เล่มที่ 3 บทที่ 86 ข้าคือชายาอวี้

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลินเมิ้งหวู่เป็นเพียงคุณหนูชนชั้นสูงและถูกเลี้ยงดูมาดั่งไข่ในหิน ไฉนเลยจะเป็นคู่ปรับกับชายาขององค์ชาย

    ทุกคนล้วนรอดูอะไรสนุกๆ ดังนั้นจึงเข้ามาห้อมล้อมทั้งสองเอาไว้

    “เคยได้ยินมาว่าชายารองขององค์ชายแปดเก่งกาจเหนือคน ได้เห็นกับตาจริงๆ ก็วันนี้นี่แหละ”

    “นั่นน่ะสิ ได้ยินมาว่าชายารองขององค์ชายแปดเป็นลูกสาวของฮู่กว๋อกง1แห่งสกุลหยาง อารมณ์ของนางมิต่างอะไรจากพระบิดาเลย!”

    ฮู่กว๋อกงแห่งสกุลหยาง? หลินเมิ้งหยาเหลือบตาขึ้นมองดูสาวงามที่หลินเมิ้งหวู่พลั้งมือไปหาเรื่องด้วย

    สกุลหยางมีวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ร่วมกันสร้างประเทศขึ้น และมีเพียงเจ้าตระกูลของสกุลหยางเท่านั้นที่ผ่านสงครามมาถึงสามรัชสมัย

    ชายารองสกุลหยางผู้นี้เป็นหลานสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของเจ้าตระกูลหยาง นางมีความหยิ่งยโสมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังมีอาจารย์สอนศิลปะการป้องกันตัวมาสอนวิชาการต่อสู้ให้กับนางตั้งแต่เล็กแต่น้อย ดังนั้นร่างกายของนางจึงค่อนข้างแข็งแรง

    อีกทั้งสถานะของนางยังค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นแม้แต่ไท่จื่อและฮองเฮายังต้องเกรงใจ สาเหตุที่องค์ชายแปดแต่งงานกับชายารองผู้นี้ อาจเพราะต้องการจะรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้

    เกรงว่าหลินเมิ้งหวู่จะตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว

    แม้ป๋ายซ่าวจะมีฝีมือในการต่อสู้อยู่บ้าง แต่นางมิอาจเทียบได้กับฝีมือของชายารองผู้นั้น

    ราวกับมิได้สนใจว่าตนเองเป็นชายารอง ดังนั้นสายตาเกือบยี่สิบคู่จึงจับจ้องมาทางนาง

    ทั้งตบตี ทั้งด่าทอ

    “ยังจะปากดีกับข้าอีกหรือ พูดออกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าเป็นผู้ผิด! นังแพศยา จะไม่พูดใช่หรือไม่! เช่นนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”

    มิใช่ว่าหลินเมิ้งหวู่พยายามดึงดัน แต่เพราะนางไม่อาจส่งเสียงให้ชัดเจนได้

    เหตุเพราะใบหน้าของนางถูกตบตีจนบวมเป่ง แม้แต่ริมฝีปากก็อ้าไม่ออก

    “จะตายหรือไม่เจ้าคะ?”

    ป๋ายซ่าวแอบกระตุกชายเสื้อหลินเมิ้งหยา แม้การได้เห็นคุณหนูรองถูกตบตีจะเป็นเรื่องน่าสนุก แต่นางไม่อาจแสดงท่าทีผ่อนคลายได้อย่างหลินเมิ้งหยา

    “กลัวอะไร? ดูนั่น มีคนมาแล้วนั่นไง”

    ขณะที่พูด ขันทีผู้รับผิดชอบดูแลงานสองสามคนเดินเข้ามา

    ดูสถานการณ์ สุดท้ายเอ่ยโน้มน้าวให้ชายารองสกุลหยางปล่อยหลินเมิ้งหวู่ไปสักครั้ง

    บางทีชายารองสกุลหยางอาจคำนวณเอาไว้ก่อนแล้ว มิเช่นนั้น ขันทีคนนั้นคงไม่ปล่อยให้นางตบตีจนพอใจก่อนจะปรากฏตัวออกมาห้าม

