเยว่ตาลุกวาวเมื่อเห็นเงินก้อนโต

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มจนตาเป็นสระอิ จากนั้นก็ยอมรับไปตามตรง

“เจ้ารู้ไว้ก็ดี ถ้าจะขอคำแนะนำจากใครก็ต้องจริงใจหน่อย”

เพราะฉะนั้น นางจึงไม่อยากเสียเวลากับคนแบบนี้จริงๆ

“นี่เจ้า!”

กู้หมิงจูหัวร้อนขึ้นมาจนเกือบจะเข้าไปทำร้ายฉู่หลิวเยว่แล้ว ฉับพลันนั้นนางก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องนางอยู่

ซึ่งนั่นก็คือซือถิง!

กู้หมิงจูจึงระงับไฟโกรธที่กำลังสุมทรวงแล้วกลับสู่ท่าทางเย็นชาตามปกติของนาง

“เช่นนั้นก็ใช้ค่ายกลสองอันนี้ที่อาจารย์ตงฟังสร้างขึ้นมาในการแข่งขัน ผู้ใดสามารถแก้โจทย์ได้ทั้งหมดก็จะเป็นผู้ชนะ!”

“กู้หมิงจู เจ้าพูดได้ไม่อายปากสักหน่อยหรือ เจ้านั่งแก้โจทย์มาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่ฉู่หลิวเยว่เพิ่งมาถึง นี่เจ้าคิดที่จะกลั่นแกล้งกันอย่างนั้นหรือ!”

ซือหยางทนดูต่อไปไม่ไหวก็เลยท้วงขึ้นมา

กู้หมิงจูเหลือบมองฉู่หลิวเยว่แล้วแสยะยิ้มอย่างเย็นชา

“การแก้ค่ายกลต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม บางครั้งเวลาแค่วันเดียวก็ไม่สามารถแก้ได้ ฉู่หลิวเยว่มาสายด้วยเหตุผลส่วนตัว แล้วจะโทษข้าได้อย่างไร แม้ก่อนหน้านี้นางจะสอบได้ที่สอง แต่เจ้าก็คงไม่เอาเปรียบแม้กระทั่งเรื่องเวลาหรอกกระมัง ฉู่หลิวเยว่ เจ้าว่าไง”

ฉู่หลิวเยว่โบกมืออย่างไม่ถือสา

“อ่อนให้เจ้าก็แล้วกัน”

ท่าทางไม่ยี่หระของนางยิ่งทำให้กู้หมิงจูหงุดหงิด

“เริ่มกันเถอะ!”

หลังจากที่นางพูดจบก็ก้มศีรษะลงและเริ่มจดจ่อกับการศึกษาค่ายกลบนกระดานหมากรุกที่อยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง

คราวนี้นางจะต้องเอาชนะให้ได้แน่นอน!

ฉู่หลิวเยว่ถอนสายตากลับมาแล้วจ้องหน้าซือถิง

นางจ้องเสียจนซือถิงรู้สึกประหม่าแปลกๆ

ฉู่หลิวเยว่แสยะยิ้มมุมปาก

เห็นได้ชัดว่าซือถิงเป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในคราวนี้

กลับเห็นแก่ที่ซือถิงช่วยเหลือนางก่อนหน้านี้ นางเองก็ไม่อยากถือสาให้มากความ

ซือถิงเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วแล้วก้มหน้ามองค่ายกลบนกระดานหมากตรงหน้าตรงเอง

ห้องทรงอักษร ณ พระราชวัง

จักรพรรดิจยาเหวินที่เอนหลังพิงเก้าอี้มองหรงจิ้นที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“เจิ้น[1]จะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย เรื่องนี้ก็ให้มันแล้วไป ไม่ว่าใครก็ตาม เจิ้นไม่อนุญาตให้หาคนมารับผิดชอบอีก”

เสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นในห้องทรงอักษร ซึ่งแสดงถึงศักดิ์ศรีและอำนาจยิ่งใหญ่ของผู้เป็นประมุข

มือของหรงจิ้นในแขนเสื้อกำหมัดแน่น

อันที่จริงเขาคิดคำตอบนี้ไว้ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ทว่า…เขาไม่เข้าใจจริงๆ!

