เวลานี้ เสียงปืนเงียบลงแล้ว แต่ทุกคนยังคงอยู่นิ่งไม่กล้าขยับ เพราะพวกเขารู้ว่ามีชายชุดดำจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ แค่พวกเขายื่นหน้าออกไป ลูกกระสุนที่เย็นยะเยือกพร้อมที่จะพุ่งเข้ามา
อวี้หลานซีเหมือนแมวตัวน้อยที่กำลังตกใจ เธอจับเสื้อของหนานกงเยี่ยแน่น ตัวของเธอสั่นเทา เวลานี้อวี้หลานซีรับรู้ได้ว่าหนานกงเยี่ยเองก็ตัวสั่น ทำให้เธอยิ่งกลัว เธอเอาเสื้อที่คลุมศีรษะตนเองออก ถามเขาด้วยความเป็นห่วง “เยี่ย คุณบาดเจ็บหรอคะ”
หนานกงเยี่ยพยายามสงบสติอารมณ์ เขาฝืนยิ้ม “เปล่าครับ” จากนั้นหันไปพูดกับก่วนอวี้ “ก่วนอวี้ นายมาคอยคุ้มกันคุณอวี้”
“ครับ” ก่วนอวี้รู้ดีว่าหนานกงเยี่ยจะทำอะไร เหลิ่งรั่วปิงหายตัวไป เขาจะไปตามหาเธอ
ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้น อวี้หลานซีรั้งเขาเอาไว้ด้วยการกอด “ไม่นะคะ คุณอย่าไปเลย มันอันตรายเกินไป”
หนานกงเยี่ยพยายามแกะมืออวี้หลานซีออก “คุณต้องเชื่อฟังผมนะ อยู่กับก่วนอวี้ ผมจะไปหาเหลิ่งรั่วปิง”
อวี้หลานซีคว้าจับชายเสื้อของหนานกงเยี่ยเอาไว้ด้วยความดึงดัน “ไม่ค่ะ ฉันไม่ยอมปล่อยคุณไปเสี่ยงอันตรายเพื่อผู้หญิงแค่คนเดียว!”
หนานกงเยี่ยพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตนเอง เขากัดฟันพูด “หลานซี ตอนนี้คุณเข้าใจหรือยังว่าผมต้องการผู้หญิงแบบไหน”
อวี้หลานซีมองไปทางหนานกงเนี่ยด้วยความสงสัยและหวาดกลัว เธอรู้ดีว่าหนานกงเยี่ยกำลังโมโห
“คุณเองก็เห็นแล้ว ผมคือหนานกงเยี่ย ชื่อนี้ทำให้ผมมีอำนาจและได้รับความเคารพนับถือจากทุกคน แต่ในทางเดียวกันอำนาจเหล่านี้มาพร้อมกับอันตราย ผู้หญิงที่ผมต้องการเธอต้องปกป้องตนเองได้ คุณเข้าใจไหม”
อวี้หลานซีค่อยๆปล่อยมือ เธอก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ เธอเข้าใจแล้ว ผู้หญิงที่เขาต้องการคือผู้หญิงที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา แต่เธอกลับเป็นได้แค่ภาระ
หนานกงเยี่ยถอนหายใจ เวลานี้เขาไม่มีเวลามาเป็นห่วงความรู้สึกของอวี้หลานซีแล้ว
เวลานี้ เสียงสัญญาณฉุกเฉินที่อยู่นอกประตูไนท์คลับเฟิ่งหวงไถดังขึ้น คนของอวี้ไป่หันวิ่งเข้ามา พวกเขาปะทะกับชายชุดดำอย่างดุเดือด
หนานกงเยี่ยไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว เขาลุกขึ้น กระโดดข้ามโซฟา ยิงปะทะกับชายชุดดำพร้อมกับวิ่งขึ้นไปชั้นสอง ทางด้านถังเฮ่าและอวี้ไป่หันคอยยิงสกัดหลังให้เขา
หลังจากกลิ้งตัวไปมาสองสามครั้ง ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็มาถึงบันไดได้สำเร็จ เขาวิ่งขึ้นไปชั้นสองทันที
