เล่มที่ 3 บทที่ 85 ราคาของความโอหัง

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ป๋าวซ่าวยกมือขึ้นลูบไล้รอยเย็บปักถักร้อยอย่างประณีตด้วยความสนใจ เมื่อหลายวันก่อนวังหลวงนำชุดสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงมาส่งให้

    ทว่าป๋ายจีที่ได้ลูบไล้ชุดเหล่านั้นดูแล้วกลับรู้สึกว่าฝีมือการถักไม่ได้เรื่อง สู้นางถักเองจะยังดีกว่า

    หลินเมิ้งหยาทำเพียงมองด้วยความสนใจ ก่อนจะสั่งให้ป๋ายจีทอผ้าขึ้นใหม่อีกหนึ่งผืน

    คิดไม่ถึงเลยว่าสาวใช้คนนี้จะรีบลงมือทำในทันที อีกทั้งยังทำออกมาจนสำเร็จ

    “ฝีมือข้าหาได้ดีอย่างที่พวกเจ้าชมไม่ ขอเพียงนายหญิงไม่รังเกียจก็เพียงพอแล้ว”

    ใบหน้าของป๋ายจีแดงระเรื่อ ก่อนจะตอบคำถามเชิงเขินอาย

    หลินเมิ้งหยายิ้มขณะมองป๋ายจี หลังจากนั่งทอผ้าหลายวันติดต่อกัน ดวงตาของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ

    “เจ้านี่หนา อย่าได้ถ่อมตัวไปเลย นับตั้งแต่วันที่เจ้าเข้ามาอยู่กับข้า เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนเป็นเจ้าที่เข้าไปดูแล แม้แต่ข้ายังรู้สึกสบายกว่าแต่ก่อนมาก”

    สาวใช้ทั้งสามกลายเป็นคนสนิทของนางไปแล้ว

    ป๋ายจีละเอียดรอบคอบ ดังนั้นเรื่องเย็บปักถักร้อย ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าล้วนเป็นนางที่จัดการดูแล

    ป๋ายซ่าวใจกล้าบ้าบิ่น สดใสซื่อตรง นางคอยคุ้มกันดูแลทรัพย์สมบัติส่วนตัวของหลินเมิ้งหยา อีกทั้งยังเป็นคนคอยดูแลสาวใช้ในจวนอีกด้วย

    ป๋ายจื่อถนัดเรื่องของกิน แต่ถึงกระนั้นนางกลับจริงใจกว่าใครทั้งหมด นางเป็นผู้ควบคุมดูแลอาหารที่หลินเมิ้งหยากินในแต่ละวัน

    เมื่อมีสาวใช้ทั้งสามอยู่ หลินเมิ้งหยาจึงมิต้องกังวลว่าจะมีคนนอกเข้ามาย่ำกรายในตำหนักหลิวซินของนาง

    “ไม่ใช่หรืออย่างไรเล่า! พี่ป๋ายจีดีที่สุด แม้แต่รองเท้าของข้ากับป๋ายซ่าวเองก็เป็นพี่ป๋ายจีที่ทำให้”

    ป๋ายจื่อยกถ้วยโจ๊กธัญพืชเข้ามาวางลงบนโต๊ะ

    “ถึงข้าจะดีอย่างไรก็คงไม่อาจเทียบได้กับเหอเถาซู1ของเจ้า นายหญิงเจ้าคะ ช่วงนี้ป๋ายจื่อตะกละมากจริงๆ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันหนู่ปี้ฉันวัดตัวนางเพื่อเตรียมตัดชุดสำหรับฤดูหนาว เฮ้อ เกรงว่าจะต้องเพิ่มขนาดแล้ว”

    ป๋ายจีเคาะศีรษะของป๋ายจื่อ ทุกคนจึงพากันหัวเราะ

    หลินจงอวี้ยืนอยู่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือเพื่อฝึกเขียนตัวอักษร ร่างที่สั่นไหวเพราะอาการหัวเราะทำให้น้ำหมึกกระเซ็น

    “พวกเจ้าหัวเราะข้าเหรอ ฮึ! ต่อไปนี้ข้าจะไปเปลี่ยนเอาของอร่อยมาให้พวกเจ้าแล้ว!”

