เล่ม 2 ตอนที่ 105 ข้ารอเจ้าจนเมื่อยแล้ว

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

“หลังจากนี้สามวัน ทางจวนขององค์ชายรัชทายาทจะมาต้อนรับนางเข้าจวนตามกฎระเบียบแต่งตั้งนางสนม!”

ซ่งหยวนเอ่ยถามด้วยความลังเล

“องค์ชาย ถึงอย่างไรคุณหนูสามก็เป็นทายาทสายตรงของตระกูลฉู่ ตำแหน่งนางสนม…ไม่ค่อยเหมาะสมกระมังพ่ะย่ะค่ะ”

“นี่ก็ถือเป็นการยกย่องนางมากพอแล้ว!”

หรงจิ้นมีสีหน้าเย็นชา เมื่อเอ่ยถึงฉู่เซียนหมิ่น แววตาของเขาดูมีความรู้สึกเสียที่ไหน

เพราะเรื่องนี้ทำให้เขาต้องอับอายไปทั่ว

ตอนนี้เขายังเหลือที่ให้นางได้เข้ามาอยู่ในจวนรัชทายาทก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าของหรงจิ้นที่ดูตัดสินใจเรื่องนี้แน่วแน่แล้ว ไม่มีแววเปลี่ยนแปลง ซ่งหยวนจึงไม่พูดมากอีก

“พ่ะย่ะค่ะ”

หรงจิ้นพ่นลมหายใจออกมาและกำลังจะเข้าไปข้างใน แต่กลับเห็นว่าซ่งหยวนยังคงยืนอยู่ที่เดิมและมีท่าทางผิดปกติ

เขาจึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้

“เจ้ายังจะยืนบื้ออยู่ตรงนี้ทำไม”

ซ่งหยวนโค้งตัวแล้วเอ่ยเสียงเบา

“องค์ชาย คนที่ส่งไปตามสืบเจินเป่าเก๋อเมื่อก่อนหน้านี้…ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

หรงจิ้นตกใจและขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม

“เป็นไปได้อย่างไร! คนพวกนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่ทั้งนั้น!”

เพราะรู้ว่าเจินเป่าเก๋อไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดังนั้นตอนที่ลงมือเขาแทบจะเทหมดหน้าตักเลยด้วยซ้ำ กว่าผู้ใดจะไปคิดเล่าว่า…

“องค์ชาย คนพวกนั้นเพิ่งจะแอบตามสืบเจินเป่าเก๋อเงียบๆ ก็ถูกลอบสังหารติดๆ กัน อีกอย่างฝ่ายนั้นมีพลังแข็งแกร่งมาก พวกเขาลงมือแยบยลจนแทบไม่เหลือร่องรอยใดๆ! พวกเรามิสามารถหาหลักฐานได้เลย แต่ยืนยันว่าพวกเขาเป็นคนทำได้พ่ะย่ะค่ะ”

หรงจิ้นกำหมัดแน่น แล้วพูดเสียงลอดไรฟัน

“เจ้าหมายความว่า เรื่องครั้งนี้ ข้าทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนความโกรธแค้นนี้เอาไว้เองอย่างนั้นหรือ”

“องค์ชาย กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

ซ่งหยวนตะลีตะลานคุกเข่าลงกับพื้น

หรงจิ้นปิดเปลือกตา เขาครุ่นคิดสักพักก่อนจะแสยะยิ้มอย่างเย็นชา

“ในเมื่อทำลับหลังไม่ได้ ก็ทำต่อหน้าไปเลยสิ!”

ซ่งหยวนมีความกังวลขึ้นมา

“องค์ชาย องค์ชายทรงหมายความว่าจะไม่ให้ตามสืบต่อแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์จะกระทำอย่างเปิดเผย เกรงว่าคงรับมือกับฝ่าบาทได้ยากนะพ่ะย่ะค่ะ!”

“แน่นอนว่าข้าคงไม่เอาตัวเองไปยุ่งเรื่องพวกนี้หรอก แต่เจินเป่าเก๋อนั่นทำกิจการอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ใครจะไปรู้ว่าลับหลังแล้วบัญชีของพวกเขาจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ ช่วงนี้ทางกรมบันทึกพงศาวดารพวกนั้นกำลังว่างงานอยู่พอดี ให้พวกเขาตรวจสอบเรื่องนี้ในเมืองหลวงสักครั้งก็ดีเหมือนกัน!”

ตระกูลฉู่

ฉู่เยี่ยนและลู่เหยาเบิกตาอ้าปากค้างมองซ่งหยวนที่ยืนอยู่ตรงหน้า และคิดว่าเมื่อครู่นี้ตนเองฟังผิดไปหรือไม่

“ใต้เท้าซ่ง เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่า…องค์ชายรัชทายาทต้องการให้หมินหมิ่นแต่งเข้าจวนในฐานะนางสนมอย่างนั้นหรือ!”