ทางเดินที่ว่างเปล่าฟุ่งไปด้วยกลิ่นกำมะถัน โคมไฟส่วนมากถูกทำลายจนพังหมด แสงไฟสีเหลืองนวลเปล่งแสงริบรี่ บนพื้นเต็มไปด้วยซากศพของชายชุดดำ บรรยากาศในตอนนี้น่ากลัวมาก เหมือนกับในหนังแอคชั่น
หนานกงเยี่ยถือปืนในมือแน่น ดวงตาคมเหมือนเหยี่ยวของเขากวาดตามองไปรอบๆ เขาไม่เห็นใครเลย อีกทั้งสถานที่ที่เกิดระเบิดนั้นไม่ใช่ประตูที่พวกเขาอยู่ก่อนจะวิ่งออกไป แต่เป็นทางเดินอีกด้านหนึ่ง
หนานกงเยี่ยมองซ้ายและขวาด้วยความระมัดระวัง เขาเดินผ่านห้องๆ หนึ่งไป พุ่งตัวเข้าไปยังที่เกิดระเบิด หนานกงเยี่ยได้ยินเสียงคนปะทะกัน เสียงนี้มาจากโถงขั้นสอง
หนานกงเยี่ยรีบวิ่งตามเสียงนั้นไป เขาหลบอยู่หลังประตู แล้วยื่นหน้าออกไปมอง เวลานี้เหลิ่งรั่วปิงกำลังสู้กับชายชุดดำสามคน เนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด เขาไม่รู้ว่านี่เป็นเลือดของเธอหรือเลือดของชายชุดดำกันแน่ บนพื้นมีชายชุดดำนอนตายกว่าสิบศพ เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนฆ่าพวกเขา
เธอสู้กับคนพวกนี้คนเดียว!
ภายในใจของหนานกงเยี่ยรู้สึกเจ็บปวด
เขาใช้เวลาสั้นๆ ก็สามารถเข้าใจเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตอนที่พวกเขาวิ่งลงไปชั้นหนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงเห็นชายชุดดำหลายคนอยู่ด้านหลัง ถ้าหากไม่มีคนคอยกันหลัง ตอนที่พวกเขาไปถึงชั้นหนึ่งก็จะถูกจู่โจมทั้งหน้าทั้งหลัง ซึ่งมันอันตรายมาก ดังนั้นเหลิ่งรั่วปิงจึงย้อนกลับไปปะทะกับพวกมันตัวคนเดียว เธอโยนระเบิดเวลาไปตรงทางเดินอีกด้านหนึ่งแทน แล้วสู้กับพวกชายชุดดำ สุดท้ายกระสุนของเธอหมด เหลิ่งรั่วปิงจึงต้องต่อสู้กับพวกมันด้วยมือเปล่า
หนานกงเยี่ยหลับตาลง ตัดสินใจยิงปืนออกไป เสียงปืนดังขึ้นสามนัด ชายชุดดำทั้งสามคนล้มลงกองกับพื้น
เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองหนานกงเยี่ย ในที่สุดเธอก็โล่งอกสักที เธอหยุดตั้งการ์ดเตรียมต่อสู้
หนานกงเยี่ยวิ่งไปหาเหลิ่งรั่วปิงด้วยความรวดเร็ว เขาจับแขนเธอเอาไว้ มองดูเลือดบนตัวเธอ พูดด้วยเสียงสั่นเทา “คุณบาดเจ็บหรือเปล่า”
เหลื่งรั่วปิงตอบเสียงเรียบ “เปล่าค่ะ เลือดพวกนี้เป็นของพวกมัน”
หนานกงเยี่ยรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาสูดลมหายใจเข้า ดึงตัวเหลิ่งรั่วปิงมากอด ตัวของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
หลังจากนั้น เขาจูบเธออย่างร้อนแรง มือที่กอดเธอเอาไว้กระชับแน่นมากกว่าเดิม เขารู้สึกเหมือนได้เจอกันอีกครั้ง หลังจากสูญเสียเธอไป หนานกงเยี่ยมีความรู้สึกมากมายอยากแสดงออกมา แต่เขาไม่รู้จะเริ่มพูดตรงไหน มีเพียงแค่การจูบเท่านั้นที่สามารถปลอบโยนและบรรเทาหัวใจที่สั่นเทาของเขา
