ทุกคนต่างตกตะลึงเบิกตาอ้าปากค้าง
นั่น…นั่นฉู่หลิวเยว่แก้ค่ายกลได้แล้วหรือ!
มันดูง่ายๆ สบายๆ เช่นนี้ล่ะ
ถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่นางเข้ามาจนถึงตอนนี้เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาทเท่านั้น คิดไม่ถึงว่านางจะผ่านด่านแรกตามกู้หมิงจูไปติดๆ!
ไม่สิ เห็นได้ชัดว่านางสามารถแก้กลของค่ายกลได้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่นางแค่รอกู้หมิงจูเท่านั้น!
รอยยิ้มแห่งชัยชนะของกู้หมิงจูค้างเติ่งบนใบหน้า นางค่อยๆ เบิกตากว้างแล้วจ้องไปที่กระดานหมากตรงหน้าฉู่หลิวเยว่จนตาแทบถลน
“เจ้า นี่เจ้าก็ผ่านด่านแรกแล้วหรือ!”
ฉู่หลิวเยว่ทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“มันก็ชัดเจนแล้วนี่ไง”
กู้หมิงจูสมองว่างเปล่าขาวโพลนแล้วมองหน้าฉู่หลิวเยว่ที่มีสีหน้าสบายอารมณ์ ส่วนนางก็ตะลึงค้างจนสติแทบหลุดไปแล้ว
เป็นไปได้อย่างไร!
ค่ายกลนี้ซับซ้อนมาก หากไม่มีความสามารถเลยสักนิดก็เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดว่าจะแก้ค่ายกลนี้ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อครู่นี้นางพูดราวกับทำได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงนางแค่อยากเยาะเย้ยฉู่หลิวเยว่จึงได้ตั้งใจพูดให้เกินจริงไปหน่อย
หากมันง่ายขนาดนั้นจริงๆ นักเรียนหลายคนในห้องนี้ก็คงไม่หน้าดำคร่ำเครียดคิดแก้ค่ายกลนานขนาดนี้หรอก!
ทว่าสำหรับฉู่หลิวเยว่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอุปสรรคใดๆ…
“ฉู่หลิวเยว่เก่งเกินไปแล้วกระมัง นางเพิ่งมาได้ไม่นานก็สามารถแก้ได้แล้ว”
“แม้กู้หมิงจูจะเร็วกว่านางหนึ่งก้าว หากลองคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฉู่หลิวเยว่…ใช้เวลาน้อยกว่านี่นา!”
“เฮ้ พวกเจ้าดูไม่ออกหรือว่าฉู่หลิวเยว่คิดคำตอบได้ตั้งนานแล้วและจงใจรอกู้หมิงจู ข้าว่าด่านที่สองกู้หมิงจูต้องแพ้แน่ๆ!”
“จิๆ ลือกันว่านางเคยเป็นท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ ทำไมถึงแข็งแกร่งขึ้นมาได้ในชั่วพริบตาล่ะ ความสามารถนี้เกรงว่าจะออมมือให้ซือถิงมากกว่า!”
เสียงกระซิบจากคนรอบข้างดังมาถึงหูจึงทำให้กู้หมิงจูมีสีหน้าบึ้งตึงมากขึ้น
“ไปต่อสิ!”
ด้วยศักดิ์ศรีของคุณหนูรองตระกูลกู้ยังค้ำคอ นางเย่อหยิ่งจนเป็นนิสัย จนป่านนี้แล้วยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ
ฉู่หลิวเยว่ไม่ใส่ใจ จากนั้นนางก็หันหน้ากลับไปทางกระดานหมากเหมือนเดิม
หลังจากผ่านค่ายกลด่านแรกไปแล้ว หมากบนกระดานก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นค่ายกลด่านที่สองด้วยตัวมันเอง
กู้หมิงจูถอนสายตากลับไปด้วยความโมโห แต่กลับมีร่องรอยของความวิตกกังวลปรากฏขึ้นในใจ
ทำไม…ฉู่หลิวเยว่เก่งกาจถึงเพียงนี้!
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งเริ่มเดินบนเส้นทางผู้ฝึกปรมาจารย์และเห็นได้ชัดว่านางไม่มีปัญญาจ้างอาจารย์สอนมาก่อน ฉู่หลิวเยว่จะเก่งกว่านางได้อย่างไร
ตอนแรกนางคิดว่าสอบกลางภาคเป็นความบังเอิญ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า…นางจะประมาทไม่ได้จริงๆ!