ใบหน้าของซ่งหยวนเจือรอยยิ้ม

“ขอรับ! องค์ชายรัชทายาททรงเมตตาคุณหนูสามฉู่มาก พระองค์มีใจที่จะแต่งตั้งแต่แรก พวกท่านทั้งสองก็ทราบดี แม้ว่าตอนนี้จะดูเร่งรัดไปหน่อย แต่องค์ชายทรงตรัสว่าเนื่องจากอาการบาดเจ็บของคุณหนูสามยังไม่หายดี จึงเป็นห่วงนางก็เลยจัดทุกอย่างแบบเรียบง่าย แต่ว่าพวกท่านก็วางใจได้ แม้กฎพิธีการจะดูเรียบง่าย ถึงอย่างนั้นพระองค์จะไม่ทางปล่อยปละละเลยคุณหนูสามเด็ดขาด”

ฉู่เยี่ยนและลู่เหยาสั่นไปทั้งสรรพางค์กาย

“ใต้เท้าซ่ง ถึงอย่างไรฉู่เซียนหมิ่นก็เป็นคุณหนูทายาทสายตรงของตระกูลฉู่ ต่อให้ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บไม่อาจดำรงตำแหน่งพระชายาเอกได้ แต่อย่างน้อยก็ควรจะได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายารองถึงจะเหมาะสม ให้ได้แค่ตำแหน่งสนม ไม่ทำกันเกินไปหน่อยหรือ!”

ฉู่เยี่ยนโกรธจนระงับอารมณ์ไม่ได้ ดังนั้นวาจาของเขาจึงก้าวร้าว

รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง กลับเพิ่มความเย็นชาขึ้นมาอีกหลายส่วน

“เหอะๆ ใต้เท้าฉู่เยี่ยน ท่านไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้จริงๆ หรือ ส่วนที่บาดเจ็บของคุณหนูสามคือใบหน้า ไม่แน่คงเสียโฉมไปตลอดชาติ ต่อไปผู้ที่มีตำแหน่งเป็นพระชายาเอกและพระชายารองจะต้องไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพชน คุณหนูสามมีสภาพเช่นนี้…สมควรหรือ”

“อีกอย่าง คุณหนูสามเสียโฉมไม่ว่า แต่ยังทำให้องค์ชายรัชทายาทต้องเสียหน้าไปด้วย ตอนนี้พระองค์ทรงยกย่องในฐานะสนมก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว ท่านทั้งสองคิดดูให้ดี อย่าทำลายความหวังดีขององค์ชายรัชทายาทจะดีกว่า”

นี่มันข่มขู่กันชัดๆ คิดว่าดูไม่ออกหรือ

ฉู่เยี่ยนและลู่เหยาสบตากัน ทั้งสองรู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขามีฉู่เซียนหมิ่นเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว เดิมทีหวังว่านางจะสามารถมัดใจองค์ชายรัชทายาทอยู่หมัดเพื่อปีนขึ้นไปนั่งตำแหน่งพระชายา ทว่าตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว!

เวลาแค่สามวัน จะไปเตรียมตัวทันได้อย่างไร!

แต่งเข้าไปทั้งแบบนี้ขายขี้หน้าเขาตาย! ไม่รู้ว่าคนในเมืองหลวงจะหัวเราะเยาะกันขนาดไหน!

“ข้าจะแต่ง!”

ในขณะที่ทุกคนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ทันใดนั้นก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากนอกประตู

ซึ่งนางก็คือฉู่เซียนหมิ่นนั่นเอง

เวลานี้นางสวมผ้าคลุมซึ่งปิดผมและใบหน้าเกือบทั้งหมด เผยให้เห็นดวงตาเพียงคู่เดียวเท่านั้น

เพียงแต่ว่าดวงตาคู่นั้นไม่ฉายแววความเย่อหยิ่งทระนงในอดีตอีกต่อไป ในทางกลับกัน ดวงตาคู่นั้นทั้งดูเย็นชาและหมองหม่น ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้พบเห็น

ซ่งหยวนพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนคุณหนูสามผู้นี้เปลี่ยนไปราวกับคนละคน

“หมินหมิ่น! ลูกออกมาได้อย่างไร!”

ลู่เหยารีบเดินเข้าไปหาแล้วมองสำรวจบุตรสาวด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“เมื่อครู่นี้…เจ้าได้ยินหมดแล้วหรือ”

ฉู่เซียนหมิ่นพยักหน้า

“ลูกได้ยินหมดแล้ว ลูกยินดีแต่งงานเจ้าค่ะ”

ซ่งหยวนคลี่ยิ้ม

“เช่นนั้น เชิญคุณหนูสามเตรียมตัวอยู่ที่บ้านก่อน แล้วอีกสามวันค่อยเข้าจวน!”

