ทุกคนต่างพากันพูดยกย่องกู้ชูหน่วน จักรพรรดิเยี่ยยิ่งฟังก็ยิ่งไม่สบอารมณ์และไม่พอพระทัยมากขึ้น จึงรีบสั่งให้คนไปดูบทกลอนกวีและการประดิษฐ์ตัวอักษรของนักปราญย์คนอื่น

คนใช้จึงรีบนำบทกวีของฉางเจินและฉางผิงมาแสดงให้ดู พวกเขาทั้งสองคน คนหนึ่งประพันธ์บทกวีแปดบทและอีกคนหนึ่งประพันธ์บทกวีเก้าบท ถึงแม้ว่าบทกวีที่ประพันธ์ออกมานั้นจะดี แต่เมื่อเทียบกับกู้ชูหน่วนแล้ว พวกเขายังอ่อนด้อยกว่ามาก

เจ๋ออ๋องกลับยิ่งรู้สึกแย่ ก็แค่บทกวีห้าบทเท่านั้น บทกวีของเขาไม่ดีและการประดิษฐ์ตัวอักษรของเขาก็ยิ่งแย่ไปอีก ไม่เพียงเท่านั้นลายมือของเขาก็เละเทะและดูไม่เอาไหนเอาเสียเลย ดูเหมือนว่าบทกวีเหล่านี้เขียนขึ้นโดยเขาภายใต้ความวิตกกังวลอย่างมาก

กู้ชูหน่วนพูดเยาะเย้ย “ท่านเจ๋ออ๋อง ท่านมีความสามารถเพียงเท่านี้ แต่กลับกล้าเดิมพันด้วยจวนของท่านและเรือนคฤหาสน์อีกหกแห่งให้กับข้า ฮึฮึ ช่างใจกล้ายิ่งนัก ข้าช่างศรัทธาในตัวท่านเหลือเกิน”

ท่านเจ๋ออ๋องรู้สึกอึดอัดคับแค้นใจ เลือดในลำคอยังคงไหลไม่หยุดอย่างต่อเนื่อง แต่กลับถูกเขาเก็บกลั้นและฝืนกลืนกลับเข้าไป

ระดับความสามารถของเขาไม่ได้มีเพียงเท่านี้

แต่เป็นเพราะเขาถูกผึ้งต่อยและได้รับบาดเจ็บไปทั่วทั้งตัว จึงทำให้เขารู้สึกคันและเจ็บปวดไปหมด

อีกทั้ง…

เขารู้สึกตกตะลึงในความสามารถของกู้ชูหน่วน ฉะนั้นเมื่อยิ่งรีบร้อนก็ยิ่งไม่มีแรงบันดาลใจ

แต่คำพูดเหล่านี้ เขาไม่มีทางพูดออกมาอย่างแน่นอน

“อันดับหนึ่งไม่ได้เป็นของเจ้า เจ้าจะภูมิใจอะไร”

“ต่อให้อันดับหนึ่งไม่ใช่ของข้า เช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นของท่านไปได้อย่างแน่นอน หากข้าทายไม่ผิด การแข่งขันบทกวีและการประดิษฐ์ตัวอักษรในรอบนี้ ท่านจะต้องได้ลำดับสุดท้ายอย่างแน่นอน”

“เยี่ยเฟิงแต่งบทกวีได้สี่สิบสองบท”

เมื่อบทกวีของเยี่ยเฟิงถูกแขวนขึ้นมา ทุกคนต่างพากันอ้าปากค้าง

ในแต่ละแถวของบทกวีนั้น แต่ละบทล้วนช่างเลิศเลอ รวมไปถึงการประดิษฐ์ตัวอักษรก็ยิ่งยอดเยี่ยม

ขนาดกู้ชูหน่วนก็รู้สึกทึ่งไปด้วย

การประดิษฐ์ตัวอักษรของเยี่ยเฟิงนั้นเป็นอิสระสวยงามและไร้ข้อจำกัด เมื่อเทียบกันแล้วไม่ถือว่าด้อยไปกว่านางเลย

ยิ่งไปกว่านั้น บทกวีนิพนธ์และการประดิษฐ์ตัวอักษรของเขามีความตรงไปตรงมาและดูน่าเกรงขาม ปราศจากข้อกังขาใดๆ และในแวบแรกที่ได้เห็นก็รู้ว่าเขานั้นเป็นคนใจกว้าง