กู้หมิงจูสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามเพ่งความสนใจไปที่ค่ายกายด่านที่สองเพื่อต้องการแก้กลโดยเร็วที่สุดและเอาชนะฉู่หลิวเยว่ให้ได้
ทว่านางกลับว้าวุ่นใจ ความคิดสับสนยุ่งเหยิงไปหมดและไม่มีสมาธิเลยด้วยซ้ำ
ยิ่งนางกระวนกระวายมากเท่าไหร่ ค่ายกลบนกระดานหมากรุกก็จะยิ่งดูซับซ้อนยากที่จะแก้ไขมากขึ้นเท่านั้น
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามหน้าผากของนางโดยไม่รู้ตัวและดวงตาก็เริ่มแดงก่ำ
ตงฟังชิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเห็นสีหน้านางได้ชัดเจนที่สุด แล้วเขาก็อดที่จะลอบส่ายหน้าในใจไม่ได้
อันที่จริงพรสวรรค์ของกู้หมิงจูถือว่าไม่เลวเลย และมีคุณสมบัติพอให้น่าภาคภูมิใจ ทว่า นางเย่อหยิ่งเกินไปจนกลายเป็นหลงตัวเอง
กระนั้นนางไม่ฉุกคิดสักนิดเลยว่าค่ายกลที่สร้างขึ้นในป่าตอนสอบกลางภาคเป็นค่ายกลที่ผู้อาวุโสซุนและอาจารย์ท่านอื่นสร้างขึ้นมาเองกับมือ ฉู่หลิวเยว่จะผ่านมาได้เพราะโชคช่วยได้อย่างไร
กู้หมิงจูต้องการเอาชนะฉู่หลิวเยว่เกรงว่าคงยาก
…
เมื่อตกอยู่ในห้วงความคิด เวลาก็ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว
แสงแดดร้อนแรงจากภายนอกหน้าต่างค่อยๆ อ่อนแสงลงจนมืด
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปข้างนอกก็พบว่านี่มันตอนเย็นแล้ว
นางอยู่ที่นี่มาเกือบชั่วยามครึ่งแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เบนสายตามองซือถิงที่อยู่ข้างๆ
หลังของเขาตั้งตรง ใบหน้าของเขาเย็นชาและเขาก็จดจ่ออยู่ที่ค่ายกลตรงหน้า
แสงและเงาสะท้อนบนใบหน้าของเขาวาดเป็นโครงร่างที่ชัดเจนและคมเข้ม
ชายหนุ่มผู้นี้เปรียบเสมือนใบมีดคมที่พร้อมจะบาดลึกเมื่อใดก็ได้ มักจะแผ่ไออันเย็นเฉียบออกมาจากร่างกายของเขา
แม้เขาจะดูพึ่งพาตัวเองได้ไม่ง้อใคร รู้จักยับยั้งชั่งใจและรู้จักกาลเทศะ แต่ฉู่หลิวเยว่มักจะรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเฉกเช่นภาพลักษณ์ภายนอก
ซือถิงสัมผัสได้ถึงสายตาของฉู่หลิวเยว่ที่จ้องมองมาทางเขาแล้วเขาก็เกิดอาการเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย และมือที่ถือตัวหมากรุกก็นิ่งค้างไปชั่วขณะ
นางรอไม่ไหวแล้วหรือ
ซือถิงอดคิดในใจไม่ได้ จากนั้นก็เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
พรสวรรค์ของนางแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดจริงๆ!
ถ้าเขาเดาถูก นางแก้ค่ายกลด่านที่สองได้แล้ว ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงยังไม่ลงมือขั้นสุดท้ายเสียที
ดูเหมือนว่านางกำลังรอเขาอยู่
ซือถิงเม้มปากจ้องไปที่ค่ายกล จากนั้นหันข้อมือเล็กน้อย และตัวหมากรุกก็เปลี่ยนทิศทางและวางลงในที่ที่เขาไม่ได้ตั้งใจวางลงไป
แกร๊ก!
เขาสามารถคลี่คลายค่ายกลด่านที่สอง
ตัวหมากรุกบนกระดานที่อยู่ด้านหน้าเขาลอยขึ้นมาทันที แบ่งเป็นหมากสีขาวดำ และตกลงไปเก็บในกล่องหมากรุกข้างๆ ด้วยตัวมันเอง
ตงฟังชิงมองไปที่ซือถิงด้วยความประหลาดใจ
“ตอนแรกคิดว่าเจ้าจะใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วยามเสียอีก ซือถิง…ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงนี้เจ้าจะพัฒนาได้อย่างรวดเร็วมาก!”
ซือถิงพยักหน้าเบาๆ
“เมื่อสองสามวันก่อน ศิษย์ได้เห็นการสร้างค่ายกลที่คล้ายกัน จึงสามารถแก้โจทย์ได้เร็วขึ้นขอรับ”
ตงฟังชิงลูบเคราของเขาอย่างเข้าใจเหตุผลแล้ว
“ฮ่าๆ ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้ามักจะไปยืมแผนที่ค่ายกลที่หอคัมภีร์บ่อยๆ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก! เอาล่ะ! ในเมื่อตอนนี้เจ้าผ่านทั้งสองด่านแล้ว วันนี้เจ้าเลิกเรียนก่อนกำหนดได้!”
เมื่อสิ้นเสียงของเขา นักเรียนหลายคนก็มองซือถิงอย่างนึกอิจฉา
ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งช่างแตกต่างจากพวกเขาเหลือเกิน ระหว่างเรียนสามารถออกไปจากห้องได้ไม่พอ ยังได้เลิกเรียนเร็วกว่าใครเพื่อนอีก!
พวกเขายังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะคลี่คลายค่ายกลนี้ได้!
ซือหยางกุมขมับและบ่นกระปอดกระแปดอย่างอดมิได้
“พี่ใหญ่ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าพี่เก่งกว่าแต่ก่อนเยอะเลย พี่ยังอยากให้ผู้อื่นมีชีวิตต่อไปหรือไม่”
ซือถิงลุกขึ้นมองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง
“เจ้าขยันให้มากๆ หน่อย เดี๋ยวก็ทำแบบนี้ได้เองนั่นแหละ”
ซือหยางอดบ่นพึมพำไม่ได้
“ใครจะเป็นอย่างพี่กันเล่า แค่เคยเห็นค่ายกลคล้ายๆ กันก็สามารถแก้ได้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ทุกคนก็คงกลายเป็นอัจฉริยะกันไปหมดแล้ว”
ผู้ที่สามารถเข้าสำนักเทียนลู่ได้นั้นต่างมีพรสวรรค์กันทั้งนั้น แต่มีเหนือฟ้ายังมีฟ้า เมื่อทุกคนมารวมกันก็ยังมีข้อดีและข้อเสียอยู่บ้าง
และซือถิงก็เป็นนักเรียนดีเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย!
“บนโลกใบนี้จะมีพวกวิปลาสมากมายซะที่ไหน…”
แกร๊ก!
ก่อนที่ซือหยางจะพูดจบ ก็มีเสียงดังขึ้นในห้องอีกครั้ง
ทุกคนต่างสั่นสะท้าน มีคนแก้ด่านที่สองได้อีกคนหนึ่งแล้ว
เมื่อพวกเขาบังเอิญตามเสียงไปดูก็ตกใจตรงจุดนั้นอีกครั้ง
เพราะเสียงนั้นมาจากกระดานหมากรุกตรงหน้าฉู่หลิวเยว่
นี่ นี่มัน…ผู้ที่แก้ค่ายกลด่านที่สองตามหลังซือถิงไปติดๆ คือฉู่หลิวเยว่อีกแล้วหรือ
ตงฟังชิงก็ตกใจเช่นเดียวกัน จนเผลอปล่อยแขนที่กอดอกโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็รีบก้าวเข้าไปหาฉู่หลิวเยว่อย่างรวดเร็ว
เป็นเวลาเดียวกับที่หมากรุกบนกระดานหน้าฉู่หลิวเยว่ลอยขึ้นแล้วร่วงลงเก็บเข้ากล่องด้วยตัวมันเอง
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนก็ไม่สงสัยอีกต่อไป
ฉู่หลิวเยว่…สามารถแก้ค่ายกลด่านที่สองได้จริงๆ ด้วย!
ฉู่หลิวเยว่ตบมือทำท่าเหมือนเสร็จเรียบร้อยและยืนขึ้น จากนั้นก็ยักไหล่ที่เมื่อยขบสองสามครั้ง
“ในที่สุดก็จบสิ้นสักที…”
ซือถิงเห็นสีหน้าสบายใจของนาง ดวงตาของเขาก็ฉายแววอ่อนโยนอย่างอดไม่ได้ แต่แสงแห่งความอ่อนโยนนั้นก็หายวับไปและราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นและไม่มีใครสังเกตเห็น
ซือหยางมองนางด้วยสายตาเหม่อลอย และในที่สุดก็อดก่นด่าเบาๆ ไม่ได้”
“คนวิปลาส!”
ฉู่หลิวเยว่ปรายตามองเขา ซือหยางตัวสั่นและหดหัว
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักจะรู้สึกถึงราศีที่ยากจะอธิบายที่แผ่ออกมาจากตัวฉู่หลิวเยว่ และทำให้คนไม่กล้าล่วงเกินได้ง่ายๆ
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่สนใจและหันกลับไปมองกู้หมิงจู ก่อนจะยิ้มตาหยีให้นาง
“คุณหนูรองกู้ แผนที่ค่ายกลสองอันนั้นที่เจ้าเคยสัญญาจะให้ข้า ยามนี้เป็นของข้าแล้วใช่หรือไม่”
กู้หมิงจูหน้าซีดเผือด
สิ่งนั้นคือสมบัติล้ำค่าที่หายากของตระกูลกู้ ประการแรกเป็นเพราะนางวู่วามเกินไปที่กล้าเอามาเดิมพัน ประการที่สองคือนางมั่นใจในตนเองว่าสามารถเอาชนะฉู่หลิวเยว่ได้
ยามนี้นางแพ้แล้วจะทำเช่นไรดี
หรือว่าต้องเสียเปรียบให้ฉู่หลิวเยว่อย่างนั้นหรือ
สีหน้าของกู้หมิงจูเปลี่ยนไป และไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ถึงได้หันมาจ้องหน้าฉู่หลิวเยว่อย่างกะทันหัน
“ซือถิงเพิ่งจะแก้ได้และเจ้าก็ตามไปติดๆ มีความบังเอิญเช่นนั้นในโลกนี้ด้วยหรือ ฉู่หลิวเยว่ เจ้าต้องขี้โกงแน่!”