บทที่ 77

4 พี่น้องฉางกวงล้วนแล้วแต่มีความสามารถที่เก่งกาจ

พี่ใหญ่สุดมีนามว่าหยวนจี้ เป็นคนที่ร่ำรวยมากในเขตปิงหยวน เขาเก่งกาจและมีทรัพย์สมบัติมากมาย บอกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถมากจนทำให้ไม่มีใครเทียบได้ เขตปิงหยวนนั้นยากจนข้นแค้น แถมยังมีผู้ว่าที่โลภมากนั่นอีก จึงทำให้ชีวิตของทหารลำบากมาก โชคดีที่ได้หยวนจี้เป็นผู้บริจาคอาหารและเงินทองให้กับกองทัพโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ทำให้เขาได้ใจประชาชนและขุนนางเป็นจำนวนมาก

ส่วนคนรองนั้นชื่อว่า หยวนยู่ บอกได้เลยว่าเขาเป็นดั่งเทพเซียนในสายตาของผู้คนจำนวนมาก แถมยังเป็นคนที่บ้าเอามาก ๆ อีกด้วย เขาออกเดินทางเร่ร่อนไปทั่วโลกเพื่อตามหาคนที่มีพลังยุทธ์เก่งกาจ บอกได้เลยว่าทุกการประลองกัน เขาคนนี้นั้นไม่เคยพ่ายแพ้ ! ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ ทว่าเรื่องที่หยวนยู่มีพลังไปไกลเกินกว่าคนธรรมดานั้นจริงแท้แน่นอน !

น้องสามอย่าง หยวนอู่ และน้องสี่ หยวนเปียว เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน พวกเขามีความทะเยอทะยานสูงตั้งแต่ยังเด็กและชอบรวบรวมผู้คนไปต่อสู้ทะเลาะวิวาทก่อปัญหาไปทั่ว เมื่อโตขึ้นพวกเขาก็ไม่ได้ลดนิสัยเดิมและยิ่งโหดร้ายมากกว่าเดิม ทว่านาน ๆ ทีพวกเขาถึงจะฆ่าคนสักครั้งหนึ่ง พวกเขาแค่ทำมากที่สุดก็แค่การปล้นพ่อค้าที่ผ่านทางมาหรือไม่ก็ปล้นร้านค้าเท่านั้นเอง

ทหารเขตปิงหยวนนั้นเคยคิดจะปราบสองพี่น้องนี่ แต่ทั้งสองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจพอตัว และไม่ใช่แค่นั้น ทางตระกูลฉางกวงเองก็ยังให้ทุนกองทัพมากมายอีกด้วย จึงทำให้พวกทหารทำเมินพวกเขาเสีย ตราบใดที่ไม่ได้ล้ำเส้นมากก็ไม่มีปัญหา

ครั้งนี้ทั้งสองบ้าเกินไปที่วางแผนเข้าโจมตีพวกทหาร และเมื่อเจอกับถังหยิน มันก็ทำให้พวกเขาเกือบตาย

“เมื่อกลับไปยังเมืองเฮิง สิ่งแรกที่จะทำก็คือจัดการพวกโจรนั่นซะ ข้าไม่อยากให้มีใครหน้าไหนทำเรื่องแบบนี้ในเขตของข้า ! ” ถังหยินไม่ต้องการคำคัดค้านใด ๆ ทั้งนั้น

“ขอรับแม่ทัพถัง” จางโจวหัวเราะอย่างขมขื่นและยอมรับมัน ถ้าโยนเรื่องความสามารถของหยวนจี้ออกไป หยวนอู่และหยวนเปียวนั้นก็ทำให้เขาปวดหัวมากพอสมควร แต่ด้วยความสามารถของเขา การจัดการสองพี่น้องนี้ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ลำบากพอตัว

เมื่อเห็นสีหน้าแบบนี้ ถังหยินก็ส่ายหัว จางโจวอาจจะเป็นคนดี แต่ทว่าคนคนนี้ไม่อาจเป็นแม่ทัพที่ดีได้

