“นี่คือรายงานสถานการณ์การขายของร้านขายเสื้อผ้าครับ”

เครย์ลีบันส่งกระดาษปึกหนึ่งที่มีตัวหนังสือถูกเขียนไว้อย่างเป็นระเบียบให้เธอ

“และนี่คือชาร์ตแบ่งช่วงอายุของลูกค้าที่ซื้อของ กับแบบสำรวจคร่าวๆ ตามที่สั่งไว้ครับ”

มันคือเรื่องที่ฟีเรนเทียไหว้วานเครย์ลีบันเมื่อครั้งก่อน

ขอความร่วมมือจากคนที่แวะมายังร้านขายเสื้อผ้า แจ้งพวกเขาว่ากำลังมีกิจกรรมพิเศษ ถ้าตอบแบบสอบถามจะมอบริบบิ้นหรือกระดุมประดับเสื้อผ้าให้เป็นของแถม

ผู้คนที่รู้สึกเสียดายเมื่อต้องซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ ดูท่าทางจะถูกใจกับของแถมเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาสามารถเอาไปใช้ประดับตกแต่งได้ตามใจชอบ จึงให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี

“ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าผู้หญิงตามคาดครับ และอายุก็…อยู่ช่วงวัยสามสิบถึงสี่สิบปีเสียส่วนใหญ่”

“คงจะเป็นเพราะพวกผู้หญิงที่เคยตัดเย็บเสื้อผ้าเองที่บ้าน พอใจที่จะซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปมากกว่าครับ”

“ท่าทางคงจะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ อืม…”

ระหว่างที่เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เครย์ลีบันก็ยืนรออยู่นิ่งๆ ข้างกายเธอ

ไม่สิ ไม่ได้อยู่เฉย

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ข้างในนัยน์ตาที่ส่องประกายระยิบระยับคู่นั้น มันดูเหมือนกำลังเฝ้ารอลุ้นว่าเธอจะพูดอะไรออกมาอย่างไรอย่างนั้น

“เห็นว่าคราวนี้จะเปิดร้านสาขาใช่มั้ยคะ”

“ครับ กำลังสำรวจสถานที่ที่เหมาะสมในตลาดเดียวกันอย่างเฮลสล็อตอยู่ครับ”

“ท่านพ่อว่ายังไงบ้างคะ”

“ท่านแคลอฮันท่าทางกำลังยุ่งมาก เพราะต้องรับมือกับการดำเนินกิจการค้าขายของจริง…”

ก็นะ

คนที่เคยได้แต่อ่านหนังสือ จู่ๆ ต้องมาบริหารกิจการที่แสนจะยุ่งวุ่นวายขนาดนั้น คงไม่มีสติกันเลยทีเดียว

กว่าจะปรับตัวได้ คงต้องใช้เวลาพอควร

ฟีเรนเทียพยักหน้าพลางเอ่ยพูดกับเครย์ลีบัน

“ต่อให้เร่งด่วนแค่ไหน แต่ช่วยใส่ใจกับการตกแต่งทั้งภายในและภายนอก ให้หรูหราเหมือนกับสาขาหลักด้วยนะคะเราจะต้องเลี่ยงภาพลักษณ์เรื่องเสื้อผ้าสำเร็จรูปเป็นแค่ของราคาถูกให้ได้ค่ะ”

“ครับ ทราบแล้วครับ”

“และถ้าเป็นไปได้ เราเริ่มผลิตเสื้อผ้าประเภทอื่นนอกจากเสื้อผ้าสำเร็จรูปของผู้หญิงที่เคยขาย ให้เสร็จทันเวลาเปิดร้านสาขาก็น่าจะดีนะคะ”

“เสื้อผ้าแบบอื่นหรือครับ”

“ตอนที่ท่านปู่สั่งทำเสื้อผ้าให้คนงานตระกูลลอมบาร์เดีย แรงงานตัดเย็บก็มีประสบการณ์ในการเย็บเสื้อผ้าผู้ชายกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

พวกเขาได้ลงทุนเงินทองในการคิดแพตเทิร์นใหม่ๆ และทดลองตัดเย็บสินค้าตัวอย่างขึ้นมาแล้ว ดังนั้นทุกเม็ดเงินที่ลงทุนไปก็ต้องใช้มันให้คุ้มค่าหน่อยสิ

“เทียบกันแล้วเสื้อผ้าผู้ชายดีไซน์เรียบง่ายและตกแต่งน้อยกว่า มันจะทำให้ร้านขายเสื้อผ้ามีกำไรเหลือเยอะขึ้นค่ะ”

“แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง จะไม่เป็นอะไรเหรอครับ”

“เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงนี่แหละ ทำให้คิดว่าขายเสื้อผ้าผู้ชายด้วยก็น่าจะไปได้สวยค่ะ”

เธอใช้ปลายนิ้วเคาะกระดาษรายงานพลางเอ่ยพูด

คำพูดของเธอทำให้เครย์ลีบันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็ตบเข่าเสียงดัง ‘ฉาด’

“อ๊า! หากเป็นหญิงสาวช่วงวัยสามสิบกับสี่สิบก็คงจะซื้อเสื้อผ้าของสามีด้วยสินะครับ!”