    ช่างเป็นชายารองที่ใจกล้าบ้าบิ่นเสียจริง ดูท่าชีวิตขององค์ชายแปดคงไม่ต่างอะไรจากการตกนรกทั้งเป็น

    “งานเลี้ยงตระเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกท่านได้โปรดตามหนู่ฉายมาเถิด”

    ครู่ต่อมา มีขันทีจำนวนหนึ่งเข้ามาเชิญทุกคนเข้าไป

    หลินเมิ้งหยาเดินตามหลังฝูงชน นางมิได้เปิดเผยตัวตน

    มีบางคนสงสัยจึงเข้ามาถามว่านางเป็นฮูหยินของสกุลไหน ทว่าหลินเมิ้งหยากลับทำเพียงยิ้มและเดินผ่านไป

    งานเลี้ยงจัดขึ้นที่ตำหนักหยวนซาน

    หลินเมิ้งหยาได้ยินเสียงต้นไผ่ลู่ลมไกลๆ

    กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศและเหล้าชั้นยอดโชยออกมา สายลมเย็นยามค่ำคืนอาบชโลมร่างจนผู้มาร่วมงานรู้สึกเมามาย

    ฮูหยินและคุณหนูทุกคนล้วนเข้าไปนั่งยังตำแหน่งของตนเอง มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่ยังยืนอยู่หน้าประตู ท่าทางสง่างามทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจ

    “ฮูหยินท่านนี้ ไม่ทราบว่าฟู่จวินของท่านคือ?”

    เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นฮูหยินหน้าตาสวยสดงดงาม แม้แต่ขันทียังรู้สึกเกรงใจ มองซ้ายมองขวา มิมีฮูหยินคนไหนเลยที่จะงดงามเทียบเทียมนางได้

    “ข้าคือ…”

    “ท่านนี้คือชายาของข้าหลินเมิ้งหยา”

    ยังไม่ทันที่หลินเมิ้งหยาจะได้พูดออกไป เสียงทุ้มต่ำพลันร้องขัดขึ้น ขันทีรู้สึกราวกับถูกไฟช็อต สายตาจ้องมองพระชายาผู้งดงามตรงหน้า

    นี่…นี่คือพระชายาโง่เขลาที่ถูกโจษจันกระนั้นหรือ?

    “ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมาที่นี่ได้หรือเพคะ?”

    หลงเทียนอวี้สวมใส่ชุดสีขาว บนเสื้อปักดิ้นทองลายมังกรสี่กรงเล็บ เส้นผสยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นเป็นมวย อีกทั้งยังประดับมงกุฎสีทองเอาไว้

    ร่างกำยำสูงยาว ใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ แม้จะอยู่ในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยเหล่าราชนิกุล แต่เขามิได้ด้อยไปกว่าใครเลย

    อีกทั้งยังแย่งความโดดเด่นจากทุกคนไปอีกด้วย

    เห็นหลินเมิ้งหยายืนอยู่หน้าประตูมิพูดมิจา เขาจึงละทิ้งแขกที่ต้องคอยต้อนรับแล้วเข้ามารับพระชายาผู้เลอโฉมของเขา

    “ชายาอวี้เสด็จ…”

    ขันทีรีบส่งเสียงร้องผ่านลำคอ เสียงนี้ดึงดูดสายตาของผู้คนในงานให้หันมามอง แววตาของพวกเขาล้วนเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

    ท่ามกลางสายตาของทุกคน หลงเทียนอวี้ยื่นมือเข้าไปกุมมือของหลินเมิ้งหยาและพาเดินมายังที่นั่งของทั้งคู่

    พระสนมเต๋อเฟยมองดูลูกชายและลูกสะใภ้พร้อมทั้งรอยยิ้ม เหล่าฮูหยินที่ตั้งหน้าตั้งตารอหัวเราะเยาะเย้ยต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

    สวรรค์โปรด มิใช่ว่าลูกสะใภ้ของพระสนมเต๋อเฟยเป็นหญิงสาวโง่เขลาสติฟั่นเฟือนกระนั้นหรือ? เหตุใดจึงมิเหมือนตามคำเล่าลือเลยแม้แต่น้อย?

