ณ ท้องพระโรงวังหลวง
องค์ชายรัชทายาทเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบในชุดคลุมหรูหรา ภายในท้องพระโรง จักรพรรดิกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างอ่อนแรง มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยเป็นพักๆ เสียงไอเบาๆ ลอยมาเข้าหูเรื่อยๆ
เมื่อจักรพรรดิเห็นองค์ชายรัชทายาทเดินเข้าท้องพระโรงมา เขาก็ยิ้มทันที ชายชราพูดอย่างอ่อนโยน “เฉิงอัน เจ้าก็มาด้วยรึ ข้าได้ยินจากน้องสองของเจ้าว่าเจ้าไปที่ร้านเถ้าแก่ปู้เพื่อเตรียมอาหารโอสถทิพย์ให้ข้ารึ”
เมื่อจีเฉิงอันได้ยินสิ่งที่บิดาพูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่ายังโค้งคำนับอย่างนอบน้อมให้จักพรรดิบนบัลลังก์ “ท่านพ่อ ข้าเป็นห่วงสุขภาพของท่านมาก ข้าได้ยินว่าเถ้าแก่ปู้ปรุงอาหารโอสถทิพย์ที่ยืดอายุผู้คนได้ จึงส่งคนไปหาไก่โลหิตปักษาเพลิงมาจากดินแดนป่ารกชัฏ เพื่อให้เถ้าแก่ปู้นำไปทำอาหารโอสถทิพย์ให้ท่านเสวย”
อวี่อ๋องจีเฉิงอวี่ก็อยู่ในท้องพระโรงเช่นกัน เขายืนอยู่ในระยะไกลพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า มององค์ชายรัชทายาทด้วยความสนอกสนใจ ชายหนุ่มตั้งใจมาที่วังหลวงเพื่อบอกข่าวนี้ให้บิดารู้โดยเฉพาะ
จีเฉิงอันตั้งใจว่าจะไม่บอกผู้เป็นบิดา เนื่องจากหากอีกฝ่ายรู้ตอนที่เขานำอาหารโอสถทิพย์ซึ่งยืดอายุได้มามอบให้ จะดูน่าประทับใจมากกว่า ทว่า… จีเฉิงอวี่กลับรีบชิงเอาข่าวมาบอกบิดาเสียก่อน จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าเดิมแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น… สิ่งสำคัญที่สุดคือ ในเมื่อบิดารู้แล้วว่ามีอาหารโอสถทิพย์ที่ยืดอายุได้อยู่ ความหวังก็จะเบ่งบานขึ้นในใจอีกฝ่าย หากอาหารนั้นถูกทำลาย ความหวังนั้นก็จะถูกทำลายจนป่นปี้ด้วยเช่นกัน ความแตกต่างระหว่างความคาดหวังและผลที่ออกมาจริงๆ นั้น จะทำให้ทัศนคติของจักรพรรดิที่มีต่อองค์ชายรัชทายาทเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
ดวงตาของอวี่อ๋องส่องประกายเจิดจรัส เขาหันไปมององค์ชายรัชทายาทพร้อมรอยยิ้มกว้าง
องค์ชายรัชทายาทก่นด่าอวี่อ๋องในใจนับครั้งไม่ถ้วน ทำไมเขาจะไม่เข้าใจว่าอวี่อ๋องคิดอะไรอยู่ ที่ตัวเขาพยายามปิดบังเรื่องนี้จากการรับรู้ของจักรพรรดิ เป็นเพราะต้องการทำให้อีกฝ่ายประทับใจอย่างถึงที่สุด แต่การยื่นมือเข้ามาสอดของอวี่อ๋อง ทำให้ความพยายามที่ผ่านมาของเขาลดประสิทธิภาพลงมาก
“เจ้ามีจิตใจโอบอ้อมอารีมาก แต่ข้ารู้อาการป่วยของตัวเองดี กระนั้นตัวข้าก็ขอรับความหวังดีของเจ้าเอาไว้” จักรพรรดิยิ้มอ่อนโยน ความกรุณาที่หาได้ยากยิ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้า
องค์ชายรัชทายาททำได้เพียงฝืนยิ้มออกมาเท่านั้น สิ่งเดียวที่ทำได้คือหวังว่าซูฉีจะกลับวังมาอย่างปลอดภัยพร้อมอาหารโอสถทิพย์ในมือ
แต่ตัวเขาเองก็รู้ว่าอวี่อ๋องจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบดีแน่นอน
…
ปู้ฟางขมวดคิ้วเล็กน้อย มือแปะอยู่บนฝาหม้อดินเผา พลังปราณเที่ยงแท้ไหลออกจากร่างเข้าสู่หม้อดิน เข้ากระตุ้นการทำงานของวัตถุดิบภายในหม้อ
ชายหนุ่มยังไม่ค่อยชินกับการทำอาหารด้วยพลังปราณเที่ยงแท้มากนัก จึงไม่กล้าประมาทแม้แต่เสี้ยวลมหายใจเดียว เขากลัวว่าตนเองจะทำพลาดจนทำให้อาหารจานนี้เสียหาย
เม็ดเหงื่อเกาะหน้าผากพราว แต่ปู้ฟางก็ไม่สนใจ เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การทำอาหารโดยใช้พลังปราณ สุดท้ายใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเล็กน้อย มุมปากยิ้มบาง
หลังจากที่ปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ให้สลายไป ชายหนุ่มก็ถอนมือจากฝาหม้อแล้วหายใจออกอย่างหนักหน่วง เขายกแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นดื่มอึกใหญ่