คนแบบนี้มันช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แต่การได้ชายคนนี้มาอยู่ข้างเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไร

ระหว่างเมืองชุนโจวและเมืองเฮิงนั้นมีอำนาจและความเจริญที่แตกต่างราวฟ้ากับเหว

เมืองเฮิงไม่ใหญ่มากแต่ก็ไม่เล็ก บอกได้ว่าเป็นเมืองขนาดกลาง

ถังหยินและคนอื่นเข้าพักที่เมืองเฮิงในระหว่างวัน แม้ว่าจะอยู่บนถนนหลักแต่ก็ไม่มีผู้คนมากนัก ร้านค้าสองข้างทางเงียบกริบ มีผู้คนออกมาจับจ่ายเพียงน้อยนิดเท่านั้น ทำให้เมืองดูไร้ชีวิตชีวามาก

เขตปิงหยวนโดนโจมตีจากพวกมอร์ฟีสตลอดเวลา แถมยังโดนปิดล้อมเมืองด้วยในบางครั้ง กระทั่งว่ามีครั้งหนึ่งที่กำแพงเมืองแตกออก ทำให้เหล่าทหารถูกฆ่ามากมาย และเปิดโอกาสให้พวกมอร์ฟีสบุกเข้ามาในเมืองเพื่อเข่นฆ่าทุกคน ซึ่งกว่าจะฟื้นฟูกลับมาเหมือนได้ดั่งเช่นวันนี้นั้น มันก็ต้องใช้เวลามากทีเดียว

มีหลายคนเข้ามาต้อนรับถังหยิน ส่วนใหญ่เป็นพวกขุนนางในเขตปิงหยวนและพ่อค้า

ชายหนุ่มให้ความสำคัญกับพวกคนรวย และเมื่อเขาสังเกตผู้คนที่มาเข้าพบ จู่ ๆ ถังหยินก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ว่าแล้วเขาก็หันไปถามจางโจว “นั่นใช่หยวนจี้หรือเปล่า ? ”

จางโจวหันไปมอง ก่อนจะส่ายหัวและพูดว่า “หยวนจี้ไม่อยู่ที่นี่ขอรับ”

“น่าประหลาดใจยิ่ง” จริง ๆ แล้วถังหยินไม่สนใจหรอกว่าใครจะมาต้อนรับเขา แต่เขานั้นอยากจะเห็นหน้าหยวนจี้ และยิ่งอีกฝ่ายไม่ยอมมาแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีก !

“ท่านถัง!”

แม่ทัพหนุ่มนายหนึ่งเดินมาข้าง ๆ ถังหยิน เขาก้มหัวให้ “ข้าน้อย ไป่หยง หนึ่งในแม่ทัพเขตปิงหยวนขอต้อนรับท่าน ! ”

ไป่หยงหนุ่มกว่าจางโจวเล็กน้อย ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่พร้อมใบหน้าอันหล่อเหลาและรัศมีความเป็นผู้นำที่สูง ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกเชื่อถือขึ้นมา

นี่คือไป่หยงสินะ ! ถังหยินรู้จักอีกฝ่ายดีทีเดียว

เขายิ้มและพยักหน้า “ไม่ต้องมากพิธีขนาดนั้นก็ได้แม่ทัพไป่” เขาพูดแล้วก็โบกมือให้

ไป่หยงยืนตัวตรง หันมองถังหยิน ก่อนจะพยักหน้าให้ ส่วนทางด้านถังหยินเองก็ยิ้มกลับให้อีกฝ่ายด้วยความอ่อนโยน ดวงตาของชายหนุ่มนั้นดูคมคาย และเมื่อผนวกกับเรื่องที่ถังหยินไปกดดันหยูเฮอ มันก็ยิ่งทำให้ไป่หยงรู้สึกเลื่อมใสมากขึ้นไปอีก

