บทที่ 80 ใครกล้าเอาเข็มเย็บผ้ามาท้าทายท่านสุนัขผู้นี้กัน!

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ตูม ตูม!

พลังปราณสีดำสนิทเหมือนหมอกดำลอยขึ้นจากใต้พื้นดินเข้าล้อมวงแหวนปราณเอาไว้ทั้งหมดทันที บรรยากาศโดดเดี่ยวน่ากลัวเข้าปกคลุมตรอก

สีหน้าของผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการทั้งห้าเคร่งขรึมจริงจัง ทั้งหมดยืนเรียงกันเป็นวงกลมรอบซูฉีผู้ซึ่งถือน้ำแกงไก่อยู่ในมือ ภารกิจของพวกเขาในคราวนี้คือการปกป้องอาหารโอสถทิพย์ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องทุ่มกำลังทั้งหมดไปที่ซูฉีซึ่งถืออาหารนั้นอยู่ในมือ

พลังปราณสีดำอบอวลอยู่ในอากาศ หมุนทวนเข็มนาฬิกาตามอำนาจของวงแหวนปราณสีดำสองวง จากนั้นก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างบางอย่างที่อัดแน่นไปด้วยพลังกดดันน่าสยดสยอง

“นี่มันวงแหวนปราณเจ้าอเวจีกระชากวิญญาณมิใช่รึ! วงแหวนปราณลับของสำนักวิญญาณ… มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรกัน!” ซูฉีไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ รูม่านตาของซูฉีหดแคบ สายตามองไปในระยะไกล สังเกตเห็นร่างหลายร่างในชุดคลุมสีดำที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น

“พวกเจ้ามาจากสำนักวิญญาณรึ! จะมาทำลายอาหารโอสถทิพย์หรืออย่างไร” ซูฉีตะโกนถามเสียงขรึม

“จัดการเลย ไม่ต้องไปพูดกับมันให้เสียน้ำลาย จำไว้ ห้ามมีใครรอดเด็ดขาด… และห้ามใครรู้ตัวตนของพวกเราด้วย” เสียงแหบหยาบเหมือนก้อนกรวดขูดขีดกันดังกรีดแทงหู

เหล่าร่างในชุดคลุมสีดำไม่ได้พูดอะไรขณะเดินตรงไปยังทุกมุมของวงแหวนปราณ จนล้อมพวกของซูฉีเอาไว้หมด

ดวงตาทั้งสองข้างของหุนเชียนอวิ่นมีเปลวไฟวิญญาณเต้นตุบอยู่  ชายชราค่อยๆ ก้าวออกจากเงามืด แผ่นหลังโก่งงอ

ซูฉีตกอยู่ในความสิ้นหวังเป็นที่เรียบร้อย แม้เขาจะเดินหมากอย่างระมัดระวังที่สุด แต่ก็ยังตกหลุมพรางที่อวี่อ๋องวางเอาไว้จนได้

ซูฉีคิดมาตลอดว่าไม่ว่าอวี่อ๋องจะคลั่งเพียงใด แต่ก็คงทำเพียงส่งนักฆ่ามากฝีมือมาทำลายอาหารโอสถทิพย์นี้เท่านั้น เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าอวี่อ๋องจะถึงขั้นสมคบคิดกับสำนักนอกอาณาจักรเช่นนี้!

สำนักน้อยใหญ่เหล่านั้นต่อสู้กับอาณาจักรมาได้หลายต่อหลายปี เนื่องจากมีวิชาและอาวุธลับเฉพาะตัว พวกเขาจึงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ภายใต้การโจมตีอย่างหนักหน่วงของจักรพรรดิฉางเฟิ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ผู้ฝึกตนในจักรวรรดิทุกคนรู้ดีว่าสำนักเหล่านี้ทรงพลังมาก และไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามด้วยเป็นอันขาด

วงแหวนปราณเป็นหนึ่งในกลวิธีลับที่สำนักมักใช้ในการต่อสู้

“อวี่อ๋องถึงกับกล้าสมคบคิดกับสำนักเลยรึ… ไม่กลัวท่านจักรพรรดิรู้เข้าหรืออย่างไรกัน!” ซูฉีกัดฟันกรอดแล้วตะโกนออกมา