“เสด็จพ่อ เรื่องที่เจินเจินได้รับบาดเจ็บที่พื้นที่ล่าสัตว์นั้นแปลกมากจริงๆ ก่อนหน้านี้ลูกดูแลพื้นที่ล่าสัตว์เองมาโดยตลอดและไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แต่พอตกไปอยู่ในมืองของเจินเป่าเก๋อก็เกิดเรื่องแบบนี้ หากไม่ตรวจสอบโดยละเอียด เจินเจินจะสบายใจได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิจยาเหวินมองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง

“รัชทายาท นี่เจ้ากำลังตำหนิเจิ้นหรือ”

หรงจิ้นใจหายวาบแล้วรีบคุกเข่าขออภัยโทษทันที

“ลูกไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ!”

“เจินเป่าเก๋อห้ามแล้วห้ามอีก แต่เจินเจินก็ยังดื้อรั้นเข้าไปล่าสัตว์อสูรในนั้นจนได้ เรื่องนี้หากจะกล่าโทษก็ต้องโทษตัวนางเอง สุดท้ายก็เป็นเพราะเจิ้นตามใจนางจนเสียนิสัย หลายปีที่ผ่านมานางทำตัวเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ถึงเป็นเช่นนั้นเจิ้นกลับปล่อยนางโดยไม่เคยลงโทษสักครั้งจนทำให้เกิดเหตุการณ์ในวันนี้!”

จักรพรรดิจยาเหวินถอนหายใจและหลับตาลง

“หยวนตันของนางแตกสลายไปแล้ว เจิ้นจะไม่เสียใจได้อย่างไร เจิ้นสั่งให้ฉู่หนิงพาทหารไปตามหาสัตว์อสูรระดับสูงที่ทำร้ายเจินเจินแล้ว ผู้ที่ติดตามเจินเจินในวันนั้นที่บกพร่องในหน้าที่ก็โดนลงโทษหมดแล้ว เจ้า…ยังต้องการตรวจสอบเรื่องใดอีก”

ประโยคสุดท้ายทำให้หรงเจินใจกระตุกแปลกๆ

แม้จักรพรรดิจยาเหวินจะไม่ได้มองมาที่เขา แต่เขาก็รู้สึกเหมือนถูกมองทะลุไปถึงความคิดของเขาแล้ว

“ลูกก็แค่คิดว่า…”

“คราวก่อนเจิ้นบอกเจ้าแล้ว อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเจินเป่าเก๋อ สงสัยเจ้าคงฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา”

จักรพรรดิจยาเหวินเหลือบตามองด้วยความเหนื่อยใจ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า

“ตกลงเจ้าต้องการสืบเรื่องนี้เพื่อเจินเจินหรือ…เพื่อตัวเองกันแน่”

“เสด็จพ่อ!”

หรงจิ้นตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าดวงตาของจักรพรรดิจยาเหวินที่จ้องมาที่ตนราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนซึ่งทำให้เขาตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“เสด็จพ่อเห็นใจลูกด้วย ลูกไม่ได้เห็นแก่ตัวเองเลยสักนิด”

จักรพรรดิจยาเหวินกลับไม่หวั่นไหว

หรงจิ้นกำลังคิดสิ่งใด กำลังทำการใด เขารู้ดีทุกอย่าง

สองพ่อลูกคนหนึ่งนั่งคนหนึ่งคุกเข่าและกำลังเผชิญหน้ากัน

บรรยากาศภายในห้องค่อยๆ เย็นยะเยือก

หลังจากนั้นไม่นานหรงจิ้นก็ก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยว่า

