บทที่ 77 จะไป Ink Stone_Romance
“ท่านแม่ คนอื่นเขานับถือพุทธบำเพ็ญเต๋า ทำบุญกุศลแล้วยังได้หน้าอีก เราได้อะไรบ้าง ขนาดของว่างยังไม่ได้มาเลย ยังจะหวังให้นางอธิษฐานขอพรต่อหน้าพระให้พวกเราอย่างจริงใจได้อีกหรือ” แม่นางเฉิงหกกล่าว
ฮูหยินใหญ่เฉิงถูกลูกสาวเขย่าจนเวียนหัวไปหมด
“ของว่างน่ะ เขาเป็นวัดเต๋า ไม่ใช่ร้านขายขนม จะให้ทำของว่างขายให้ตลอดได้อย่างไร” นางกล่าว “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“ท่านแม่ เห็นแค่นี้ก็รู้แล้ว” แม่นางเฉิงหกกล่าว “นางไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา ไม่ใส่ใจพวกเรา”
ฮูหยินใหญ่เฉิงขานรับ
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปลองถามนางให้” นางกล่าว
แม่นางเฉิงหกถึงได้ไปอย่างสบายใจ ฮูหยินใหญ่เฉิงกำลังจะเอนกายลงพักผ่อน แม่นมก็ฝีเท้ารีบร้อนเดินเข้ามา ป้องหูพูดอยู่สองสามคำ ฮูหยินใหญ่เฉิงก็สีหน้าคร่ำเครียด
“ข้าลำเอียงแล้วนางจะทำไม” นางกล่าว มือที่วางอยู่บนเข่ากำแน่นพร้อมกัดฟัน “ค่าสินสอดของแม่คนอื่นเขา เลี้ยงดูคนทั้งบ้านเรา ข้าจะให้ลูกสาวเขากินดีอยู่ดีแล้วจะทำไม ไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ”
นางเย้ยหยัน
“อยากได้ค่าตอบแทนที่แตกต่าง พวกเจ้าก็ไปหาแม่ที่ค่าสินสอดมากมายไปสิ” นางกล่าว
แม่นมก้มหน้าไม่พูดจา
ผู้หญิงยามสนิทกันก็ไร้ซึ่งระยะห่าง แต่เมื่อห่างกันแล้ว รูเล็กเท่าเมล็ดงาก็เหมือนดั่งกั้นด้วยทางช้างเผือก ก้าวข้ามไปหามิได้อีก
คิดไม่ถึงว่า สะใภ้ตระกูลเฉิงที่สนิทกันดั่งพี่น้อง เพียงแค่เวลาครึ่งเดือนก็ทำเอาไม่อยากเจอหน้ากันไปเสียแล้ว
ต้องเริ่มพูดจากไหนดี
พูดจากอาหารการกิน อาหารการกินหลายปีมานี้ก็เรียบร้อยดีไม่มีปัญหา ทำไมตอนนี้ถึงเกิดเรื่องขึ้นได้
นั่นก็ต้องเริ่มจากที่ลูกสาวคนนั้นกลับมา
แม่นมแอบถอนหายใจ จริงเสียด้วย คนอัปมงคล ไปที่ไหนก็เดือดร้อนไปหมด
“ไป” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยปากอีก ขัดจังหวะความคิดเพ้อเจ้อของเหล่าแม่นม “ขึ้นเงินประจำของเจียวเหนียงให้เท่ากับของข้า”
แม่นมตกใจ
“ฮูหยิน นี่ ไม่เหมาะกระมัง” คนหนึ่งรีบเตือน
“ไม่เหมาะอย่างไร นางเป็นคนบ้า ก็ถือเป็นคนป่วย เงินใช้กินใช้ดื่ม ต้องคิดอย่างละเอียดตั้งใจ หรือคนอื่นยังจะมาเปรียบเทียบกับคนบ้าอีก” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว “เงินเหล่านี้ เก็บมาจากร้านค้าจากที่นาแล้วแจกจ่ายไปให้ เขากินดื่มใช้เงินตนเอง ไปขวางใครเข้าหรือ”
หลายปีมานี้เพิ่งนึกได้ว่าเขาเป็นคนป่วยหรือ…
แม่นมขานรับ ไม่กล้าเตือนอีก ฮูหยินสองคนต่างก็กลั้นอารมณ์โมโหกัน จะกดไว้อย่างไรก็กดไม่อยู่เสียแล้ว