หุนเชียนอวิ่นอุทานเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ ดวงตาหันมามองซูฉี จากนั้นก็หัวเราะแล้วเอ่ย “จักรพรรดิจะไปรู้ได้อย่างไร หลังจากที่พวกเรากำจัดเจ้าทิ้ง… ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แล้ว”

ซูฉีกำลังจะพูดต่อ แต่ผู้ฝึกตนจากสำนักวิญญาณหน่ายกับการต่อความยาวสาวความยืดของเขาแล้ว จึงส่งพลังปราณเที่ยงแท้ออกจากร่างทันที ร่างสีดำที่อยู่ด้านบนซูฉีรวมถึงคนอื่นๆ เริ่มเปิดฉากโจมตี

มือยักษ์ก่อตัวจากพลังปราณสีดำจนเป็นรูปเป็นร่าง พุ่งตรงเข้าหาซูฉี พลังปราณที่ไหลบ่าออกจากมือนั้นรุนแรงเป็นอันมาก

“กันไว้!” ซูฉีตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงฉาน

ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการคนหนึ่งกู่ร้อง พลังปราณเที่ยงแท้ก่อตัวขึ้นนอกกาย เขาทะยานขึ้นไปบนฟ้าแล้วเปิดฉากโจมตีฝ่ามือนั้นด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

ทว่าการโจมตีดังกล่าวนั้นไม่ต่างอะไรจากแมลงตัวเล็กที่พยายามพุ่งชนต้นไม้ มันไม่ได้ระคายผิวของมือยักษ์เลยแม้แต่น้อย

ตูม!

ร่างของผู้ฝึกตนผู้นั้นถูกบี้ลงบนพื้นอย่างไม่ปราณี แรงกระแทกทำให้พื้นสั่นไหวและปริแตกทั่วบริเวณ…

พลังปราณเที่ยงแท้ที่ไหลออกจากร่างของผู้ฝึกตนผู้นั้นสลายหายไปทันที เขาถูกบี้ลงกับพื้นจนถึงแก่ความตาย!

ซูฉีกลัวจับขั้วหัวใจ วงแหวนปราณนี้ทรงพลังเหมือนที่เขาคะเนไว้ไม่มีผิด

หุนเชียนอวิ่นยิ้มน้อยๆ ขณะชี้นิ้วเหี่ยวย่นไปที่ซูฉี “จง… กำจัดพวกมันให้สิ้นซาก”

องค์ชายรัชทายาทกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ในวังของตน เขาหลับตาพยายามทำใจให้เย็นด้วยการฝึกปราณอย่างเงียบๆ แต่หลังจากที่ฝึกไปได้สักพัก ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น ผ่อนลมหายใจหนัก

“ฟู่… ซูฉีจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ตาข้ากระตุกมาสักพักแล้ว รู้สึกใจไม่ค่อยดีเลย” องค์ชายรัชทายาทมุ่นคิ้ว ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าการให้เถ้าแก่ปู้ทำน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงให้จักรพรรดิเป็นความคิดที่ดีเยี่ยม แต่ไม่ได้คาดคิดว่าอวี่อ๋องจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบที่กลับมาทิ่มแทงเขาเสียได้

องค์ชายรัชทายาทไม่รู้จะทำอย่างไรดี อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ที่ตนเองตัดสินใจใช้ไม้นี้จนทำให้ต้องตกที่นั่งลำบากในตอนนี้ ความหวังเดียวของเขาคือการที่ซูฉีนำน้ำแกงกลับมาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาไม่ตกหลุมพรางที่ตนเองขุดขึ้นมา

……

ณ ตำหนักอวี่อ๋อง

อวี่อ๋องกำลังยืนอยู่หน้าสระน้ำ ในมือถือผงผลึกและกำลังให้อาหารปลาอย่างสบายอกสบายใจ เขามองดูปลาในสระต่อสู้แย่งชิงผงผลึกกัน รอยยิ้มบนใบหน้าเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

ปู้ฟางที่กำลังนอนขดอยู่บนเก้าอี้รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากระยะไกล ชายหนุ่มมุ่นคิ้วทันทีพร้อมผุดลุกขึ้นยืน เขาเดินไปที่ประตูร้านแล้วมองออกไปที่ปากทางเข้าตรอก