เขาพูดอย่างจริงจัง “ท่านถังได้นำเสบียงมากมายมาด้วย ทำให้พวกข้าน้อยแก้ปัญหาเรื่องปากท้องได้มาก นับเป็นพระคุณยิ่ง ! ” เขาพูดแล้วก็ประกบมือก้มหัวให้

ถังหยินหัวเราะ “แม่ทัพไป่ก็พูดเกินไป ทุกคนในกองทัพเป็นสหายของข้า ข้ามาที่ปิงหยวนก็เพื่อช่วยให้พวกเจ้ามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะมันคืองานของข้า”

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนในเขตปิงหยวนรวมไปถึงแม่ทัพทั้งสองรู้สึกดีใจมาก การที่มีผู้ว่าเขตเป็นเช่นนี้ รับรองได้เลยว่าเขตนี้จะต้องเจริญขึ้นแน่ !

“แม่ทัพถัง ตอนนี้แม่ทัพจูนัวกำลังตั้งรับอยู่ที่เมืองชายแดน และไม่สามารถออกมาได้ ทำให้เขาไม่อาจมาต้อนรับท่านได้ ได้โปรดอภัยให้เขาด้วย” ไป่หยงอธิบาย

แน่นนอนว่าถังหยินไม่สนใจหรอก ดังนั้นเขาจึงถามเรื่องอื่นแทน “ยังมีการต่อสู้ที่เมืองชายแดนอีกงั้นหรือ ? ”

เมืองชายแดนนั้นก็ตามชื่อ มันคือเมืองที่อยู่ตามชายแดนติดกับพวกสมาพันธรัฐมอร์ฟีสและเป็นเมืองที่โดนโจมตีบ่อยครั้ง ส่วนกำลังทหารหลัก ๆ เองก็เป็นกองพันเล็ก ๆ ที่ต้องโยกย้ายไปมาอยู่บ่อยครั้ง

“ข้าไม่ได้ยินข่าวทัพใหญ่ของพวกมันเท่าไหร่ แต่ทว่าก็มีกองทัพเล็ก ๆ คอยออกปล้นสะดมหมู่บ้านบ่อยครั้ง” ไป่หยงพูดอย่างจริงจัง

ถังหยินพยักหน้า “ข้าไม่รู้จักพวกมอร์ฟีสมากนัก เจ้าอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ? ”

ไป่หยงไม่รอช้ารีบพูดเรื่องราวทั้งหมดทันที

สมาพันธรัฐมอร์ฟีสมีสถานะเป็นรัฐพันธมิตรที่เกิดจากการรวมตัวกันของรัฐหลาย ๆ รัฐ ทำให้มีอาณาเขตที่กว้างมากกว่าแคว้นเฟิงหลายเท่าตัว หากแต่กิจการภายในก็ไม่สู้ดีมากนัก

ชายแดนที่ติดกับแคว้นเฟิงคือรัฐเบสซ่า และการโจมตีที่มีอยู่บ่อยครั้งก็มาจากที่แห่งนี้นี่เอง

รัฐเบสซ่าถือเป็นรัฐอันดับต้น ๆ ของพวกมอร์ฟีส ด้วยจำนวนประชากรที่มากและอาณาเขตที่กว้าง จึงทำให้พวกเขานั้นสะสมกำลังทหารไว้มากมาย

จุดสำคัญของพวกเบสซ่านั้นไม่ใช่ทหารราบ แต่เป็นทหารม้าเกราะหนัก ชาวเบสซ่าเลี้ยงม้าพาบูที่มีพละกำลังที่มากมายและมีน้ำหนักมากกว่าม้าทั่วไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกทหารม้าของเบสซ่าสวมเกราะที่หนักเข้าสู่สนามรบได้

แม้แต่เกราะของม้าเองก็ทำมาจากเหล็กกล้าเหมือนกับเกราะของพวกทหารด้วยเช่นกัน และถึงแม้กองทหารม้าของเขาพวกเขาจะเคลื่อนที่เชื่องช้า หากแต่มันก็แน่นหนาดั่งป้อมปราการ ลูกธนูไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้

ยิ่งการต่อสู้ระยะประชิดก็ไม่ต้องไปพูดถึง เกราะของพวกเขานั้นยากเกิดกว่าที่จะทะลวงได้ ต่อให้ใช้กำลังเต็มที่ก็ตาม !