    “ไท่จื่อและฮองเฮายังไม่มา หลังจากเจ้าไปถวายคำนับหมู่เฟยแล้วก็กลับมานั่งที่เดิม”

    หลงเทียนอวี้กระซิบเสียงเบาที่ข้างใบหูของหลินเมิ้งหยา การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้ทุกคนล้วนรู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

    คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องอวี้และพระชายาอวี้จะรักใคร่ให้เกียรติกันมากถึงเพียงนี้ ขณะเดียวกันการคาดเดาไร้สาระต่างๆ นานาต่างถูกตีตกไป

    “ถวายคำนับหมู่เฟย ถวายคำนับเหนียงเหนียงทุกพระองค์เพคะ”

    จากการถวายตัวเข้าวังคราวก่อน หลินเมิ้งหยารู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าของพระสนมทั้งหลายบ้างแล้ว

    ทว่าหลังจากที่พวกนางได้เห็นแววตาเปล่งประกายเปี่ยมไปด้วยความสุขของพระสนมเต๋อเฟย ทุกคนอดไม่ได้ที่จะอิจฉาพระนางที่มีลูกชายที่ดีและลูกสะใภ้ที่น่ารัก

    “อืม เจ้าเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถิด”

    พระสนมเต๋อเฟยพยักหน้าลง สีหน้าแววตายิ้มแย้มแจ่มใส

    ชำเลืองมองเหล่าชายาและคุณหนูทั้งหลาย

    ลูกสะใภ้ของนางโดดเด่นเกินกว่าใครทั้งหมด

    แม้แต่ชายาของไท่จื่อเองก็มิอาจเทียบได้กับลูกสะใภ้ของตนเอง มิรู้ว่าอีกเดี๋ยวฮองเฮาจะกระอักเลือดขนาดไหน

    หลินเมิ้งหยากลับไปยังตำแหน่งที่นั่งของตนเอง ทว่าหลงเทียนอวี้เดินอาดๆ เข้ามา คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

    “ท่านอ๋อง? เป็นอะไรหรือเพคะ?”

    หลินเมิ้งหยากระซิบถาม

    “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่าฮ่องเต้หมิงต้องการคัดเลือกชายาให้กับองค์ชาย ฮองเฮาได้แอบวางแผนส่งรูปไปให้ล่วงหน้า ได้ข่าวมาว่าฮ่องเต้หมิงพึงพอใจเป็นอย่างมาก และกำลังตระเตรียมการที่จะสานสัมพันธ์กับต้าจิ้น”

    หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้ว ย่อยข้อมูลที่ตนเองเพิ่งจะได้รับ

    ทำการสานสัมพันธ์ปรองดองกันในเวลานี้ เกรงว่าที่ทำไปคงเพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้กับไท่จื่อสินะ

    “ใครคือผู้ถูกเลือกหรือเพคะ? มีความเป็นไปได้หรือไม่?”

    หากฮองเฮาทำสำเร็จ เกรงว่าจะมิต่างอะไรจากการฝากเนื้อไว้กับเสือ

    ฮ่องเต้หมิงแห่งซีฟานจะยอมให้ถูกหลอกเช่นนั้นหรือ?