สิ่งที่ชายหนุ่มเห็นคือรูปร่างประหลาดเหมือนอมนุษย์ขนาดยักษ์กำลังปิดทางเข้าตรอกอยู่

“ทำบ้าอะไรกันอยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าทำเช่นนั้นร้านข้าก็ไม่มีลูกค้ากันพอดี” ปู้ฟางขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

ลำพังพิกัดที่ร้านเขาตั้งอยู่ก็ไกลปืนเที่ยงมากแล้ว แล้วไอ้พวกนี้ยังเลือกมาตีกันที่ปากทางเข้าตรอกของเขาอีก ทำเช่นนี้แปลว่าตั้งใจมาปิดทางทำกินของเขารึ

โอวหยางเสี่ยวอี้เองก็ยื่นหน้าออกมาดูด้วยความสนอกสนใจเช่นกัน เมื่อนางเห็นร่างสัตว์ประหลาดยักษ์ที่ยืนทะมึนอยู่ ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นสีชมพูด้วยความตกใจ

“นายท่านตัวเหม็น พวกนั้นทำอะไรกันอยู่รึ” เด็กหญิงถามด้วยความงุนงง

“ก่อเรื่องอยู่น่ะสิ” ปู้ฟางพูดพร้อมลูบหัวเด็กหญิง ทันทีที่พูดจบ ดวงตาของเขาก็หรี่เล็กลงเพราะจู่ๆ ร่างสัตว์ประหลาดยักษ์ก็ระเบิด ร่างๆ หนึ่งพุ่งตรงมาที่ร้าน

“เถ้าแก่ปู้ ช่วยข้าด้วย!” เสียงร้องกรีดหัวใจดังขึ้น

ซูฉีกำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ร้านด้วยสภาพดูไม่ได้ ร่างกายของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด แขนหักหนึ่งข้าง ชายวัยกลางคนกำลังวิ่งสุดชีวิตมาหาพวกเขา เลือดไหลนองเป็นทาง แขนที่เหลืออีกข้างกอดหม้อน้ำแกงร้อนจี๋เอาไว้แน่น

ตุ้บ! ซูฉีมาถึงปากทางเข้าร้านปู้ฟางด้วยสภาพเหนื่อยใกล้ตาย เขาคุกเข่าลงกับพื้น เลือดไหลทะลักออกจากปาก แขนเองก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ร่างของเขาสั่นเทิ้มทั้งที่ยังกอดหม้อดินเผาเอาไว้แน่น ซูฉีไม่ได้ทำน้ำแกงหกจากหม้อเลยแม้แต่หยดเดียว

โอวหยางเสี่ยวอี้หวาดกลัวกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก นางจึงวิ่งมาซ่อนหลังปู้ฟางแล้วเยี่ยมหน้าออกมาแอบดู

ปู้ฟางขมวดคิ้ว มองไปทางร่างสัตว์ประหลาดยักษ์ที่ค่อยๆ มุ่งหน้ามาทางร้านของเขา จากนั้นก็หันไปมองซูฉีที่เลือดโชกไปทั้งตัว โทสะระเบิดขึ้นในใจอย่างไม่มีเหตุผล

“กล้ามาทำร้ายลูกค้าข้ารึ! นี่มันตั้งใจท้าทายร้านเล็กๆ ของฟางฟางชัดๆ!” ปู้ฟางพูดเสียงเย็นเยียบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“เถ้า… เถ้าแก่ปู้… น้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงนี่… จะถูกทำลายไม่ได้โดยเด็ดขาด!” ซูฉีตัวสั่นเทาขณะส่งหม้อน้ำแกงร้อนจี๋ให้ปู้ฟาง ดวงตาอ้อนวอนอับจนหนทาง

พลังปราณสีดำไหลทะลักออกจากร่างซูฉี เข้าปกคลุมผิวกายของเขาเอาไว้จนมิด ควันสีดำซึมออกจากทุกรูบนใบหน้า

ปู้ฟางจ้องไปที่ซูฉีไม่วางตา ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอ้อนวอนในดวงตาของชายตรงหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปรับหม้อน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงที่อีกฝ่ายส่งให้

ทว่า… หอกสีดำก็พุ่งเข้าใส่ทั้งสองด้วยความเร็วเกือบเท่าเสียง กระแทกเข้าใส่หม้อทันที