“ฮูหยิน ฮูหยิน นายท่านบอกว่า คนของตระกูลโจวมาเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นฝีเท้าเร่งรีบเดินเข้ามาแล้วกล่าว
ฮูหยินใหญ่เฉิงถอนหายใจ เรื่องยืดยาวไม่จบไม่สิ้น
“ไม่ใช่สี่คนก่อนหน้านั้น คนตระกูลโจวมาอีกแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
ฮูหยินใหญ่เฉิงอึ้งไปสักครู่
“ดูเหมือนว่าบ้านตระกูลโจวจะเอาค่าสินสอดนั้นคืนแน่แล้ว” นางกล่าว ในใจก็ว้าวุ่น “อย่างไรเสียหากเจียวเหนียงยังอยู่ ค่าสินสอดนี้ก็เป็นของนาง ในเมื่อนางแซ่เฉิง เราก็จะให้มันกับคนแซ่โจวไม่ได้”
นางลุกยืนขึ้น แม่นมคลุมเสื้อคลุมให้ แล้วนางก็เดินมาทางห้องรับแขกของนายใหญ่เฉิง
สามีภรรยานายรองเฉิงกลับไม่อยู่ มีเพียงนายใหญ่เฉิงรับรองแขกอยู่ผู้เดียว
แปลกเสียจริง พวกเขาสองสามีภรรยาจะไม่มาได้อย่างไร
“จะรับเจียวเหนียงไปหรือ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยถาม นึกว่าตนฟังผิดไป
ไม่ใช่มาพูดเรื่องค่าสินสอดหรือ
ฮูหยินใหญ่เฉิงประหลาดใจ หรือว่า จะคิดวิธีใหม่อะไรได้อีก สุดท้ายก็เพื่อค่าสินสอดอยู่ดี
“ขอรับ” พ่อบ้านเฉากล่าว ยกถ้วยชาตรงหน้าดื่มรวดเดียวจนหมด ไม่ทันได้พูดจา แล้วส่งสัญญาณให้สาวใช้ “ชาดี ขออีกสักถ้วย”
นายใหญ่เฉิงรู้สึกเอือมระอาเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะนำสาส์นมาด้วย หรือพ่อบ้านของตนเคยเจอตอนไปเมืองหลวงครั้งก่อน ก็จะสงสัยว่าคนผู้นี้เป็นพ่อบ้านของตระกูลโจวที่ร่ำรวยเมืองส่านซีนั้นจริงหรือไม่
ไม่เคยดื่มชาหรือ ตั้งแต่เข้าเรือนมายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ก็ดื่มไปสามถ้วยแล้ว
สาวใช้เทชาให้อีก แล้วถอยไปด้านข้าง
“ขอรับ” พ่อบ้านเฉายังไม่ได้ดื่ม กล่าวอย่างสบายใจ “ใกล้จะถึงวันรำลึกเหล่าฮูหยินโจวแล้ว นายท่านกับ
ฮูหยินนึกได้ว่า ตอนที่เหล่าฮูหยินมีชีวิตอยู่ สิ่งที่วางไม่ลงและนึกถึงที่สุดก็คือแม่นางเจียวเหนียง อีกยังได้ยินว่ากลับบ้านมาแล้ว ในเมื่อเดินทางไกลเพียงนี้ได้ คิดว่าสุขภาพคงจะดีขึ้นมากแล้ว จึงอยากจะรับไปอยู่สักสองสามวันขอรับ”
นายใหญ่เฉิงและฮูหยินมองตากัน ต่างก็เห็นคำถามและความประหลาดใจในดวงตาของกันและกัน
นายใหญ่และฮูหยินตระกูลโจวจะมีความคิดเช่นนี้หรือ
แล้วพวกเขาก็มองไปทางพ่อบ้านผู้นี้
“ไม่เลวไม่เลว เอามาอีกถ้วย” พ่อบ้านเฉาไม่ได้สนใจที่จะมองพวกเขา แล้วกล่าวกับสาวใช้
นายใหญ่เฉิงอดไม่ได้ที่จะทำอาการเย้ยหยันออกมา
“เช่นนี้แลขอรับ นายท่าน ทางนั้นรีบร้อนมาก ฉะนั้นวันรุ่งขึ้นข้าก็จะพาแม่นางเจียวเหนียงออกเดินทางเลยขอรับ” พ่อบ้านเฉามองดูสาวใช้เทน้ำชาแล้วกล่าวไปพลาง
“แค่พานางไปอยู่สองสามวันหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยถาม
มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด อย่าปกปิดไว้อีกเลย
พาแค่คนไป หรือว่าพาทั้งคนเอาทั้งของไปด้วยกัน
“อ้อ จริงสิ ยังมีอีก” พ่อบ้านเฉานึกอะไรได้แล้วกล่าวขึ้น
ดูสิ เอาเข้าแล้วสิ
ทันใดนั้นคนบ้านเฉิงทั้งสองก็รวบรวมสตินั่งเหยียดตรงจ้องพ่อบ้านผู้นี้
พ่อบ้านเฉานั้นกลับไม่พูดต่อ ท่าทีแปลกๆ
“คือ ข้า ข้า ขอเสียมารยาทสักหน่อย” เขากล่าวตะกุกตะกัก “อยากจะขอปลดทุกข์สักหน่อยขอรับ”
อย่างไรเสียมาครั้งนี้ก็ขายหน้าจนหมดสิ้นแล้ว จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด
นายใหญ่เฉิงชะงักงันไป ฮูหยินใหญ่เฉิงหันหน้าไปแล้วมองลง
บ้านตระกูลโจวส่งคนแบบไหนมากัน ไม่ใช่แค่เสียมารยาทอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยังหยาบช้าอีก
มองดูพ่อบ้านเฉาสภาพกระเซอะกระเซิงเดินตามบ่าวไป นายใหญ่เฉิงก็ทำท่าทีอารมณ์เสีย
“หากพวกเขาจะมาคิดอุบายเอาคนเอาของละก็ เลิกคิดไปเลย” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว
“ได้คนไปก็ได้ของไปแล้วอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงกล่าว “ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ก็แซ่เฉิง ในเมื่อแซ่เฉิง ก็เป็นคนบ้านตระกูลเฉิงเรา”
พูดถึงลูกสาวตระกูลเฉิง ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบมองไปด้านนอก
“นายรองล่ะ” นางเอ่ยถาม “เรื่องใหญ่เพียงนี้ ทำไมเขาไม่มา อีกอย่าง เจียวเหนียงเป็นลูกสาวของเขา ให้เขาเป็นคนตัดสินใจจะดีกว่า ข้ากับท่านจะได้ไม่ทำดีแล้วเสียเปล่า แล้วยังไม่ได้ดีอีก”
นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้ว
เขาให้ความสำคัญกับความสามัคคีของพี่น้อง ทนฟังคำพูดประหลาดแบบนี้ไม่ได้
“เห็นว่ามีแขก เรื่องรับตำแหน่งสั่งการลงมาแล้ว” เขากล่าว “ลองไปถามดู ว่ามาที่นี่ได้หรือไม่”
บ่าวขานรับแล้วรีบวิ่งไป เพียงไม่นานก็หน้าซีดเซียวกลับมา พูดข้างหูนายใหญ่เฉิงด้วยเสียงสั่นเครือ
นายใหญ่เฉิงสีหน้าเปลี่ยนในทันใด
“จริงหรือ” เขาตะโกน
เกิดอะไรขึ้น ฮูหยินใหญ่เฉิงมองมาด้วยความสงสัย กำลังจะเอ่ยถาม พ่อบ้านเฉาก็ปลดทุกข์กลับมาแล้ว
นายใหญ่เฉิงหน้าดำคร่ำเครียดโบกมือให้บ่าวถอยออกไป บอกว่าคนไปได้แต่ค่าสินสอดต้องทิ้งไว้
พ่อบ้านเฉาตะลึงงันไปแต่ก็โล่งใจเช่นกัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องรีบพาคนไป สิ่งของเงินทองของนอกกายพรรค์นั้น ใครจะไปสนใจกัน
อีกอย่าง พาสาวใช้เขาไปแค่คนเดียว ตนก็เกือบจะถูกทรมานจนตาย ยังจะกล้าไปวางแผนเอาค่าสินสอดแม่เขามาอีก พ่อบ้านเฉารู้สึกว่าตนเริ่มกระหายน้ำอีกแล้ว
รสชาตินี้ เหลือไว้ให้คนบ้านตระกูลเฉิงดื่มด่ำเองเถิด
…………………………………………….