ตอนที่ 94 มีความคิดที่ไม่ดีผุดขึ้นมาอีกครั้ง

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 94 มีความคิดที่ไม่ดีผุดขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนที่เจียงป่าวชิงกำลังหว่านเมล็ดพันธุ์และรดน้ำอยู่ในสวนผักของนาง ก็ได้ยินคนเรียกชื่อนางจากด้านนอกลานบ้าน

เจียงป่าวชิงมองออกไปก็เห็นว่าเป็นเจียงเฟย หลานชายคนที่สามของเจียงเหล่าหวู่

ก่อนหน้านี้เจียงป่าวชิงเพิ่งให้ครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่เช่าที่ดินห้าไร่ที่นางได้มาจากการแยกมาอยู่ข้างนอก นางนั้นไม่รู้เลยว่าที่เจียงเฟยมาในครั้งนี้จะมีธุระอะไร

เจียงป่าวชิงเปิดประตูและเชิญเจียงเฟยเข้ามา

เมื่อเจียงเฟยเห็นว่าเจียงหยุนชานก็ยืนอยู่ในลานบ้านเช่นกัน เขาก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย “หยุนชานกลับมาแล้วรึ เอ๊ะ! แล้วเหตุใดแขนของเจ้าถึงเป็นเช่นนั้นได้ ?”

เจียงเฟยอายุมากกว่าเจียงหยุนชานสองถึงสามปี ถึงแม้ว่าปกติแล้วทั้งสองคนจะไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน แต่เจียงหยุนชานยังคงพยักหน้าให้เจียงเฟยอย่างมีมารยาท “พี่เฟย ข้าไม่ระวังจึงหกล้มขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ซวยจริงเชียว ต่อไประวังหน่อยแล้วกัน” เจียงเฟยปลอบเจียงหยุนชานเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปมองเจียงป่าวชิงอีกครั้ง “ป่าวชิง ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเจ้าให้บ้านข้าเช่าที่ดินของบ้านเจ้าแล้วรึ ? บ้านข้าจึงคิดว่าจะเริ่มปลูกหลังจากที่บ้านท่านปู่สองของเจ้าเก็บเกี่ยวข้าวรอบนี้เสร็จแล้ว แต่พอปู่ของข้าไปดูที่ดินเมื่อสองวันก่อน เขาก็งงเป็นไก่ตาแตกทันที ไม่รู้ว่าบ้านท่านปู่สองของเจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ปลูกผักกาดขาวในที่ดินอีก… ปู่ของข้าโมโหจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว นี่เขาก็ให้ข้ามาเรียกเจ้าเพื่อให้เจ้าไปช่วยคิดหาวิธีแก้ไขสำหรับเรื่องนี้”

เมื่อเจียงป่าวชิงได้ฟัง นางก็ไม่แปลกใจอะไร ด้วยนิสัยของครอบครัวท่านปู่เจียงแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะให้ที่ดินกลับมาโดยซื่อตรง แต่จะต้องมีความคิดที่ไม่ดีอย่างแน่นอน

เจียงป่าวชิงรู้ว่าครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ไม่ได้มีแผนรับมืออะไร เพียงแต่เจ้าของที่ดินผืนนี้คือนางกับพี่ชายของนาง คาดว่าพวกเขาอยากที่จะเดินไปข้างหน้าโดยชอบธรรม เพื่อจะได้ไม่ถูกผู้อื่นประณามในภายหลัง

เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นนางก็พยักหน้าและขานรับ “ได้ ข้าจะไปดูกับพี่เองเจ้าค่ะ”

เดิมทีเจียงหยุนชานอยากจะไปด้วย แต่เจียงป่าวชิงกลับรีบห้ามเขาไว้เสียก่อน “พี่ชายสุดที่รักของข้า พี่ดูแขนของตัวเองสิ พี่จะไปทำไมกัน ? ใช่ว่าพี่จะไม่รู้ว่าท่าทางของคนในครอบครัวของท่านปู่สองเป็นอย่างไร และเป็นเรื่องปกติที่จะลงไม้ลงมือเมื่อเกิดความไม่ลงรอยกัน อีกอย่าง ท่าทางเหมือนคนพิการในตอนนี้ ถ้าไปถูกพวกเขาทำร้ายอีกจะทำอย่างไร ?”

จากนั้นเจียงหยุนชานก็รีบพูดขึ้นอย่างร้อนรน “แล้วถ้าหากเจ้าถูกทำร้ายล่ะจะทำอย่างไร ?”

“ใครเขาจะให้พวกเขาทำร้ายข้ากันเล่าเจ้าคะ ?” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ครอบครัวท่านปู่ห้าของเรามีพี่ชายตั้งมากมายขนาดนั้น ถ้าหากว่ามีการทะเลาะกับบ้านของท่านปู่สองจริง ๆ หรือว่าพวกพี่ ๆ ยังสามารถทนเห็นข้าถูกทุบตีล่ะ ?”

เจียงเฟยพูดแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง “แน่นอนว่าไม่ หยุนชานเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ที่ท่านปู่ของข้าเรียกเจียงป่าวชิงไปหาก็แค่อยากให้นางเป็นพยานให้เท่านั้น และพวกเราจะไม่ให้ครอบครัวท่านปู่สองของเจ้าแตะต้องเจียงป่าวชิงได้แม้แต่นิ้วมือเดียว”

นางพูดถึงขนาดนี้แล้ว และเมื่อเจียงหยุนชานนึกถึงพวกลูกพี่ลูกน้องที่เป็นผู้ชายในบ้านของท่านปู่ห้า เขาก็คิดว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าพลางพูดกำชับ “ถ้าหากว่าครอบครัวของท่านปู่สองยังมารังแกเจ้าอีก ป่าวชิง เจ้าต้องอย่าลืมบอกข้านะ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”

“พี่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็คิดในใจเกี่ยวกับกำลังสู้รบของครอบครัวท่านปู่เจียง นางคิดว่ามาเดี่ยวนางก็จะแทงเดี่ยว มาเป็นคู่นางก็จะแทงกลับไปทั้งคู่

เจียงป่าวชิงกลับไปที่ห้องเพื่อนำสัญญาเช่าที่ดินของครอบครัวเจียงเหล่าหวู่มาซ่อนไว้ในอก เสร็จแล้วนางก็ไปกับเจียงเฟย เจียงหยุนชานมองจนแผ่นหลังของพวกเขาหายไปจากหัวโค้ง เขาถึงจะกลับไปอ่านหนังสือดังเดิม

……

ณ บ้านข้าง ๆ หน้าต่างห้องเปิดกว้าง อีกอย่าง น้ำเสียงของเจียงเฟยก็ดังอยู่พอสมควร แม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่คนที่มีศิลปะการต่อสู้อย่างกงจี้และไป๋จีกลับได้ยินเรื่องราวคร่าว ๆ แล้ว

ไป๋จีอดที่จะทอดถอนใจอย่างเสียไม่ได้ “ชีวิตของแม่นางเจียงไม่ง่ายเลยจริง ๆ ครอบครัวนั้นได้รับประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด แต่กลับเลี้ยงดูสองพี่น้องไม่ดี ตอนที่เราเพิ่งเจอกับแม่นางเจียง แม่นางเจียงก็ไม่ต่างอะไรจากขอทานเลยด้วยซ้ำ”

กงจี้พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ญาติเช่นนี้… เดนมนุษย์ที่ถูกหมากัดกินยังมีมโนธรรมน้อยอีกรึ ?”

ไป๋จีรู้ว่าเจ้านายของเขาคงจะนึกถึงเรื่องในอดีต เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะกลัวว่าจะทำให้เจ้านายนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ในอดีตขึ้นมาอีก เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “จะว่าไปแล้วแม่นางเจียงก็ตัวเล็กนิดเดียว แต่ครอบครัวเครือญาติของนางกลับเหมือนหมาไนและจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่านางจะเสียเปรียบหรือเปล่านะขอรับ ?”

ได้ฟังดังนั้น หัวคิ้วของกงจี้ก็ขมวดเข้าหากันทันที

ผ่านไปสักครู่เขาก็พูดขึ้นเสียงแข็ง “เข็นข้าไปดู” เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็พูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “ห้ามทำให้การรักษาในช่วงบ่ายล่าช้า”

ไป๋จีแยกแยะคำพูดประโยคหลังของเจ้านายอย่างเงียบ ๆ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงขานรับเท่านั้น

ฝูฉูกำลังคอยปรนนิบัติเรื่องน้ำชาอยู่ข้าง ๆ เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าท่านชายกับไป๋จีจะเข้าไปในหมู่บ้าน นางก็รีบเดินเข้ามาหาทันที “ท่านชายพาข้าน้อยไปด้วยนะ เราพักอาศัยอยู่ที่นี่ หากว่ามัวแต่ไม่โผล่หน้าออกไปเช่นนี้ ผู้คนจะเกิดความสงสัยเอาได้ สู้โผล่หน้าออกไปอย่างเปิดเผย และบอกว่าเราเป็นลูกหลานของครอบครัวที่ร่ำรวยมาพักฟื้นร่างกายที่ชนบทดีกว่า”