“…เสด็จพ่อ ลูกแค่ต้องการเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น! เจินเป่าเก๋อมีเบื้องหลังอย่างไรกันแน่ แม้กระทั่งเสด็จพ่อยังปกป้อง ลูกทุ่มเทกายใจเพื่อพื้นที่ล่าสัตว์นั่น แต่กลับถูกพวกเขาแย่งไปต่อหน้าต่อตา! ลูกจึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”

“เจ้าเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท ทำไมเจ้าต้องทำขนาดนี้เพื่อพื้นที่ล่าสัตว์เล็กๆ เพียงผืนเดียวด้วย ที่จริงแล้วเจ้าเป็นห่วงหน้าตาชื่อเสียงของตัวเองมากกว่า ใช่หรือไม่”

คำพูดของจักรพรรดิจยาเหวินแทงใจดำจนทำให้หรงจิ้นหน้าซีดเผือด

“หากไม่มีพวกเขาคอยช่วยเหลือฉู่หลิวเยว่ ลูกก็คงไม่…”

“แต่เจ้าเป็นคนเอ่ยขอยกเลิกสัญญาหมั้นหมายเอง”

จักรพรรดิจยาเหวินส่ายหน้า

เขารู้ว่าหรงจิ้นไม่ได้เป็นคนใจกว้าง แต่เหตุการณ์ล่าสุดทำให้เขาผิดหวังจริงๆ

ถ้าฉู่หลิวเยว่แสดงพรสวรรค์ที่น่าทึ่งในตอนแรก เหตุการณ์ก็คงแตกต่างกว่าตอนนี้มาก

“เจ้ากลับไปซะ”

จักรพรรดิจยาเหวินโบกมือ

หรงจิ้นอยากพูดอะไรต่อ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของจักรพรรดิจยาเหวิน เขาก็ต้องกลืนคำพูดลงไป

“…พ่ะย่ะค่ะ”

เขาหันตัวออกไป

แต่พอเดินมาถึงหน้าประตู น้ำเสียงของจักรพรรดิจยาเหวินก็ดังขึ้นมาตามหลังเขา

“เจิ้นได้ยินมาว่าไม่กี่วันก่อนฉู่เซียนหมิ่นจากตระกูลฉู่บาดเจ็บที่ใบหน้า ถ้าเจ้าว่างก็ไปดูนางสักหน่อย”

หรงจิ้นหันกลับมาและรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง

“ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่สะพัดอย่างกับไฟลามทุ่ง ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็รีบตบแต่งนางซะ”

“เสด็จพ่อ ลูกกับฉู่เซียนหมิ่นไม่ได้…”

“ในฐานะรัชทายาท ควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร เจ้าก็ชั่งน้ำหนักเอาเองก็แล้วกัน”

“…พ่ะย่ะค่ะ”

หรงจิ้นกลับไปยังจวนรัชทายาทโดยที่เงียบมาตลอดทาง เขามีสีหน้าเย็นชาจนใครหลายคนต้องหวาดผวา

ซ่งหยวนที่รออยู่นานแล้วใจเต้น ตึกตัก เมื่อเห็นท่าไม่ดี เขาก็ก้มหน้าก้มตาด้วยความประหม่า

หรงจิ้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซ่งหยวน

“ไปที่ตระกูลฉู่แล้วบอกให้พวกเขาเตรียมตัว อีกไม่กี่วันข้าจะไปรับฉู่เซียนหมิ่นเข้าจวน”

ซ่งหยวนตะลึงค้าง

“องค์ชาย เช่นนั้นต้องทำตามพิธี…แต่งตั้งพระชายารองหรือพ่ะย่ะค่ะ”

หรงจิ้นยิ้มเย็นยะเยือก

“พระชายารองหรือ นางคู่ควรด้วยหรือ!”

[1] เจิ้น สรรพนามแทนตนของฮ่องเต้ จักรพรรดิหรือกษัตริย์ในสมัยจีนโบราณ