“ใช่ค่ะ”

“ว่าแล้วเชียว คุณหนู…”

เครย์ลีบันประทับใจจนพูดอะไรไม่ออก

ท่าทางคงจะเพิ่งเคยเห็นทายาทตระกูลลอมบาร์เดียที่ฉลาดเฉลียวเป็นครั้งแรกน่ะสิ

เธอเข้าใจความรู้สึกนั้นของเครย์ลีบันดี

เธอยื่นแขนสั้นป้อมออกไปตบลงบนไหล่ของเครย์ลีบันเบาๆ และยื่นมืออีกข้างออกไป

“ขอใบรายการสั่งซื้อด้วยสิ”

“อ๊ะ แย่จริง นี่ครับ”

เครย์ลีบันวางกระดาษปึกหนึ่งซึ่งมีตัวเลขเขียนไว้เต็มแผ่นลงบนมือเธออย่างนอบน้อม

ที่จริงแล้วเธอไม่ได้สนใจรายละเอียอย่างเรื่องเงินเข้าเงินออกเสียเท่าไหร่

รายการที่เธอต้องการหาจากใบสั่งซื้อซับซ้อนพวกนี้มีเพียงแค่อย่างเดียว

“อัตราส่วนกำไรค่อนข้างดีเลยนะคะ”

“ครับ พอติดต่อค้าขายผ่านทางกิลด์กับกลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย ก็เลยกลายเป็นแบบนั้นน่ะครับ”

เครย์ลีบันกล่าวด้วยความภูมิใจ

มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว

สำหรับพ่อค้าที่มีอาชีพค้าขายการจะได้กำไรมากแค่ไหน มันคือมาตรฐานที่บ่งชี้ความสามารถของผู้ค้ายังไงล่ะ

เธอเปิดใบรายงานผ่านๆ ข้ามไปสองสามแผ่น

และในที่สุดเธอก็หาสิ่งที่ต้องการเจอจนได้

ว่าแล้วเชียว

จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเล็กน้อยอย่างที่คิดไว้จริงๆ

“เพิ่มค่าแรงคนงานเย็บผ้ากับโรงงานทอผ้าสักหน่อยนะคะ”

“ครับ? ถ้าอย่างนั้นสัดส่วนกำไรของร้านขายเสื้อผ้าก็ลดลงสิครับ”

“ใช่แล้วละค่ะ แต่คนพวกนี้ สุดท้ายแล้วก็เป็นคนของลอมบาร์เดียไม่ใช่เหรอคะ”

อาศัยอยู่บนผืนดินของลอมบาร์เดีย ทำงานเพื่อลอมบาร์เดีย ผู้คนที่จ่ายภาษีให้แก่ลอมบาร์เดีย

เพราะอย่างนั้นการได้เงินเพิ่มขึ้นเพียงเพราะตระหนี่เงินที่จะให้พวกเขาเหล่านั้น มันไม่ได้มีความหมายอะไรมากนักหรอก

“และถ้าขึ้นค่าแรงให้ ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยโดยธรรมชาติค่ะยังไงในอนาคตก็คงจะต้องจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปหากเราจะจ้างคนก็จะง่ายขึ้นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ”

เครย์ลีบันขยับแว่นตาขึ้นพลางพยักหน้า

“อย่างนั้นนี่เองหากมองจากภาพโดยรวมก็คือยอมสละกำไรเล็กน้อย แต่แลกกับการทำให้ลอมบาร์เดียแข็งแกร่งมั่นคงขึ้นสินะครับ”

ว่าแล้วเชียวเครย์ลีบันน่ะหัวไว

ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม ก็อ่านใจความสำคัญออกได้อย่างแม่นยำ

ฟีเรนเทียทิ้งเครย์ลีบันที่ตั้งท่าค้นรายงานที่เจ้าตัวเป็นคนเขียนด้วยท่าทางเรียนหนังสือ แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินตรงไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ใกล้ๆ

กังวลอยู่เหมือนกันว่า มันเป็นห้องสมุดที่เธอใช้ แบบนี้จะมีแต่หนังสือสำหรับเด็กหรือเปล่า

สงสัยจะเป็นเพราะเมื่อคราวก่อนเห็นเธออ่านหนังสือ ‘ผู้คนทางใต้’ ละมั้ง หนังสือทั้งหลายถึงได้เป็นหนังสือระดับที่พวกผู้ใหญ่อ่านกัน

