ปู้ฟางวางกรงเหล็กที่มีไก่อยู่ข้างในลงบนพื้นดังแกร๊ง จากนั้นก็ยืดเส้นยืดสายแล้วหันไปมองไก่โลหิตปักษาเพลิงที่ยืนนิ่งอยู่ในกรงด้วยสายตาเนือยๆ
“ระบบ หากคุณภาพของไก่โลหิตปักษาเพลิงตัวนี้แย่กว่าเดิมเล็กน้อย จะมีผลต่อคุณภาพของอาหารโอสถทิพย์ไหม” ปู้ฟางถามอย่างงุนงง
“หากคุณภาพของวัตถุดิบแย่กว่า อาหารโอสถทิพย์ที่ทำออกมาก็ต้องแย่กว่าด้วยเช่นกัน เป็นเรื่องที่ควรคิดได้ด้วยตนเอง” ระบบตอบเสียงนิ่ง ปู้ฟางสะอึกทันทีที่ได้ยิน
เขาหันไปมองไก่โลหิตปักษาเพลิงอีกครั้ง ส่วนไก่เองก็หันมาโดยบังเอิญเช่นกัน ดวงตารูปเดือยจับจ้องมาที่ปู้ฟาง
“แต่วัตถุดิบนี้องค์ชายรัชทายาทเป็นคนหามาให้เอง หากผลที่ได้ไม่ดีเท่าเดิมก็ไม่ใช่ความผิดข้าเสียหน่อย” ปู้ฟางคิดอย่างไร้อารมณ์ ความคิดแจ่มชัดขึ้นทันที
หลังจากที่ปิดร้านเรียบร้อย เขาก็ไม่ได้เริ่มทำอาหารทันที แต่นั่งพักอยู่ครู่หนึ่งแล้วเรียกหน้าต่างระบบออกมาอ่านดู
นายท่าน: ปู้ฟาง
เพศ: ชาย
อายุ: 20 ปี
ระดับพลังปราณเที่ยงแท้: ระดับสาม (ท่านสามารถรวมพลังปราณเที่ยงแท้ไว้ภายนอกร่างได้แล้ว ในฐานะพ่อครัวเทพในโลกแห่งจินตนาการ ท่านจะต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการประกอบอาหาร ตั้งใจฝึกฝนเข้าละ พ่อหนุ่ม)
พรสวรรค์การทำอาหาร: ยังไม่เปิดใช้งาน
ทักษะ: ทักษะการใช้มีดฝนดาวตกระดับหนึ่ง (80/100)
อุปกรณ์: ชิ้นส่วนของชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ (3/4)
คะแนนรวมการเป็นพ่อครัวเทพ: พ่อครัวฝึกหัด (ในที่สุดท่านก็สามารถใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหารได้ จงฝึกทักษะการใช้มีดต่อไป แล้วเส้นทางการเป็นพ่อครัวเทพจะเปิดให้ท่านก้าวเดินสักวันหนึ่ง ตั้งใจฝึกฝนเข้าละพ่อหนุ่ม)
ผลประกอบการสะสมตอนนี้อยู่ที่สามพันหกร้อยผลึก สัดส่วนการแปลงผลึกเป็นพลังปราณเที่ยงแท้: 900/1000
ระดับของระบบ: สามดาว (สัดส่วนการแปลงหน่วยอยู่ที่ร้อยละยี่สิบห้า)
ขณะที่กำลังอ่านหน้าต่างระบบอยู่นั้น สีหน้าของปู้ฟางไม่ได้เปลี่ยนแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับเริ่มตื่นเต้นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เขาสะสมผลึกได้สามพันหกร้อยผลึกแล้ว ต้องการอีกเพียงสี่ร้อยผลึกเท่านั้นก็จะเพิ่มระดับของระบบและขั้นปราณของตนเองได้
สี่ร้อยผลึกคือยอดขายปกติในหนึ่งวันของเขาพอดิบพอดี
“ดูเหมือนว่าหลังจากเปิดร้านพรุ่งนี้ข้าก็จะบรรลุเสียที การบรรลุปราณระดับสี่ขั้นจิตยุทธการนั้นจะมีรางวัลพิเศษอะไรให้ไหมนะ แถมข้ายังจะสะสมชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพได้ครบอีก” ปู้ฟางพึมพำ
ชายหนุ่มพักผ่อนสักพักก็ลุกขึ้นเดินเข้าครัวไป การทำน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงนั้นต้องใช้เวลานาน ทั้งยังต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหารอีกด้วย ตัวเขาจึงไม่กล้าประมาท
ปู้ฟางเปิดฝากรงเหล็กออกแล้วคว้าไก่โลหิตปักษาเพลิงเอาไว้ทันที แม้พลังปราณของมันจะถูกระบบกดไว้ แต่การต่อกรกับอสูรเวทระดับห้าที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
แต่ตัวเขาเองก็เป็นถึงพ่อครัวที่ผ่านมาหลายสนาม การจัดการวัตถุดิบนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็เตรียมไก่โลหิตปักษาเพลิงเสร็จ