ทุกคนต่างพากันพูดว่าลายมือสื่อตัวตน ลายมือของเยี่ยเฟิงสวยงามเช่นนี้ ดังนั้นนิสัยของเขาก็คงต้องดีมากเช่นกัน

“ชั้นบนมีไฟสลัวส่องสว่างจนถึงเช้า นอนคนเดียวลำพังบนเตียงขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับความรักของข้าแล้ว สุดปลายขอบแผ่นดินนั้นก็ยังสั้น”

ประโยคที่ยอดเยี่ยมคือ เมื่อเทียบกับความรักของข้าแล้ว สุดปลายขอบแผ่นดินนั้นก็ยังสั้น

นับว่าพรสวรรค์ของเยี่ยเฟิงนั้นไม่ด้อยไปกว่านางเลย และเกรงว่าจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ

หากนางไม่ได้พึ่งพากวีนิพนธ์ของคนในสมัยโบราณ เช่นนั้นก็เกรงว่านางก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเฟิงหรอก

เมื่อมองไปที่เยี่ยเฟิงก็เห็นว่าเขามีความเขินอายเล็กน้อย แต่เขายืนหลังตรงเอามือไพล่หลังและยืนเงียบๆ อยู่อีกฝั่งหนึ่งเพื่อรอให้หม่ากงกงประกาศผล เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำพูดชื่นชมของผู้ชมทั้งหลาย ใบหน้าของเขากลับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ราวกับคนที่ทุกคนต่างพากันชื่นชมนั้นไม่ใช่เขา

ไม่รู้สึกกระวนกระวายและไม่ตื่นตระหนกตกใจใดๆ แต่กลับเฝ้ารออย่างเงียบๆ และมีมารยาท

“ไม่คิดเลยว่าผู้ที่มาจากตระกูลครอบครัวที่ยากจนจะมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งเช่นนี้ ช่างน่าเหลือเชื่ออย่างมาก”

“ใช่ไหมล่ะ ข้าคิดมาโดยตลอดว่าความสามารถและพรสวรรค์ของท่านเจ๋ออ๋องและกู้ชูหน่วนนั้นยอดเยี่ยมและน่าทึ่งมาก แต่วันนี้เมื่อได้เห็นผลงานบทกวีของคุณหนูสามและเยี่ยเฟิงแล้ว ข้าจึงได้เข้าใจว่าอะไรคือเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน”

“เยี่ยเฟิงเป็นใครมาจากไหนกันนะ? ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อนเลย?”

“เป็นเพียงลูกของครอบครัวยากจนต่ำต้อยคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีชื่อเสียง เช่นนั้นแล้วเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังน่าเชื่อถือได้อย่างไร”

“พวกเจ้าว่า การแข่งขันบทกวีและการประดิษฐ์ตัวอักษรในครั้งนี้นั้น เยี่ยเฟิงจะเป็นผู้ชนะหรือว่าคุณหนูสามจะเป็นผู้ชนะ?”

“ยากที่จะคาดเดาได้ บทกวีและรวมไปถึงการประดิษฐ์ตัวอักษรของพวกเขาทั้งสองคนนั้นนับว่าไร้ที่ติและหาใดเปรียบได้ในโลกใบนี้ แต่ข้ารู้สึกได้ว่าบทกวีของคุณหนูสามนั้นดูเหมือนจะได้เปรียบกว่ามาก”

จักรพรรดิเยี่ยคิดว่ากู้ชูหน่วนจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน เขาจึงรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นในใจ เมื่อเห็นความสามารถของเยี่ยเฟิงที่สูงล้ำเช่นนั้น จากนั้นเขาก็เริ่มให้ความสนใจในทันที “รีบดูว่าคุณหนูสามแต่งบทกวีได้กี่บท?”

จักรพรรดิเยี่ยคาดหวังว่าจะแต่งได้น้อยกว่าสี่สิบสองบท แต่คำพูดของหม่ากงกงทำให้ความหวังสุดท้ายของเขาดับมอดมลายหายไป

“คุณหนูสามแต่งบทกวีได้สี่สิบสามบทพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิเยี่ยรู้สึกสลดหดหู่ใจอย่างมาก