    “หลินเมิ้งหวู่”

    หลงเทียนอวี้เป็นกังวลเล็กน้อย แม้เขาจะแต่งงานกับหลินเมิ้งหยา แต่อำนาจของสกุลหลินมิได้อยู่ในมือของเขาทั้งหมด

    หลินเมิ้งหวู่เป็นลูกสาวของหลินมู่จือ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้รับการดูแล

    ทว่าแม้เขาจะพูดเช่นนี้ออกมา ทว่าชายาของเขากลับไร้ซึ่งท่าทีร้อนใจ แต่นางกลับเผยรอยยิ้มผิดปกติออกมา

    “หรือเจ้าจะมีแผนการรับมือเอาไว้แล้ว?”

    ไม่มีทาง แม้หลินเมิ้งหยาจะฉลาด แต่ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ นางจะมีแผนรับมือได้อย่างไร?

    “รอดูก่อนเถิดเพคะ หลินเมิ้งหวู่ไม่มีทางได้เป็นลูกสะใภ้ของฮ่องเต้หมิงอย่างแน่นอน”

    หน้าถูกตบจนบวมเปล่งเหมือนหัวหมู ใครยังจะอยากได้ไปเป็นลูกสะใภ้กัน?

    โชคดีที่หลินเมิ้งหยาได้เห็นเหตุการณ์ทางด้านหน้าก่อนแล้ว มิเช่นนั้นนางคงได้ปวดหัวเช่นเดียวกับหลงเทียนอวี้

    “เจ้า…ตกลงมีแผนอะไรกันแน่?”

    ไม่รู้ว่าทำไม เพียงได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหลินเมิ้งหยา หัวใจของหลงเทียนอวี้เสมือนได้รับการปลอบโยน

    บางทีอาจเพราะทุกครั้งที่นางแสดงท่าทางเช่นนี้ จะต้องมีคนซวยอย่างแน่นอน

    หลินเมิ้งหยาทำเพียงยิ้มไม่พูดอะไร เรื่องพวกนี้หากพูดออกมาหมด คนฟังจะประหลาดใจได้อย่างไร?

    แขกเริ่มทยอยเข้ามาในตำหนักหยวนซานมากขึ้นเรื่อยๆ

    ทว่าสายตาทุกคู่ล้วนตกอยู่ที่นางทั้งสิ้น

    ยิ่งได้เห็นหลงเทียนอวี้คอยคุ้มกันนางไม่ห่างแม้เพียงก้าวเดียว ทุกคนยิ่งพากันประหลาดใจ

    แม้ริมฝีปากจะไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทว่าหัวใจของหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกปีติยินดีอย่างล้นเหลือ

    ตอนแรกคิดว่าหากมาร่วมงานเลี้ยงจะต้องถูกฮองเฮาและไท่จื่อทำให้ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเป็นแน่ แต่การได้เห็นภาพตรงหน้า…ช่างคุ้มค่าเหลือเกิน

    “ฮ่องเต้หมิงแห่งซีฟานเสด็จ…องค์ชายแห่งซีฟานเสด็จ…”

    เสียงร้องประกาศขึ้นสองครั้งดึงเอาความสนใจในตัวของหลินเมิ้งหยาจากไป

    หลงเทียนอวี้ลุกขึ้น เดินออกไปรับที่หน้าประตู

    รูปร่างของฮ่องเต้หมิงสูงใหญ่ แม้ใบหน้าจะมีริ้วรอย แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจละทิ้งความน่าเกรงขามไปได้

    โบกมือทักทายอย่างเกษมสำราญ ทว่าดวงตาตู่นั้นกลับเปล่งประกาย เขามิใช่คนที่จะต่อกรด้วยได้ง่ายๆ

    ทว่าหลังจากที่หลินเมิ้งหยาได้เห็นชายสองคนที่เดินตามหลัง นางอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง

    สวรรค์โปรด สองคนนั้นมิใช่…

    เดินอยู่ทางซ้ายมือของฮ่องเต้หมิงคือชายอายุน้อยสวมใส่ชุดสีเหลืองใบหน้าหล่อเหลา

    ทว่าสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับว่ามีใครบางคนติดหนี้แค้นเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

    ชายหนุ่มสวมชุดเสวียนยี่ที่อยู่ข้างกายเขากลับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์

    หลินเมิ้งหยาแอบส่งเสียงร้องในใจ

    ชายที่สวมใส่ชุดสีเหลือคือชายที่แย่งขนมป๋ายจื่อในวัดวันนั้น ส่วนชายที่ยืนอยู่ข้างเขาคือคนที่ลักพาตัวตนเองไป

    ทั้งสองคือองค์ชายแห่งซีฟานกระนั้นหรือ?