เหลิ่งรั่วปิง เธอคือผู้หญิงที่ทำให้เขาปวดไปถึงก้นบึ้งหัวใจ
เวลานี้ การต่อสู้ปะทะกันที่ชั้นหนึ่งได้จบลงแล้ว ชายชุดดำมีทั้งที่ตายและมีทั้งที่ถูกจับเป็น ทุกคนต่างพากันโล่งอก
อวี้หลานซีตื่นออกมาจากภวังค์ความหวาดกลัวของตนเอง เธอสะบัดมือก่วนอวี้ทิ้งแล้วรีบวิ่งไปชั้นสอง ก่วนอวี้อึ้งไปพักหนึ่งจากนั้นรีบวิ่งตามไป
ทางด้านมู่เฉิงซี ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันเพิ่งรู้ตัว พวกเขารีบวิ่งขึ้นไปชั้นสอง เวินอี๋อยากตามขึ้นไปด้วย แต่มู่เฉิงซีสั่งคนของเขาให้ส่งเธอกลับบ้าน
พวกเขาวิ่งขึ้นไปบนชั้นสอง มองดูพื้นที่เกิดเหตุ ต่างก็พอเข้าใจว่าเรื่องมันเป็นมายังไงมู่เฉิงซีเองก็ด้วย เขารู้สึกขอบคุณเหลิ่งรั่วปิงและนับถือหัวใจเธอมาก พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมหนานกงเยี่ยถึงหวั่นไหวกับผู้หญิงคนนี้ เพราะเธอควรค่าที่จะรัก
หลังจากมองดูศพของพวกชายชุดดำ พวกเขาวิ่งไปยังโถงใหญ่ของชั้นสอง เห็นคนสองคนกำลังจูบกัน ไม่มีใครกล้าเข้าไปขัดจังหวะ อวี้หลานซีเองก็ด้วย
หัวใจที่เต้นแรงด้วยความหวาดกลัวของอวี้หลานซีกลับมาเป็นปกติแล้ว ทว่าภาพตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดและผิดหวัง หนานกงเยี่ยไม่เคยจูบเธอมาก่อน เขาไม่เคยแม้แต่กอดเธอ เธอไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกตอนที่ถูกผู้ชายคนหนึ่งจูบมันเป็นยังไง เวลาอยู่กับเธอเขาเงียบและเย็นชามาก ถึงแม้จะอ่อนโยนกับเธอแต่ความรู้สึกระหว่างเธอกับเขามันกลับเหมือนคนที่ห่างเหิน
ถึงแม้เธอจะบอกกับตนเองว่าต้องเป็นคนใจกว้างและยอมรับผู้หญิงทุกคนของเขา แต่พอเห็นเขาจูบกับผู้หญิงคนอื่นเข้าจริงๆ หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวด
บนโลกใบนี้ไม่มีความรักที่ใจกว้าง แม้แต่อวี้หลานซีที่ใจกว้างกับทุกเรื่อง ยังไม่สามารถทำได้
เพียงชั่วพริบตา อวี้หลานซียกมือขึ้นปิดปาก น้ำใสๆ ไหลลงมาอาบแก้ม เธอหมุนตัวหันหลังแล้ววิ่งออกไป ก่วนอวี้ครุ่นคิดอยู่สองวินาที แล้วรีบวิ่งตามเธอไป
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็ปล่อยเหลิ่งรั่วปิง เขาลูบจับผมของเธอด้วยความปวดใจ จากนั้นถอดเสื้อกันหนาวของตนเองออกมาคลุมตัวเธอไว้
หนานกงเยี่ยกวาดตามองทุกคน หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง “หลานซีละ”
“เธอไม่เป็นอะไร ตอนนี้ก่วนอวี้ส่งเธอกลับไปแล้ว” มู่เฉิงซีพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม วันนี้ เขารู้จักอีกด้านหนึ่งของเหลิ่งรั่วปิง แต่ในเวลาเดียวกันเขารู้สึกเป็นห่วงหนานกงเยี่ยมาก หนานกงเยี่ยถลำลึกเกินไปแล้ว สายตาของเขามีแต่เหลิ่งรั่วปิง ความเป็นห่วงที่เขามีต่ออวี้หลานซี เป็นความเป็นห่วงที่มีต่อญาติเท่านั้น แต่เหลิ่งรั่วปิงกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา
หนานกงเยี่ยโล่งอก เขาไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นช้อนตัวเหลิ่งรั่วปิงขึ้นมาแล้วเดินออกไป สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ในวันนี้มู่เฉิงซีจะเป็นคนสืบทุกอย่างเอง เขาไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือพาเหลิ่งรั่วปิงกลับวิลล่า พาเธอไปล้างเลือดที่เปื้อนเต็มตัว
หนานกงเยี่ยวางเหลิ่งรั่วปิงลงตรงที่นั่งข้างคนขับ เขาขับรถกลับวิลล่าด้วยตนเอง
บนรถ เหลิ่งรั่วปิงถามเสียงเรียบเฉย “คุณรู้ไหมคะว่าเป็นฝีมือใคร”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ ธุรกิจของตระกูลหนานมีมานานกว่าสี่ร้อยปี เรามีศัตรูมากมาย มู่เฉิงซีเป็นตำรวจที่คอยตามจับผู้ร้าย เขาเองก็มีศัตรูมากมาย ผมไม่รู้ว่าพวกที่มาวันนี้ต้องการแก้แค้นผมหรือมู่เฉิงซี เรื่องนี้ต้องสืบกันต่อ” มีความเป็นไปได้ที่จะมีคนว่าจ้างชายชุดดำพวกนี้มาเอาชีวิตเขา และมีความเป็นไปได้ที่พวกของคนร้ายต้องการมาแก้แค้น
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไร เรื่องแบบนี้เธอเคยเจอมามากแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
หนานกงเยี่ยยื่นมือออกไปจับมือของเหลิ่งรั่วปิง มือของเธอเย็นเฉียบ มันทำให้เขารู้สึกปวดใจ “ผมทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย”
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ “ผู้หญิงของหนานกงเยี่ย เวลาที่ดื่มด่ำกับอำนาจและเงินทอง ต้องพร้อมยอมรับกับอันตรายที่ต้องแลกมาด้วย ฉันโอเคกับเรื่องนี้”
นับตั้งแต่เจออวี้หลานซี เธอเงียบและนิ่งมาก การคุยกันโดยที่เธอไม่สร้างกำแพงขึ้นมากั้นตลอดครึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาได้หายไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้หนานกงเยี่ยรู้สึกทรมาน
“คุณโทษผม?”หนานกงเยี่ยจับมือของเธอแน่น
เหลิ่งรั่วปิงนิ่งเฉย เธอไม่ได้มีท่าทีอะไร “คุณหนานกงคิดมากเกินไปแล้วค่ะ ฉันก็แค่หนึ่งในผู้หญิงมากมายของคุณ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ฉันไม่มีสิทธิ์โทษคุณหรอก”
หนานกงเยี่ยเหยียบเบรก เขาหันไปมองหน้าเธอ “คุณต้องทำแบบนี้กับผมจริงๆหรอ”
เหลิ่งรั่วปิงมองตรงไปด้านหน้า เพิกเฉยกับท่าทีของหนานกงเยี่ย “ฉันเพิ่งฆ่าคนไป ตอนนี้ฉันรู้สึกดาวน์มาก ฝืนยิ้มไม่ได้จริงๆ ถ้าคุณหนานกงอยากจะให้ฉันยิ้ม คุณรอวันพรุ่งนี้แล้วกันนะคะ”
หนานกงเยี่ยมองดูเธอเงียบๆ จนสุดท้ายเขาก็หันหน้ากลับแล้วขับรถออกไป
