ผลการทดสอบการแข่งขันบทกวีและการประดิษฐ์ตัวอักษรออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กู้ชูหน่วนและเยี่ยเฟิงทั้งสองคนมีความสามารถทางด้านการประดิษฐ์ตัวอักษรที่ดีเลิศเท่าเทียมกัน และตัดสินให้เสมอกัน

ส่วนการประพันธ์แต่งบทกวีนั้น กู้ชูหน่วนมีความเหนือกว่าเยี่ยเฟิง อีกทั้งยังแต่งบทกวีมากกว่าหนึ่งบท ดังนั้นกู้ชูหน่วนจึงเป็นผู้ชนะ

ในการแข่งขันทั้งห้ารอบนั้น กู้ชูหน่วนได้อันดับหนึ่งในสองรอบการแข่งขัน และยังมีอีกสองรอบที่ได้อันดับหนึ่งด้วยกันกับเยี่ยเฟิง เมื่อมองไปแล้วในที่นี้ไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะท้าทายกับนางได้อีก

ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอึกทึกครึกโครม

“ทายไปทายมา แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่ากู้ชูหน่วนจะได้อันดับที่หนึ่ง น่าสงสารท่านเจ๋ออ๋องของข้าที่เดิมพันไปด้วยสมบัติทั้งหมดของเข้า ข้าเกรงว่าจะต้องล้มละลายอย่างแน่นอน”

“ข้าก็ไม่ต่างกัน ข้าลงเงินไปที่ท่านเจ๋ออ๋องและกู้ชูอวิ๋นไปทั้งหมด แต่กู้ชูอวิ๋นกลับไร้ซึ่งคุณสมบัติในการแข่งขัน ท่านเจ๋ออ๋อง……ท่านเจ๋ออ๋องก็ถูกแขวนคอเล่นงานไปแล้ว ทำไมข้าถึงลำบากเช่นนี้นะ ถ้าลงเงินไปที่เยี่ยเฟิงก็คงไม่ต้องพ่ายแพ้หนักเช่นนี้”

“แย่แล้ว ข้าก็ลงพนันไปที่ท่านเจ๋ออ๋องหมดเลย ข้าก็คิดว่าความรู้ความสามารถของท่านเจ๋ออ๋องจะเต็มเปี่ยม อย่างน้อยก็สามารถชนะในหลายรอบการแข่งขัน แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้อันดับสุดท้ายในแทบทุกรอบการแข่งขัน”

“แต่……ไม่มีใครลงเงินเดิมพันที่กู้ชูหน่วนเลยหรือ?”

“เหมือนจะมี ท่านอาจารย์ซั่งกวนลงเงินเดิมพันว่ากู้ชูหน่วนจะชนะด้วยเงินหนึ่งพันตำลึง โดยบอกว่าต้องการให้กำลังใจลูกศิษย์”

“ท่านเจ๋ออ๋องและกู้ชูอวิ๋นก็เป็นลูกศิษย์ของเขาไม่ใช่หรือ? หรือว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ากู้ชูหน่วนจะชนะจึงได้วางเงินเดิมพันที่นาง?”

“นี่…….ดูไปแล้วท่านอาจารย์ซั่งกวนก็ไม่ได้เป็นคนจิตใจชั่วร้ายเช่นนั้นนะ”

“ไม่ว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนจะเป็นคนเช่นไร ถึงอย่างไรทุกคนก็ต่างพ่ายแพ้จนร้องไห้เรียกพ่อเรียกแม่กันทั้งหมด”

เซี่ยวอวี่เซวียนรู้สึกปลาบปลื้มใจ “แม่สาวอัปลักษณ์ได้อันดับหนึ่งหรือ? ดูเหมือนว่านางจะวางเงินเดิมพันของพวกเราไว้ที่ตัวของนางเอง พระเจ้า พวกเราจะกลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วหรือนี่?”