น้ำนั้นทั้งเย็น สดชื่น และหวานหอม เป็นน้ำจากบ่อน้ำบนยอดเขาสูงที่ระบบจัดหามาให้ มันเต็มไปด้วยพลังปราณที่เข้าหล่อเลี้ยงร่างกาย
เขาเปิดฝาหม้อออกดู ไก่โลหิตปักษาเพลิงนอนนิ่งอยู่ในหม้อดินเผา น้ำแกงไก่เดือดปุด เนื้อไก่สีใสเหมือนวุ้นกระเพื่อมตามแรงเดือดนั้น สีของน้ำแกงไก่เป็นสีเหลืองอำพัน แต่ก็ไม่ได้สว่างเจิดจ้าเหมือนจานที่ปู้ฟางทำให้เซียวเยียนอวี่ อันเนื่องมาจากความแตกต่างของคุณภาพวัตถุดิบนั่นเอง แล้วตัวชายหนุ่มเองก็ทำอะไรไม่ได้เสียด้วย
สรรพคุณของสะระแหน่และสมุนไพรอื่นๆ แทรกซึมเข้าไปในเนื้อไก่เป็นอย่างดี น้ำแกงส่งกลิ่นหอมลอยล่องขึ้นจากหม้อดิน
น้ำแกงไก่โลหิตปักษาเพลิงเสร็จเรียบร้อย
หลังจากที่ปิดฝาหม้อกลับดังเดิม ปู้ฟางก็ยืดเหยียดร่างกายและลำคอที่เมื่อยล้า ขณะเดินไปที่ทางเข้าร้าน เขายกไม้กระดานที่ปิดประตูออก ลมหนาวพุ่งแทรกเข้าปะทะใบหน้า ชายหนุ่มที่เหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งคืนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย ความเหน็ดเหนื่อยหายไปเสี้ยวหนึ่ง
ปู้ฟางเปิดร้านตามปกติ เขาวางซี่โครงเปรี้ยวหวานลงตรงหน้าเจ้าดำแล้วลูบขนสะอาดบริสุทธิ์ของมัน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน คว้าเก้าอี้มาวางจากนั้นก็ขึ้นไปนอนขดเพราะอยากพักสักครู่
แต่เขาก็ได้พักไม่นาน เมื่อเจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนมาถึงร้าน วันอันแสนวุ่นวายของปู้ฟางก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
บนถนนสายหลักของนครหลวง ซูฉีกำลังมุ่งหน้าไปยังร้านของปู้ฟางพร้อมด้วยกลุ่มผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่ง พลังปราณที่ไหลออกจากร่างของคนกลุ่มนี้แข็งแกร่งเป็นอันมาก จนทำให้อากาศรอบด้านพลันบิดเบี้ยว
ซูฉีไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยเรื่องภารกิจนำน้ำแกงกลับพระราชวัง องค์ชายรัชทายาทไม่ค่อยพึงพอใจในตัวเขาแล้ว หากเขาทำพลาดอีก อาชีพการงานคงจบเห่เป็นแน่
ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการมาด้วยห้าคนเพื่อส่งน้ำแกง เผื่อว่าจะเกิดเหตุอาเพศขึ้น แค่ผู้ฝึกตนระดับห้าห้าคนก็จัดว่าเป็นแนวหน้าของนครหลวงแล้วในด้านการยุทธ์
ทางเข้าตรอกสงบเงียบ ซูฉีก้าวเท้าเข้าไปในตรอกแล้วก็ต้องขมวดคิ้วทันที เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณเย็นเยียบที่ลอยขึ้นมาจากพื้นใต้ฝ่าเท้า
หรือจะแค่คิดไปเอง ซูฉีก้มลงมองพื้น พื้นยังคงเป็นพื้นหินเก่าดังเดิม ระหว่างหินแต่ละแผ่นยังมีตะไคร่ขึ้นแทรกอยู่ด้วยซ้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน
“ข้าคงคิดไปเองกระมัง” ชายวัยกลางคนคิดพร้อมส่ายหน้าและหัวเราะฝืด จากนั้นก็นำกลุ่มผู้ฝึกตนเข้าไปที่ร้านของปู้ฟาง
ในร้านมีลูกค้ากำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ประปราย ทุกคนล้วนเป็นผู้มั่งคั่งมีหน้ามีตาที่อาศัยอยู่ในนครหลวง ต่างร่ำรวยเงินทองไม่ต่างจากเจ้าอ้วนจิน
“มาแล้วรึ” ปู้ฟางพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์เมื่อเห็นซูฉีเดินเข้าร้านมา
“รอสักครู่ นายท่านตัวเหม็นยังทำอาหารอยู่” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดด้วยน้ำเสียงน่ารัก นางบอกให้ซูฉีรอก่อน
ซูฉีรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าอย่างสำรวม
ไม่นานนักชายหนุ่มเจ้าของร้านก็ทำอาหารจานสุดท้ายเสร็จและให้เสี่ยวอี้นำไปให้ลูกค้า จากนั้นเขาก็หยิบหม้อดินเผาออกมาจากครัวด้วยตนเอง หม้อดินเผานั้นมีไอร้อนลอยออกมาพร้อมด้วยกลิ่นหอมที่กระจายไปทั่วร้าน
ดวงตาของซูฉีเป็นประกายขึ้นขณะคิด “นี่เป็นอาหารโอสถทิพย์ของเถ้าแก่ปู้อย่างแน่นอน! ไม่ผิดแน่ๆ!”