หม้อดินเผาแตกดังเพล้ง อึดใจนั้นราวกับว่าเวลาได้หยุดเดินลงแล้วสำหรับปู้ฟางและซูฉี

หอกที่พุ่งเข้าทำลายหม้อดินเผาแหวกอากาศตรงเข้าใส่เจ้าดำที่กำลังนอนหลับอุตุ แล้วกระแทกเข้าที่หัวของมันทันที

เสียงปะทะดังไปทั่วบริเวณ… หอกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะที่เจ้าดำค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างง่วงงุน

“ไอ้เวรเอ๊ย… ใครมันกล้าเอาเข็มเย็บผ้ามาท้าทายท่านสุนัขผู้นี้กัน! แสดงตัวเดี๋ยวนี้!”

เจ้าดำมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง สุดท้ายดวงตาก็จับจ้องไปที่ร่างสัตว์ประหลาดสีดำในระยะไกล

ซูฉีมองหม้อดินเผาที่แตกลงต่อหน้าต่อตาด้วยดวงตาว่างเปล่า น้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงหกกระจายไปทั่วบริเวณ เนื้อไก่สีใสเหมือนวุ้นกลิ้งอยู่บนพื้น…

เขาถอนหายใจยาว หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง ควันสีดำทะลักออกจากทุกช่องบนใบหน้า… วิญญาณทั้งดวงถูกเผาไหม้กลายเป็นจุณ

“เจ้าคงเป็นเจ้าของร้านลึกลับนี้สินะ…” ร่างในชุดคลุมสีดำเดินเข้ามาหา เบื้องหลังของชายผู้นี้คือร่างอสูรเจ้าอเวจีที่ถูกควบคุมโดยวงแหวนปราณยักษ์

“เจ้าคือคนที่ฆ่าเขาแล้วยังทำลายน้ำแกงด้วยเช่นนั้นรึ” ปู้ฟางหันหน้าไปมองด้วยสายตาเย็นชา เขาจับจ้องชายในชุดดำตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เปลวไฟวิญญาณในดวงตาหุนเชียนอวิ่นเต้นเบาๆ ขณะที่เขาหัวเราะในลำคอ ชายชราพูดด้วยเสียงหยาบกระด้าง “เขาว่ากันว่าร้านของเจ้าลึกลับมาก แม้แต่ขั้นนักพรตยุทธการอย่างเซียวเหมิงยังถูกไล่ออกมาได้ ความแข็งแกร่งของวงแหวนปราณเจ้าอเวจีกระชากวิญญาณนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าขั้นนักพรตยุทธการแม้แต่น้อย ข้าอยากทดสอบยิ่งนักว่าร้านของเจ้าจะแน่ขนาดไหน… และต้องการเคารพดวงวิญญาณของลูกน้องข้าสองคนที่ตายไปด้วย”

ปู้ฟางขมวดคิ้ว เขาเหลือบตามองหุนเชียนอวิ่นแล้วพูดเสียงเย็น “ข้าถามว่าเจ้าใช่คนที่ฆ่าเขา และทำลายน้ำแกงหรือไม่… ตอบแค่ใช่หรือไม่ใช่ก็พอ!”

“เจ้าอยากมีเรื่องมากสินะ! กล้าดีอย่างไรมาทำตัวโอหังต่อหน้าวงแหวนปราณเจ้าอเวจีกระชากวิญญาณของข้า! ต่อให้ข้าฆ่าเขาแล้วมันอย่างไรเล่า ข้าทำลายน้ำแกงแล้วมันจะทำไม” หุนเชียนอวิ่นเองก็โกรธเช่นกัน พลังปราณเที่ยงแท้ไหลบ่าออกจากร่าง อสูรกายข้างหลังเริ่มมีรูปร่างชัดเจนยิ่งขึ้น

เจ้าดำค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้นอย่างเกียจคร้าน มันมองไปที่ร่างขมุกขมัวของเจ้าอเวจีแล้วกลอกตา

“ต่อให้เจ้าแห่งอเวจีแหกนรกออกมาจริง ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ก็ไม่กลัว ไอ้ขี้แพ้อย่างเจ้ามาเล่นละครลิงอะไรกันอยู่ได้” เสียงอ่อนโยนฟังไพเราะของชายหนุ่มดังออกจากปากเจ้าดำ สะท้อนก้องไปในตรอก

…………………..