    ป๋ายจื่อหน้านิ่วคิ้วขมวด แสร้งโมโห

    แม้เมื่อก่อนนางจะเคยระแวดระวังพี่สาวทั้งสองคนนี้

    ทว่าหลังจากได้อยู่ด้วยกันมานาน นางจึงใช้ใจแลกใจ

    “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราไม่หัวเราะเจ้าแล้ว คืนนี้ป๋ายซ่าวจงเข้าวังกับข้า เสี่ยวอวี้ เจ้าจะไปด้วยหรือไม่?”

    การเข้าวังหาใช่เรื่องดี เหตุเพราะต้องเจอทั้งฮองเฮาและไท่จื่อ

    ทว่าเสี่ยวอวี้จำต้องเดินบนเส้นทางของเหล่าขุนนาง ดังนั้นนางจึงอยากใช้โอกาสนี้พาเขาไปทำความรู้จักกับผู้อื่น

    “ไปแน่นอนขอรับ คนพวกนั้นล้วนอยู่ที่นั่น ข้ากลัวพวกเขาจะรังแกพี่สาว”

    เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ทว่าอุปนิสัยของเสี่ยวอวี้เปลี่ยนไปมาก

    จะพูดว่าอย่างไรดีนะ เมื่อก่อนเสี่ยวอวี้มิต่างอะไรจากจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เขามักจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น

    ทว่าช่วงนี้หลินเมิ้งหยาพบว่า จิ้งจอกน้อยตนนั้นเปลี่ยนเป็นคนที่นางพอจะพึ่งพาอาศัยได้แล้ว

    เขาปฏิบัติทุกคนอย่างมีมารยาท คำพูดคำจาหวานหยดย้อย หากใครหาเรื่องเขาหรือทำไม่ดีกับเขาแล้วละก็ เขาจะโต้กลับอย่างไม่ไว้หน้า

    เดือนนี้เจียงหรูฉินถูกเล่นงานไปนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนหลินจงอวี้กลับไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ดูท่าเด็กคนนี้ได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว

    “ได้ เช่นนั้นคืนนี้พวกเราเข้าวังด้วยกัน”

    ทันทีที่เปลวเทียนถูกจุด หลินเมิ้งหยานั่งลงบนรถม้าของจวนอวี้ พร้อมทั้งพาสาวใช้และเสี่ยวอวี้เข้าวัง

    เหตุเพราะเป็นงานเลี้ยงระดับประเทศ ดังนั้นหลงเทียนอวี้และพระสนมเต๋อเฟยได้ล่วงหน้าเข้าวังไปก่อนแล้ว

    ด้านหลังคือรถม้าของจวนเจิ้นหนานโหว หลินเมิ้งหวู่และซ่างกวนฉิงนั่งอยู่ภายใน

    “นายหญิง เหตุใดฮูหยินหลินและคุณหนูรองจึงต้องไปร่วมงานเลี้ยงในคราวนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?”

    ช่วงนี้ซ่างกวนฉิงสงบเสงี่ยมขึ้นมาก แม้วันนั้นพระสนมเต๋อเฟยจะโกรธเกรี้ยวนางสักเพียงไหน

    แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ไล่นางไป ทว่าสองแม่ลูกกลับหมกตัวอยู่แต่ในเรือนไม่ยอมออกไปไหน มิรู้ว่ากำลังปรึกษากันเรื่องอะไร

    “นางเป็นฮูหยินของเจิ้นหนานโหว เมื่อท่านพ่อไม่อยู่ ดังนั้นนางจึงต้องไปเป็นตัวแทน”

    หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น รู้สึกเสมอว่าทุกที่ที่มีสองแม่ลูกคู่นี้อยู่ ที่นั่นจะต้องมีกลอุบายแอบซ่อนเอาไว้

    “แต่หนู่ปี้ยังมีเรื่องไม่เข้าใจเจ้าค่ะ ท่านโหวเป็นถึงขุนนางชั้นหนึ่ง เหตุใดตำแหน่งของฮูหยินจึง…?”

    หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มก่อนจะตอบ

    “ตอนนั้นท่านพ่อของข้าถูกบังคับให้แต่งกับนาง ก่อนแต่งงานท่านพ่อเคยพูดเอาไว้ว่าฮูหยินของเจิ้นหนานโหวจะมีได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ต่อให้ซ่างกวนฉิงเข้ามาอยู่ในจวน แต่นางจะมิได้เข้ามาเป็นฮูหยินอันดับหนึ่ง ดังนั้นนางจึงมิได้ถูกเลื่อนบรรดาศักดิ์”

    อันที่จริงเรื่องนี้เปรียบเสมือนการดูถูกเหยียดหยามซ่างกวนฉิงอย่างถึงที่สุด

    ทว่าผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจ ต่อให้ตายอย่างไรก็อยากแต่งงานกับท่านพ่อ

    พฤติกรรมของนางช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ

    “เพราะเหตุนี้คนที่จวนจึงเรียกนางแต่เพียงฮูหยิน แต่มิเรียกว่าฮูหยินของท่านโหวสินะเจ้าคะ”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ตอนนั้นท่านพ่อหลงรักท่านแม่ของนางหัวปักหัวปลำ

    ส่วนซ่างกวนฉิง อันที่จริงแทบจะไม่ได้รับความสนใจใดๆ เลย

    ขณะเดียวกันในรถม้าของจวนเจิ้นหนานโหว หลินเมิ้งหวู่จับจ้องเสื้อผ้าหรูหราโดดเด่นของตนเอง

    “ท่านแม่ ฮองเฮามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่? แต่ก่อนข้าเคยร้องขอชุดผีเสื้อโบยบินชุดนี้นานกว่าครึ่งปี ทว่าพระองค์ทรงไม่พระราชทานให้แก่ลูก หรือวันนี้ที่ให้มาก็เพราะต้องการให้ข้าแต่งงานกับองค์ชายรัชทายาทเช่นนั้นหรือ?”

    สีหน้าของซ่างกวนฉิงเคร่งขรึม คิดไม่ถึงเลยว่าท่านพี่จะเตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้ว

    ทำร้ายหลินเมิ้งหยาไม่สำเร็จ จากนั้นเปลี่ยนความสนใจมาที่หวู่เอ๋อร์แทน

    แต่ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว นางคงทำได้เพียงรอแก้ปัญหาทีละก้าว

    “วางใจเถิดหวู่เอ๋อร์ แม่ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าไปดูตัวอย่างแน่นอน ชุดนี้มิมีทางมิมีความหมายอันใด”

    มองดูลูกสาวที่ตนรักประหนึ่งไข่ในหิน ซ่างกวนฉิงอยากพาลูกสาวกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้

    หวู่เอ๋อร์ของนางเป็นเด็กสาวที่มีรูปร่างหน้าตางดงาม แล้วแบบนี้จะยอมปล่อยให้นางไปอยู่ไกลถึงซีฟานได้อย่างไร?