เขารับหม้อดินไปจากปู้ฟางอย่างระมัดระวัง หลังจากที่กล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าจริงจังแล้ว ชายวัยกลางคนก็บอกลาปู้ฟางแล้วออกจากร้านไป ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการห้าคนเดินตามเขาไปด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน
นับตั้งแต่ชั่วขณะที่ซูฉีรับอาหารโอสถทิพย์มา หัวใจของเขาก็บีบรัด จิตใจกระวนกระวายและตื่นตัวเต็มที่
พลังปราณเที่ยงแท้ปริมาณมหาศาลไหลบ่าออกจากร่างผู้ฝึกตนที่รายล้อมเขา เพื่อเป็นเกราะกำบังให้ซูฉี
เจ้าดำที่นอนอยู่ที่ปากทางเข้าเหลือบตามองกลุ่มคนนั้นอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็พ่นลมเยาะแล้วนอนต่อ
ทันใดนั้นลมเย็นกรรโชกแรงก็กลับหนาวยิ่งกว่าเดิมจนจับขั้วหัวใจ ลมนั้นพัดมาจากปากทางเข้าตรอก
ซูฉีและคนอื่นๆ ที่กำลังนำอาหารโอสถทิพย์ออกไปเดินมาถึงทางเข้าตรอกพอดี ทันใดนั้นทุกคนก็พลันขนลุกซู่ขึ้นพร้อมกัน ดวงตาเบิกกว้าง ปล่อยจิตสัมผัสของตนออกสำรวจบริเวณโดยรอบ
“ใครกัน! จงแสดงตัวเดี๋ยวนี้!!”
ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการคนหนึ่งตะโกนพร้อมทั้งรวบรวมพลังปราณเที่ยงแท้ใส่กำปั้น จากนั้นก็ส่งหมัดออกไปยังทิศหนึ่ง
ผ่าง
ทันทีที่หมัดซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังปราณเที่ยงแท้พุ่งเข้าชนอากาศธาตุ รูม่านตาของผู้ฝึกตนคนนั้นก็หดแคบ เขาสังเกตเห็นว่าพื้นตรอกทอแสงสีดำสว่างเจิดจ้า
วงกลมสีดำสองวงพร้อมด้วยสัญลักษณ์มากมายปรากฏขึ้นบนหินปูพื้นแผ่นหนึ่ง วงกลมสองวงนั้นหมุนทวนเข็มนาฬิกา
“บ้าเอ๊ย! นี่มันวงแหวนปราณสังหารของสำนักวิญญาณ วงแหวนปราณเจ้าอเวจีกระชากวิญญาณนี่!”
สีหน้าของซูฉีซีดลงทันที พลังชีวิตในดวงตาแทบเหือดแห้ง
ทันใดนั้นแสงสีดำก็ลอยขึ้นจากพื้นเข้าโอบล้อมคนทั้งกลุ่มเอาไว้ ราวกับจะดึงไปยังอีกโลกหนึ่งก็ไม่ปาน
เสียงฝีเท้าดังขึ้น ตามมาด้วยร่างหลายร่างในชุดคลุมสีดำที่ปรากฏตัวขึ้นล้อมตรอกเอาไว้ พลังปราณที่ไหลออกจากร่างเหล่านี้ทรงพลังเป็นอันมาก โดยเฉพาะพลังจากชายชราร่างคดที่เดินนำซึ่งดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
เปลวไฟวิญญาณเต้นอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง หุนเชียนอวิ่นอ้าปากออกคำสั่ง “เหยื่อเข้ามาติดกับวงแหวนปราณแล้ว… เริ่มภารกิจกำจัดให้สิ้นซากได้”
………………