มีหนังสือน่าสนใจที่ดูน่าจะเป็นประโยชน์กับเธอในตอนนี้ได้อยู่หลายเล่ม เธอพลิกดูหนังสือพวกนั้น แล้วจู่ๆ ก็ตระหนักถึงความจริงบางอย่างขึ้นมา จึงเอ่ยถามเครย์ลีบัน

“ตอนนี้ใกล้ถึงวันรวมตัวนักเรียนทุนลอมบาร์เดียแล้วใช่มั้ยคะ”

“ครับ? ครับ ใช่ครับ ว่าแต่เรื่องนั้นคุณหนูทำไมถึง…”

ทำไมถึงรู้ได้น่ะเหรอ

เธอเรียกเหล่านักเรียนทุนลอมบาร์เดียที่จะมารวมตัวพบปะกันทุกไตรมาสว่า ‘ลอมบาร์เดียคิดส์’

การสนับสนุนของลอมบาร์เดีย พูดให้ถูกก็คือ ผู้คนที่มีตำแหน่งหน้าที่ในแต่ทุกระดับของสังคม โดยเติบโตและพัฒนาขึ้นมาด้วยการสนับสนุนที่ท่านปู่เป็นผู้ริเริ่ม

เครย์ลีบันเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

มีทั้งชนชั้นสูง ทั้งสามัญชน แต่สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นมีเหมือนกันก็คือ สายสัมพันธ์และความรู้สึกอันมั่นคงว่าตนนั้นเป็นนักเรียนทุนของลอมบาร์เดีย และความซื่อสัตย์ภักดีอย่างลึกซึ้งที่พวกเขามีให้ท่านปู่

เพราะลอมบาร์เดียคิดส์เป็นเสมือนอาวุธที่แข็งแกร่งหรือทรัพย์สมบัติของตระกูล วันที่พวกเขามารวมตัวพบปะกัน เบเจอร์จึงมักจะใช้ข้ออ้างว่าจะมาร่วมงานเป็นเพื่อนท่านปู่ เพื่อเข้าร่วมงานพบปะให้ได้

“คราวนี้จัดงานที่ไหนคะ”

“สถานที่เลือกไว้เป็นคฤหาสน์ลอมบาร์เดียที่นี่ครับ แต่ได้รับแจ้งมาว่าเรื่องวันที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ”

“เหรอคะ”

เรื่องนี้ไม่ธรรมดา

พวกเขาเป็นบุคคลที่มีหน้าที่การงานที่สำคัญ ดังนั้นปกติแล้วสถานที่กับวันจะถูกกำหนดไว้ก่อนหน้าหลายสัปดาห์

หรือท่านปู่จะมีเรื่องอะไร

ยังไงเรื่องทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับท่านปู่ เธอคงได้แต่จับตามองไปก่อน

“ถ้างั้นคนคนนั้นเองก็มาด้วยมั้ยนะ”

ร่างเล็ก ไม่อาจคาดเดาอายุได้จากใบหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม

“ถ้าทำให้คุ้นหน้าคุ้นตากันได้ก็คงจะดีมากแท้ๆ”

เมื่อชีวิตก่อนเธอเคยเห็นอยู่แวบหนึ่งเธอพึมพาในขณะที่นึกถึงหญิงสาววัยกลางคนผู้มีผมสีเทาแซมเป็นหย่อม

หลังจาก ‘คลาสเรียนเพิ่ม’ กับเครย์ลีบันจบลง เธอก็เดินออกมาจากห้องหนังสือของเธอ

เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ คิลลีวูกับเมโลนเริ่มเรียนวิชาฟันดาบกันแล้ว

มันเป็นการตัดสินใจของชานาเนส เพื่อทำให้เรี่ยวแรงของสองแฝดที่ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งซุกซนหนักขึ้นเรื่อยๆ ลดลงบ้าง

ในชีวิตก่อน ทุกครั้งที่มีการแข่งทัวร์นาเมนต์ระดับอาณาจักร สองคนนั้นก็ไต่ขึ้นไปได้ถึงอันดับต้นๆ ดังนั้นนี่ถือว่าเป็นการเลือกที่ดีทีเดียว

“อากาศดี งั้นไปเดินเล่นดีมั้ย”

อีกครู่หนึ่งก็ถึงเวลาเลิกเรียนวิชาฟันดาบของสองแฝดแล้ว

ฟีเรนเทียขยับเท้าก้าวเดินอย่างเชื่องช้า เพื่อที่จะได้ไปรอสองแฝดแล้วไปหาชานาเนสพร้อมกันและในตอนที่เดินเข้าสู่ทางเดินเปลี่ยวที่ใช้มุ่งหน้าไปยังลานฝึกเสริม

ปึก!

เสียงดังคล้ายกับอะไรตีแหวกผ่านอากาศดังขึ้นพร้อมกับอะไรบางอย่างที่บินพุ่งเข้ามากระทบใบหน้าของเธอเข้าอย่างจัง