    เดินผ่านประตูจัดงานเลี้ยงเข้ามา ทุกคนต่างพากันทยอยเข้าวัง

    แต่เพราะหลินเมิ้งหยาเป็นพระชายา ดังนั้นจึงมีเกี้ยวเล็กๆ มารอรับอยู่ด้านหน้าพระราชวัง

    “เชิญพระชายาอวี้…”

    เสียงของขันทีดังขึ้น หลินเมิ้งหยาเข้าไปนั่งในเกี้ยว ก่อนจะถูกขันทีสองคนยกเข้าวังหลวงไป

    แม้ว่าฮ่องเต้จะยังประชวรไม่หายดี แต่ถึงอย่างนั้นวังหลวงก็ยังประดับโคมไฟหลากสีสันสวยงาม

    ทุกคนล้วนถูกพาเข้าไปภายในงาน หลินเมิ้งหยาเพิ่งเดินเข้ามา ดังนั้นจึงมิได้เป็นจุดสนใจแต่อย่างใด

    ถึงอย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นชายาอวี้ อีกทั้งยังพ่วงด้วยตำแหน่งลูกสาวสกุลหลินผู้มีสติฟั่นเฟือน

    มิมีใครรู้เลยว่าหญิงสาวรูปร่างหน้าตางามสง่าคนนี้คือพระชายาอวี้ผู้นั้น

    “ได้ยินหรือเปล่า? ท่านอ๋องพานังบ้านั่นมาด้วยล่ะ!”

    หลินเมิ้งหยาพาป๋ายซ่าวไปยังมุมหนึ่งแล้วนั่งลง

    อันที่จริงตำแหน่งที่นั่งของนางค่อนข้างโดดเด่น อีกทั้งที่ตรงนี้ยังมีชายาโฉมงามของฮ่องเต้นั่งอยู่สองสามคน

    นางไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจ ทว่าทันทีที่นั่งลง นางกลับได้ยินคนซุบซิบนินทาเรื่องของตนเอง

    “จริงหรือ! น่าเสียดายท่านอ๋องผู้งามสง่า ไม่น่าอภิเษกกับหญิงโง่เขลาเช่นนั้นเลย”

    มิรู้ว่าฮูหยินจากสกุลไหนที่กำลังแอบนินทาท่านอ๋องอวี้

    หลินเมิ้งหยาทำเพียงยิ้มแล้วสดับฟัง

    ตอนนี้สงบเสงี่ยมก่อนสักหน่อย อีกเดี๋ยวถ้าต้องออกไปค่อยทำให้พวกนางตกตะลึงเล่นจะดีกว่า

    เมื่อถึงเวลานั้น มิรู้ว่าจะมีดวงตาและริมฝีปากสักกี่คู่ที่ต้องชะงักค้าง หรือใบหน้าของใครจะแหลกละเอียดจนเก็บไม่หมดหรือไม่

    “ข้าได้ยินมาว่าเจิ้นหนานโหวใช้ความดีความชอบทางการทหารของเขา ทำให้นางได้อภิเษกสมรสกับท่านอ๋อง ได้มีพ่อเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามดีเยี่ยงนี้นี่เอง หากข้าเองก็เป็นบุตรสาวของเจิ้นหนานโหว ป่านนี้ข้าก็คงได้เป็นชายาขององค์ชายเช่นกัน”

    พวกผู้หญิงมักชอบติฉินนินทาเป็นที่สุด

    หลินเมิ้งหยากดตัวป๋ายซ่าวที่คิดจะเข้าไปสั่งสอนพวกนางเอาไว้ นางแสร้งยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย จากนั้นก้มหน้าจิบชา

    ขณะที่กำลังสดับรับฟังเสียงติฉินนินทา ร่างของหลินเมิ้งหวู่พลันปรากฏขึ้น

    บางทีซ่างกวนฉิงอาจถูกฮองเฮาเรียกไปพบ หลินเมิ้งหวู่จึงอยู่เพียงลำพัง

    เดินผ่านประตูเข้ามา มองหาที่นั่ง สายตาพลันสะดุดอยู่ที่ที่นั่งสะอาดสะอ้านและถูกจัดเรียงเป็นแถวเอาไว้ นางเดินเข้าไปนั่งลงยังตำแหน่งของหลินเมิ้งหยาโดยไม่คิด

    ขณะนี้ สายตาของเหล่าฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายพลันมองนางด้วยความสงสัย

    “ขออภัยคุณหนู นี่คือตำแหน่งที่นั่งของพระชายาอวี้ ที่ของท่านคือทางนั้น…”

    ขันทีที่รับหน้าที่ดูแลงานรีบเข้ามาเอ่ยอย่างมีมารยาท

    หลินเมิ้งหวู่อารมณ์ไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดวงตาขึงขังพลางส่งเสียงเอาแต่ใจ

    “ฮึ ชายาอวี้ ข้าจะนั่งตรงที่นั่งของนาง ขนาดนางยังไม่ว่า แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไร!”