ผู้หญิงที่เขาเคยดูแลมีไม่เยอะ นับๆ ดูแล้วมีแค่สามคน เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนที่สี่ เธอพูดตั้งแต่แรกว่าตนเองเป็นแค่ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องการให้เธอเป็นแค่คนที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าเธอจะยิ้มหรือเย็นชาหรือแม้แต่จะโกรธก็ดี เขาล้วนไม่อยากปล่อยเธอไป
กลับไปถึงวิลล่าหย่าเก๋อ หนานกงเยี่ยยังคงเงียบ เขาอุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเป่าผมให้เธอ พร้อมเปลี่ยนชุดนอนให้ จากนั้นห่มผ้าให้กับเธอ หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เขาก็ลุกไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดนอน ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วสวมกอดเธอเอาไว้
เธอนอนหันหลังให้เขาตลอด เขาเองก็ไม่ได้บีบบังคับเธอ ทำเพียงแค่กอดเธอเอาไว้ เอาหน้าซบลงบนแผ่นหลัง พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “รั่วปิง ถ้าผมจะบอกว่าตอนที่เสียงปืนดังขึ้น คนแรกที่ผมคิดถึงคือคุณ คุณจะเชื่อผมไหม”
ขนตาวอนยาวของเหลิ่งรั่วปิงขยับเล็กน้อย เธอไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญเลยสักนิด
“หลานซีเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลหนาน ตระกูลหนานติดค้างเธอด้วยชีวิตของคนสองคน ผมกับเธอโตมาด้วยกัน เธอเป็นเหมือนญาติของผม ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้มีพระคุณหรือในฐานะญาติ ผมมีหน้าที่ต้องปกป้องเธอ คุณเองก็เป็นคนที่ผมอยากปกป้อง ในช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนั้น คุณสามารถดูแลตนเองได้ แต่เธอกลับบอบบาง ผมจึงต้องเลือกที่จะปกป้องเธอ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สำคัญ ตอนที่คุณหายไป ผมรู้สึกกลัวจนอยากจะฆ่าตัวตาย” หนานกงเยี่ยที่ไม่เคยอธิบายอะไรให้ใครฟังมาก่อน คืนนี้เขากลับพูดกับเธอมากมาย เพียงเพราะกลัวเธอจะไปจากเขา
สีหน้าของเคร่งขรึมของเหลิ่งรั่วปิงคลายลงไปมาก ร่างกายของเธอก็เหมือนกัน กำแพงที่เธอสร้างขึ้นมาค่อยๆ ทลายลงไป เธอเชื่อว่าตอนที่เขาไม่เจอเธอ เขารู้สึกกลัวมาก เพราะตอนที่เขากอดเธอเอาไว้นั้น ตัวของเขาสั่นเทา
หนานกงเยี่ยรู้ว่าเธอหายโกรธแล้ว เขาดีใจมาก จากนั้นหมุนตัวเธอให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา หนานกงเยี่ยค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เธอ หน้าผากและจมูกของทั้งสองชนกัน จนสุดท้ายเขาก้มหน้าลงมาจูบริมฝรปากเย็นเฉียบของเธิ
ชุดนอนของทั้งคู่ค่อยๆ ถูกถอดทิ้ง…