หลังจากที่หยิบสมุนไพรสะระแหน่สวรรค์ออกมาจากกล่องลายวิจิตร และนำสมุนไพรอันมีฤทธิ์เป็นยาที่จำเป็นต้องใช้ออกมาจากถุงหนังสัตว์ เขาก็เริ่มทำอาหารโอสถทิพย์ น้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิง
…
อวี่อ๋องอารมณ์ดีไม่น้อยขณะเดินกลับตำหนักของตน อาจเป็นเพราะเขาได้ลิ้มรสชาติอาหารแสนอร่อยและสุราเลิศรสก็เป็นได้ จีเฉิงอวี่รู้สึกราวกับตนเองกำลังลอยอยู่บนอากาศขณะก้าวเดิน
“ผิดคาดมากที่อาหารร้านนั้นอร่อยถึงเพียงนี้ สุราหัวใจหยกเยือกแข็งนั้นเยี่ยมยอดจนลืมไม่ลงเลยจริงๆ” ขณะที่อวี่อ๋องนึกย้อนไปถึงรสชาติของสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากตนเอง แววตาเต็มไปด้วยความหลงใหล
จัดเป็นอีกหนึ่งคนที่ตกหลุมรักอาหารที่ปู้ฟางทำ
อวี่อ๋องรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที หากเขาไปที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางเร็วกว่านี้ คงมีโอกาสได้กินอาหารอร่อยเช่นนี้ไปตั้งนานแล้ว
ตอนที่อวี่อ๋องกำลังคิดถึงอาหารรสมือปู้ฟางอยู่นั้น หัวหน้าผู้อาวุโสสำนักวิญญาณ หุนเชียนอวิ่นก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาพร้อมผู้ใต้บังคับบัญชา ทุกคนสวมชุดคลุมสีดำ ใบหน้าดูชั่วร้ายน่าหวาดกลัว
แม้ดวงตาของอวี่อ๋องจะส่องประกายรังเกียจชั่วครู่ แต่เขายังคงมีรอยยิ้มอาบใบหน้าขณะมองกลุ่มบุคคลตรงหน้า
“ท่านได้ผลลัพธ์อะไรหรือไม่จากการไปเยี่ยมร้านลึกลับนั่น” เสียงแหบห้าวของหุนเชียนอวิ่นซึ่งฟังดูเหมือนกรวดหยาบที่ขูดขีดกันดังขึ้น ทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินรู้สึกขนพองสยองเกล้า
“พี่ชายข้าได้ไก่โลหิตปักษาเพลิงมาเรียบร้อยแล้ว เขานำไก่ไปให้ร้านนั้นพร้อมสมุนไพรยามากมาย และเถ้าแก่ร้านก็กำลังทำอาหารโอสถทิพย์อยู่ แต่ว่า… เขาจะทำเสร็จพรุ่งนี้” อวี่อ๋องพูดเสียงเรียบ
“อ้อ จะเสร็จพรุ่งนี้รึ” หุนเชียนอวิ่นหรี่ตา เปลวไฟวิญญาณเต้นตุบอยู่ในดวงตาขณะครุ่นคิด
อวี่อ๋องพยักหน้า “อาหารโอสถทิพย์ไม่ใช่อาหารธรรมดาทั่วไป แม้แต่เจ้าของร้านลึกลับนั่นยังต้องใช้เวลาในการทำ แต่นี่นับเป็นข่าวดีสำหรับพวกเรา”
“ท่านคิดจะส่งพวกเราไปทำลายน้ำแกงนั่นพรุ่งนี้รึ” หุนเชียนอวิ่นถามอย่างงุนงง
“ใช่แล้ว ต้องทำลายเสีย ท่านพ่อนั้นทั้งแก่และเปราะบาง ทั้งยังทุกข์ทรมานจากโรคที่หาสาเหตุไม่ได้มากมาย การพยายามยืดอายุท่านรังแต่จะทำให้เจ็บปวดทรมานก็เท่านั้น ในฐานะบุตรชาย ข้าไม่ต้องการให้บิดาต้องทนทุกข์…” อวี่อ๋องพูดเสียงเรียบ จากนั้นก็หันไปมองหุนเชียนอวิ่นแล้วเอ่ย “จงนำกำลังพลของเจ้าและผู้ฝึกตนจากตำหนักข้า ไปวางแผนซุ่มโจมตีที่ทางเข้าตรอกพรุ่งนี้เสีย จำไว้ว่าถึงอย่างไรก็ต้องทำลายน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงนั่นให้จงได้
“หากทำไม่สำเร็จในคราวนี้… เจ้าและคนของเจ้าก็เชิญไสหัวไปได้เลย”
หุนเชียนอวิ่นยืนสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ในระยะไกล เมื่อได้ยินคำพูดของอวี่อ๋อง เปลวไฟวิญญาณในดวงตาก็สั่นระริก เขาผสานมือทำความเคารพแล้วเดินออกจากห้องไป
อวี่อ๋องมองหุนเชียนอวิ่นเดินจากไป มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่จุดหนึ่งในระยะไกลแล้วตะโกนออกมา “เตรียมม้าให้ข้า ข้าจะไปวังหลวง”
…
ณ วังขององค์ชายรัชทายาท ที่ด้านซ้ายของประตูมายาสวรรค์
องค์ชายรัชทายาทจีเฉิงอันมีสีหน้าเศร้าสร้อย เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ยกสูง ก้มหน้าลงมองซูฉีที่อยู่ด้านล่าง มุมปากกระตุกแสดงให้เห็นว่ากำลังสะกดความโกรธอยู่