    เพียงประโยคเดียว สีหน้าของขันทีพลันเปลี่ยนไป

    ครุ่นคิด คนที่นี่ล้วนเป็นบรรดาลูกหลานของเหล่าขุนนางชั้นสูง บางทีนางอาจจะกลายเป็นพระชายาในอนาคต เขาควรจะมองข้ามเรื่องนี้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่

    ทว่าหลังจากที่ออกไป หญิงสาวที่สวมใส่ชุดของพระราชวังต่างพากันชักสีหน้า

    “คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน เหตุใดจึงกล้านั่งตำแหน่งเดียวกับพวกเรา?”

    หญิงสาวเหล่านั้นล้วนเป็นหญิงสาวขององค์รัชทายาท

    ในนั้นมีชายารองอยู่หลายคน ทว่าบางคนก็มีตำแหน่งสูงกว่า

    แม้ชุดที่หลินเมิ้งหวู่สวมใส่จะหรูหรา แต่นางหาใช่ชายาขององค์ชาย แต่เพราะความเอาแต่ใจ นางจึงได้นั่งลงที่ตำแหน่งนั้น

    “เจ้าพูดอะไร? ถ้าอยากมีเรื่องก็พูดอีกรอบ!”

    หลินเมิ้งหวู่กลับไม่ระงับอารมณ์ของตนเอง เหตุเพราะนางมีความโกรธในใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นนางจึงไม่ยอมลุกขึ้น

    ตอนอยู่ที่จวน นางเคยชินกับการแสดงท่าทีหยิ่งยโสโอหัง ทว่าแขกเหรื่อที่นี่ล้วนเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นหัวนาง

    “ข้าพูดถึงเจ้านั่นแหละ ดูจากลักษณะท่าทางของเจ้าแล้ว เกรงว่าจะหลงรักท่านอ๋องอวี้ใช่หรือไม่? น่าเสียดาย ท่านอ๋องอวี้ทำดีกับพระชายาผู้โง่เขลาของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนเจ้า…ฮึ เทียบไม่ได้แม้แต่คนโง่”

    ท่ามกลางคนเหล่านั้น หญิงสาวสวมใส่ชุดสตรีชาววังสีแดงเอ่ยออกมาอย่างไม่ไว้หน้า

    ขณะเดียวกัน เปลวไฟในหัวใจของหลินเมิ้งหวู่พลันถูกจุดขึ้น มันคือเพลิงพิโรธของความอิจฉาริษยา

    “วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้า ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรที่ควรพูด อะไรไม่ควรพูด”

    หลินเมิ้งหวู่โกรธจนแทบบ้า ก่อนจะพุ่งตัวไปทางหญิงสาวคนนั้น

    แต่ใครจะรู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นหาใช่คนที่จะเข้ามาทำให้นางขุ่นเคืองได้ง่ายๆ ท่วงท่าสี่ตำลึงปาดพันชั่งถูกนำมาใช้ หลินเมิ้งหวู่พลันร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างน่าเวทนา

    ครู่ต่อมาชุดของนางพลันยับยู่ยี่ ผมเผ้ารุงรัง ความงดงามหายวับไปกับตา

    หลินเมิ้งหยาแอบอยู่ในฝูงชน ฉีกยิ้มกว้างประหนึ่งดอกไม้เบ่งบาน

    สนุกชะมัด!

***********************

1 เหอเถาซูคือคุกกี้วอลนัท