“ดู……ดูเหมือนจะใช่……” หลิ่วเย่ว์และอวี๋ฮุยรู้สึกตกใจจนฟันสั่นไหว

ถึงแม้ว่าจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร แต่สีหน้าของเยี่ยเฟิงก็ซีดเผือดไปเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าเขากำลังแอบซ่อนหรือเก็บกลั้นอะไรไว้ เล็บที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขาฝังลึกอยู่ในฝ่ามือ และเลือดก็ฝังอยู่ในฝ่ามือ แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ

ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นปิดตาลงอย่างอ่อนแรง

เป็นเวลานาน จากนั้นจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

มือที่กุมแน่นคู่นั้นก็ค่อยๆ คลายออก จากนั้นตามด้วยสัมผัสของความเศร้า เช่นเดียวกับบทกวีของเขา ที่มีกลิ่นอายจางๆ ของความเศร้าโศกในแต่ละบทกวี

กู้ชูหน่วนหัวเราะและพูดเยาะเย้ยกับท่านเจ๋ออ๋อง “ข้าบอกท่านแล้วว่าอย่าเดิมพันมากเช่นนั้น แต่ท่านกลับไม่ฟัง ดูสิ ตอนนี้แม้แต่คอกสุนัขก็ไม่มีให้อยู่”

“เจ้าว่าใครเป็นสุนัขน่ะ?”

“ข้าบอกว่าท่านเป็นสุนัขหรือ?”

“เจ้าบอกว่าจวนของข้าเป็นคอกสุนัข”

กู้ชูหน่วนถามกลับอย่างจริงจัง “หรือว่าบ้านของท่านไม่ได้เลี้ยงสุนัข? ในเมื่อขายคอกสุนัขไปแล้ว เช่นนั้นก็พอดีกับที่สุนัขจะไม่มีคอกให้อยู่น่ะสิ”

อี้เฉินเฟยอดหัวเราะไม่ได้

แม่สาวคนนี้ เห็นได้ชัดว่านางหลอกด่าเขา

หัวใจของท่านเจ๋ออ๋องเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ

ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคำพูดของนางนั้นช่างแปลกชอบกล?

ยังไม่ทันที่เขาจะแยกแยะความหมายในคำพูดของกู้ชูหน่วน เขากลับเห็นว่ากู้ชูหน่วนยื่นมือมาตรงหน้าเขา

“อะไรของเจ้า?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นกรรมสิทธิ์บ้านและโฉนดที่ดินน่ะสิ ทำไมหรือ หรือว่าท่านคิดจะเบี้ยวหนี้หรือ?”

ท่านเจ๋ออ๋องเล็ดลอดคำพูดออกมาจากซอกฟัน “ถึงแม้ว่าข้าจะแพ้ ข้าก็ไม่มีทางเบี้ยวหรอก แต่เจ้าก็ควรให้เวลาข้าในการเตรียมตัวบ้างสักสองสามวันสิ”

“ก็แค่จวนท่านอ๋องและเรือนคฤหาสน์อีกหกแห่ง ท่านเป็นถึงท่านเจ๋ออ๋องยังจะกลัวว่าข้าได้บ้านของท่านไปแล้ว ท่านจะไม่มีที่อยู่อาศัยอย่างนั้นหรือ”

กู้ชูหน่วนไม่พูดออกมาก็ยังดี แต่เมื่อพูดออกมาจึงทำให้ท่านเจ๋ออ๋องโมโหจนเกือบเป็นลมหมดสติไป

ในการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ก่อนหน้านี้ เขาสูญเสียมากเกินพอที่เขาจะชดเชยได้อีกแล้ว และตอนนี้กลับต้องยกจวนของเขาและเรือนคฤหาสน์อีกหกแห่งให้นางอีก เช่นนั้นก็เท่ากับเขาจะไม่มีที่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

แต่เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ เขาจะกล้าพูดออกมาได้อย่างไรกัน?

กู้ชูหน่วนจ้องมองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจและถอนหายใจ “เห็นแก่ความน่าสงสารของท่าน ข้าให้ท่านหาห้องพักในบริเวณขอบมุมของจวนท่านเพื่อพักอาศัยสักสองสามวันก็แล้วกัน คนอื่นจะได้ไม่พูดว่าข้าเป็นคนไร้น้ำจิตน้ำใจ”