เมื่อครั้งอดีต ทหารเฟิงเคยใช้จังหวะเข้าโจมตีพวกทหารม้าเกราะหนักของมอร์ฟีส และจบลงที่การสูญเสียทหารราบถึง 1 หมื่นนาย ในขณะที่พวกมอร์ฟีสมีทหารม้าถูกจัดการไปเพียง 1 พันนายเท่านั้น

ตั้งแต่ที่เริ่มสงครามกันมา แคว้นเฟิงก็ไม่เคยจัดการพวกทหารม้าเบสซ่าได้เลย

เขาคิดว่าเหตุผลหลักที่เขตปิงหยวนนั้นพ่ายแพ้อยู่บ่อยครั้งไม่ใช่เพราะว่ามีประชากรน้อยหรืออะไรอื่น หากแต่ปัจจัยหลักเลยก็คือความแตกต่างของกำลังทหาร และความหวาดกลัวที่ถูกปลูกฝังเอาไว้ต่างหาก !

กำลังทหารสามารถเพิ่มเติมได้ในการฝึก ส่วนขวัญกำลังใจเองก็เพิ่มขึ้นได้ตามชัยชนะ แต่ถ้าพูดตามที่ไป่หยงบอกมา มันก็คงไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะกองทัพพวกมอร์ฟีสได้

“แล้วม้าของพวกมอร์ฟีสเป็นยังไง ? เกราะหนาแค่ไหน ? มีตัวอย่างให้ดูไหม ? ”

ไป่หยงพยักหน้า “มีขอรับ”

“เยี่ยมเลย ไปเอามันมาให้ข้าหน่อย”

“ขอรับ” ไป่หยงรับคำ

ว่าแล้วถังหยินก็ออกเดินทางต่อ ครั้งนี้เขามุ่งหน้าไปยังจวนหลังหนึ่ง มันมีขนาดใหญ่และมีห้องมากกว่า 50 ห้องข้างใน ส่วนด้านนอกก็ได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี เช่นสวนหย่อม ภูเขาจำลอง ทะเลสาบจำลองและอื่น ๆ อีกมากมาย พวกคนรับใช้เองก็มีมากกว่า 20 คน พร้อมด้วยทหารยามอีกกว่าหลายร้อยนาย

บ้านพักที่ใหญ่ขนาดนี้ สำหรับถังหยินที่ไม่มีครอบครัวแล้วมันก็ดูจะโดดเดี่ยวเกินไป แต่ทว่านั่นก็ทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาไปหาที่พักให้กับชิวเจิ้น กู่เยว่ และหลีเทียน เพราะพวกเขาสามารถใช้ห้องที่ว่างอยู่ได้ตามสบาย

ทางด้านเจ้าเมืองเฮิงเองก็อยากจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับชายหนุ่ม หากแต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากถังหยิน เขานั้นมองว่าเงินส่วนที่ใช้จัดงานเลี้ยงควรจะเอาไปซื้ออาวุธน่าจะดีกว่า

พวกขุนนางดูจะไม่ค่อยคุ้นชินกับอะไรแบบนี้มากนัก แต่เมื่อทหารทั้งหลายต่างพากันชื่นชมถังหยิน แค่นี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าชายหนุ่มนั้นสามารถเอาชนะใจทั้งกองทัพได้ในตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาประจำการ

ดังนั้นถ้าว่ากันตามมุมมองแล้ว ถังหยินเองก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถและเหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าวเป็นอย่างมาก !