นี่เป็นสถานะปลอมที่กงจี้เตรียมไว้ก่อนหน้านี้

ลูกหลานของครอบครัวที่ร่ำรวยมักจะมีสาวใช้คอยติดตาม

กงจี้ชะงักไป จากนั้นเขาก็พยักหน้า

……

เจียงป่าวชิงมาถึงบ้านของเจียงเหล่าหวู่ ก็เห็นว่าพวกผู้ชายกำลังปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่ในบ้าน เจียงป่าวชิงยังเด็ก นางยังคงเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ  ในสายตาของพวกเขา พวกเขาจึงไม่หลีกเลี่ยงเมื่อเห็นนางมา

เมียของเจียงเหล่าหวู่รีบไปรินน้ำมาให้เจียงป่าวชิงทันที ถ้าหากอิงตามกฎแล้ว ครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ถือว่าเป็นผู้เช่าของเจียงป่าวชิง

เจียงป่าวชิงทักทายพวกผู้ชายในบ้านเจียงเหล่าหวู่โดยเรียกชื่อเพื่อเป็นการทักทายตั้งแต่เจียงเหล่าหวู่ผู้เป็นปู่ห้าไปจนถึงหลานชายคนที่สี่ของเจียงเหล่าหวู่

แม้ว่าเจียงเหล่าหวู่จะไม่พอใจกับวิธีการของครอบครัวท่านปู่เจียงและกำลังโมโหอยู่ในขณะนี้ แต่เขากลับไม่สามารถต้านทานต่อเด็กผู้หญิงที่มีท่าทางอ่อนหวานมีมารยาทแบบเจียงป่าวชิงได้ เขาจึงฉีกยิ้มกว้าง “ป่าวชิงช่างเป็นเด็กที่รู้จักคิดจริง ๆ”

เจียงป่าวชิงยิ้มและเอ่ยถาม “ท่านปู่ห้าเจ้าคะ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกับทางฝั่งของท่านปู่สองกันแน่เจ้าคะ ?”

พูดถึงเรื่องนี้ เจียงเหล่าหวู่ก็โมโหทันที เขาตบโต๊ะดังฉาดแล้วพูดด้วยความโมโห “น้องเจ็ดก็ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่โอนโฉนดที่ดิน พวกผู้อาวุโสในตระกูลก็อยู่ หัวหน้าหมู่บ้านก็อยู่ และเราพูดกันอย่างชัดเจนแล้ว  อีกอย่าง หัวหน้าหมู่บ้านทำบันทึกสำมะโนครัวให้เจ้ากับพี่ชายเจ้าแล้ว โฉนดที่ดินห้าไร่นี้ก็เป็นของเจ้ากับพี่ชายเจ้าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และถือได้ว่าเป็นมรดกตกทอดของเชื้อสายปู่แท้ ๆ ของเจ้า ป่าวชิง ตอนนั้นเจ้าได้ประทับลายนิ้วมือไว้เป็นหลักฐานสำหรับเรื่องนี้หรือไม่ ?”

หากว่าจัดอันดับตามอาวุโส ท่านปู่เจียงจะอาวุโสเป็นคนที่เจ็ดในวงศ์ตระกูล

ตอนนั้นโฉนดที่ดินถูกถ่ายโอนด้วยการประทับลายนิ้วมือจริง ๆ เจียงป่าวชิงจึงพยักหน้าเบา ๆ

เจียงเหล่าหวู่พูดขึ้นอย่างโมโหอีกครั้ง “หึ! ตระกูลเจียงของเราล้วนเป็นคนจิตใจดีกันทั้งนั้น ตอนนั้นเราก็พูดกับพวกเขาแล้วว่าบ้านของเจ้าไม่โลภต่อข้าวสาลีที่บ้านพวกเขาปลูกบนที่ดินห้าไร่นี้ รอให้บ้านเขาเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว เจ้าค่อยปลูกชุดใหม่เอง ตอนนั้นเขายังยอมรับคำพูดนี้อยู่เลย! แต่ดูสิ น้องเจ็ดกลับทำเรื่องหน้าไม่อายเสียนี่! ตอนนี้บ้านข้ากำลังจะปลูกข้าว และคนในบ้านก็เตรียมเงินสำหรับเมล็ดพันธุ์แล้วด้วย แต่ไม่คิดว่าบ้านเขาจะปลูกผักกาดขาวลงไปในที่ดินอีก ถ้าอิงตามข้อตกลงในตอนนั้น หากบ้านข้าอยากปลูกชุดใหม่ก็ต้องรอให้ผักกาดขาวที่บ้านเขาปลูกจนเก็บเกี่ยวได้ก่อนน่ะสิ! แต่ ๆ ๆ… มันจะเป็นไปได้อย่างไร ?! เสียเวลาช่วงหว่านเมล็ดและจะส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวอย่างแน่นอน ครั้งนี้น้องเจ็ดทำข้าโกรธมากเลยจริง ๆ!”