    ตอนนี้หลินเมิ้งหยารู้สึกตัวแล้วว่าตนเองได้ตกหลุมพรางของใครบางคนเข้าให้แล้ว

    “ท่านอ๋องอวี้เป็นคนละเอียดรอบคอบยิ่งนัก แต่ถึงอย่างนั้นเปิ่นหวังและองค์ชายก็ยังอดที่จะตกตะลึงกับงานเลี้ยงอันแสนยิ่งใหญ่แห่งนี้ไม่ได้”

    คำพูดของฮ่องเต้หมิงหาได้มีความหยิ่งยโสไม่

    คนที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่สามารถรับมือกับศัตรูได้อย่างใจเย็น

    หลินเมิ้งหยายืนอยู่ตรงที่นั่งของตนเอง สายตาพลันหันไปสบกับองค์ชายทั้งสองโดยบังเอิญ

    องค์ชายจมูกงองุ้มยังดี เพราะเขาทำเพียงสบตาแล้วแค่นยิ้มเย็นชา ก่อนจะเบือนหน้าหนีไป

    ทว่าองค์ชายที่แย่งกล่องขนมของป๋ายจื่อกลับสาวเท้าอาดๆ ตรงมาที่นาง

    “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นพี่สะใภ้สามที่ชิงหานเคารพนับถือและเล่าให้ฟังคนนั้น ข้าชื่อหูเทียนเป่ย เป็นองค์ชายรัชทายาทแห่งซีฟาน”

    พูดจบก็ส่งยิ้มให้หลินเมิ้งหยาจนเผยให้เห็นฟันเรียงสวยสีขาว

    หูเทียนเป่ย? องค์ชายรัชทายาท?

    “พี่ใหญ่ นางคือชายาของต้าจิ้น หรือว่าท่านเองก็ถูกใจนางเข้าให้แล้ว”

    ขณะที่กำลังสนทนา จู่ๆ เสียงยียวนกวนประสาทกลับดังขึ้น เมื่อหันหน้าไป หลินเมิ้งหยาได้เห็นใบหน้าขององค์ชายจมูกงองุ้ม

    “ลู่หนาน เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

    หูลู่หนาน? หลินเมิ้งหยาเลื่อนสายตาไปมองชายที่เคยลักพาตัวนางไป เขาผู้นี้คือองค์ชายแห่งซีฟานจริงๆ อย่างนั้นหรือ?

    “แต่ว่า…นางเปรียบเสมือนกุหลาบที่มีหนามแหลมคม หากพี่ใหญ่คิดจะเด็ดแล้วละก็ จะต้องดูก่อนว่าท่านมีความสามารถนั้นหรือไม่”

    สีหน้าของหลินเมิ้งหยาดำถมึงทึงทันที

    สองพี่น้องคู่นี้ไม่ถูกคอกัน อีกทั้งยังนำชื่อของนางมาล้อเล่น

    ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรออกมา บ่าบอบบางพลันถูกมือข้างหนึ่งโอบรัดเอาไว้

    “พวกท่านสองพี่น้องมาหาชายาของข้าด้วยเหตุอันใด?”

    หลินเมิ้งหยาหันหน้าไป ก่อนจะได้เห็นสีหน้าระแวดระวังของท่านอ๋องอวี้

    ตอนนี้ตัวละครมาครบแล้ว

************************

1 ฮู้กว๋อกง คือตำแหน่งหนึ่ง มีหน้าที่พิทักษ์อารักขาความสงบสุขของประเทศ