ซูฉีนั้นทั้งหวาดกลัวและรู้สึกสิ้นไร้ไม้ตอก เขารู้ดีว่าองค์ชายรัชทายาทเริ่มสงสัยในตัวเขา ตั้งแต่ไปเจออวี่อ๋องในร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
“ซูฉี อธิบายให้ข้าฟังทีว่าเหตุใดอวี่อ๋องจึงไปปรากฏตัวที่ร้านนั่น” องค์ชายรัชทายาทถาม
“ข้า… ไม่ทราบพะย่ะค่ะ” ใบหน้าของซูฉีชะงักค้าง
“หลังจากที่ข้าบอกเจ้าไปเมื่อวานว่าการปรากฏตัวของข้าจะต้องเป็นความลับ เราก็เจออวี่อ๋องพอดิบพอดีตอนเข้าไปในร้าน… เจ้าจะบอกข้าว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเช่นนั้นรึ” องค์ชายรัชทายาทหัวเราะในลำคอ
“องค์ชาย… สงสัยข้าหรือพะย่ะค่ะ” ซูฉีเงยหน้าขึ้นมององค์ชายรัชทายาทด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าติดตามรับใช้องค์ชายมาหลายต่อหลายปี องค์ชายไม่ทราบหรือว่าวิธีการทำงานของข้าเป็นอย่างไร”
น้ำเสียงของซูฉีเจือไปด้วยความขุ่นเคืองและน้อยเนื้อต่ำใจ
จีเฉิงอันชะงักทันที เมื่อเขาเห็นสีหน้าละห้อยของซูฉี ใบหน้าเย็นชาก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เขาเชื่อว่าซูฉีจะไม่มีวันหักหลังตนอย่างแน่นอน
ที่ชายหนุ่มสงสัยซูฉีขึ้นมาเพราะโกรธเคืองใบหน้าที่อวี่อ๋องมองมายังตนก่อนจะออกจากร้านไปก็เท่านั้น เหตุใดองค์ชายรัชทายาทอย่างเขาถึงต้องถูกคนที่มียศต่ำกว่าข่มเหงรังแกด้วย
“เข้าใจแล้ว ข้าโกรธไปหน่อยก็เท่านั้น ข้ารู้อยู่เต็มอกว่าเจ้านั้นจงรักภักดียิ่งกว่าใคร จงไปเตรียมผู้ฝึกตนให้พร้อม ในเมื่ออวี่อ๋องรู้แล้วว่าเราขอให้เถ้าแก่ปู้ทำน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิง การไปรับน้ำแกงพรุ่งนี้คงไม่ปลอดภัยแน่ จงไปรวบรวมผู้ฝึกตนที่มีปราณอย่างน้อยระดับห้าขั้นราชันยุทธการมา”
“รับบัญชาพะย่ะค่ะองค์ชาย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ซูฉีพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วทำความเคารพก่อนจากไป
แต่หลังจากออกไปได้สักพัก ซูฉีที่พึ่งขอตัวก็รีบวิ่งกลับมาด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ
“องค์ชายพะย่ะค่ะ ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่าอวี่อ๋อง… เข้าไปที่วังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าท่านจักรพรรดิพะย่ะค่ะ”
องค์ชายรัชทายาทเลิกคิ้วขึ้น ความเย็นชาพาดผ่านใบหน้า หลังจากที่สบถเงียบๆ อยู่คนเดียว เขาก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งหน้าไปที่ท้องพระโรงเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิเช่นกัน
…
เมื่อรัตติกาลมาเยือน จันทร์เสี้ยวสองดวงที่ลอยค้างอยู่กลางนภาก็ถูกเมฆทะมึนเข้าบดบัง
ร่างหลายร่างปรากฏขึ้นในตรอกที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางตั้งอยู่ ทุกคนใส่ชุดสีดำจึงทำให้เคลื่อนไหวในยามค่ำคืนได้อย่างไม่มีใครสังเกตเห็น พลังปราณเดือดระอุไหลออกจากร่าง
“ภารกิจวันพรุ่งนี้จะล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด… เราต้องติดตั้งวงแหวนปราณให้เสร็จภายในวันนี้”
ร่างคดปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนในชุดดำเหล่านั้น เปลวไฟวิญญาณพัดกระพืออยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงแหบกร้านดังสะท้อนในอากาศ
………………….