เมื่อกล่าวธุระเสร็จสิ้น เขาก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก จากนั้นก็หันหลังจากไป

เมื่อเงาร่างของซ่งหยวนลับตาไป ฉู่เยี่ยนก็เพิ่งจะได้สติกลับมาก่อนจะมองหน้าฉู่เซียนหมิ่นด้วยสายตาสับสน

“หมินหมิ่น ลูกคิดดีแล้วหรือ แต่งแล้วได้เป็นแค่สนมเองนะลูก!”

ฉู่เซียนหมิ่นหัวเราะเยาตนเอง

“ตอนนี้ลูกกลายเป็นเช่นนี้แล้ว แล้วจะทำสิ่งใดได้อีกหรือเจ้าคะ”

ทั้งสองต่างเงียบสนิท

“จวนขององค์ชายรัชทายาทยังไม่มีทั้งพระชายาเอกและพระชายารอง มีแค่เมียบ่าว ลูกไปที่นั่นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่โดนกลั่นแกล้งรังแกหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่าง ลูกไม่ได้คิดจะเป็นแค่นางสนมไปจนชั่วชีวิตหรอกเจ้าค่ะ”

ลู่เหยาดวงตาเป็นประกายทันที

“หมินหมิ่น นี่ลูกหมายความว่า…”

“แม้ว่าใบหน้าลูกจะเสียโฉม แต่พรสวรรค์และความสามารถยังอยู่ ถึงอย่างไรการที่ได้เป็นคนของรัชทายาทก็สามารถอาศัยอำนาจของพระองค์ได้ ใครที่ทำร้ายจนลูกกลายมาเป็นเช่นนี้ ลูกไม่มีวันลืมเด็ดขาด!”

ฉู่หลิวเยว่ บัญชีความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า ก็ค่อยๆ ชำระไปทีละนิดก็แล้วกัน!

คาบเรียนฝึกสมาธิ

บรรยากาศของห้องนี้ช่างเงียบงัน และทุกคนก็กำลังศึกษากระดานหมากรุกที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างตั้งใจ

แกร๊ก!

มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้น

ซึ่งนั่นคือเสียงที่กู้หมิงจูสามารถแก้ค่ายกลด่านแรกได้สำเร็จ!

ตงหังชิงเหลือบมองนางด้วยความรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ เพราะเขาคิดไม่ถึงว่ากู้หมิงจูจะแก้ด่านแรกได้เป็นคนที่สองต่อจากซือถิง

เมื่อซือหยางได้ยินเสียงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมอง จากนั้นก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น

กู้หมิงจูเชิดคางมองฉู่หลิวเยว่อย่างผู้มีชัย

“ค่ายกลง่ายๆ แค่นี้ก็แค่ปอกกล้วยเข้าปากเท่านั้น!”

เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินเสียงก็เหลือบมองแวบหนึ่ง

“หืม? นี่เจ้าแก้ด่านแรกได้แล้วหรือ”

“ทำไม แปลกใจนักหรือ เจ้าคงไม่ติดอยู่ในค่ายกลง่ายๆ เช่นนี้หรอกกระมัง”

กู้หมิงจูส่งสายตาเยาะเย้ย

“อันที่จริง ก็แค่มีประสบการณ์การเรียนอย่างเป็นระบบและมีอาจารย์ชื่อดังคอยชี้แนะ เจ้าก็จะรู้ว่าค่ายกลมีจุดเด่นตรงไหนบ้าง ความเร็วในการแก้ค่ายกลก็เร็วขึ้นเป็นธรรมดา แต่ว่า ดูท่าทางเจ้าแล้วคงไม่เคยเห็นค่ายกลเช่นนี้หรอก ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก็เป็นเรื่องปกติ”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างจริงจัง

“ข้าไม่ค่อยได้เห็นค่ายกลแบบนี้สักเท่าไหร่จริงๆ”

ตั้งแต่นางอายุหกขวบ นางก็ไม่เล่นของพวกนี้แล้ว แน่นอนว่าไม่ค่อยได้เห็นสักเท่าไหร่

กู้หมิงจูกลอกตา

“เอาอย่างนี้ไหม ข้ารอเจ้าแก้ด่านแรกได้ก่อนแล้วค่อยมาเริ่มแข่งด่านที่สองพร้อมกันอีกที พอเจ้าแพ้แล้ว จะได้ไม่มีผู้ใดมาว่าข้าชนะโดยไม่โปร่งใส!”

ฉู่หลิวเยว่ปฏิเสธข้อเสนอของนางแล้วยกยิ้มมุมปาก

“ไม่จำเป็น”

เมื่อพูดจบ นางก็หันหน้ากลับไปถือหมากรุกในมือ จากนั้นก็วางลงไปบนกระดาน

แกร๊ก!

เสียงแก้ค่ายกลสำเร็จดังขึ้น!

“ข้ารอเจ้าจนเมื่อยมากแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่รบกวนให้เจ้ารอข้าก็แล้วกัน”