บทที่ 78 ลาจาก Ink Stone_Romance

พ่อบ้านเฉายกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอีกอย่างไม่เกรงใจ

“เมื่อครู่ข้าจะบอกว่า คนรับใช้ก็ไม่ต้องพาไปเพิ่ม พวกข้าพามาครบครัน คนรับใช้สองคนของแม่นางเจียวเหนียงตอนนี้ก็พอแล้วขอรับ” เขากล่าว

เรื่องที่บ้านตระกูลโจวจะรับเฉิงเจียวเหนียงไปเมืองหลวงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว

ได้ยินว่าไม่ต้องพาคนรับใช้ติดตามไปเพิ่ม สาวใช้แม่นมในบ้านต่างก็โล่งใจดีใจยินดีที่รอดตัวไปได้ ยกเว้นบ้านของชุนหลาน

หนึ่งในคนรับใช้สองคนในตอนนี้ของคนบ้านั่น ก็คือลูกชายสุดที่รักหนึ่งเดียวของบ้านพวกนาง

ทั้งบ้านชุนหลานกังวลกระวนกระวายโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก

“เจ้ารีบไปกับข้า” ชุนหลานร้องไห้ดึงตัวจินเกอร์แล้วตะโกนกล่าว “ข้าพาเจ้าไปโขกหัวคำนับท่านชายสี่ แลกตัวเจ้าออกมา”

จินเกอร์ขัดขืนไม่ยอมไป

“ข้าไม่ไป แลกอะไรกัน” เขาตะโกน

แม่นางชุนหลานก็ร้องไห้อยู่ข้างหลัง

“ลูกชายข้า นี่จะไร้ผู้สืบสกุลเสียแล้ว” นางร้องไห้พลางกล่าวขึ้น “หลานเอ๋อร์ เจ้าจะต้องช่วยน้องชายเจ้าให้ได้”

จินเกอร์กระทืบเท้า

“พวกท่านทำอะไรกัน ข้าจะไปเมืองหลวง ไม่ได้จะไปตาย” เขากล่าว

“ไปแล้วก็กลับมาไม่ได้แล้ว ไปที่บ้านเขา ติดตามคนบ้า พวกเจ้ายังจะมีทางรอดอะไรได้อีก” ชุนหลานร้องไห้พลางกล่าว

“พูดเหลวไหลอะไรกัน นายหญิงไม่ได้บ้า ข้าบอกพวกท่านแล้วนี่” จินเกอร์กล่าว พลางหยิบเอาห่อผ้าสัมภาระของตนขึ้นอย่างรำคาญ แล้วนึกอะไรขึ้นได้ก็ยัดห่อผ้าอีกห่อให้ชุนหลาน “พี่ พี่เก็บไว้ใช้เถิด พี่ต้องสังสรรค์บ่อย”

นี่คืออะไร

ชุนหลานร้องไห้พลางเอ่ยถาม แล้วเปิดออกดู

ในฐานะสาวใช้ข้างกายท่านชายสี่ นางพอจะอ่านหนังสือออกได้บ้าง

บนห่อกระดาษเขียนคำว่าวัดเสวียนเมี่ยวสามคำถึงแม้จะตัวเล็กแต่ก็สะดุดตา

“ทำไมเจ้าถึงมีมากมายเพียงนี้” นางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

ในบ้านกำลังวุ่นวายเพราะไม่ได้ขนมจากวัดเสวียนเมี่ยว ทำไมน้องชายของตนกลับยื่นให้ตนได้มากมายเพียงนี้

“นายหญิงให้มา ให้ข้ากินได้ตามใจ ข้าไม่ชอบกินอันนี้ พี่เก็บไว้เถิด พี่กับท่านแม่เอาไว้ใช้ฝากคนเถิด” จินเกอร์ กล่าว “ข้าไปละ”

เขาพูดจบฉวยโอกาสตอนที่พ่อแม่และพี่สาวกำลังเหม่อลอยวิ่งไป

เสียงร้องไห้ของคนในบ้านดังมาจากด้านหลังอีกครั้ง

แต่ตอนนี้คนที่กังวลกระวนกระวายไม่ได้มีเพียงบ้านชุนหลาน ในเรือนของนายรองเฉิง สาวใช้แม่นมต่างก็ระมัดระวังกัน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

นายใหญ่เฉิงเอ่ยถามขึ้นด้วยหน้าตาคร่ำเครียด

นายรองเฉิงนั่งอยู่สีหน้าซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำ ส่วนฮูหยินรองเฉิงก็ก้มหน้าเช็ดน้ำตาสะอื้นไห้

“ไหนบอกว่าไหลโจวแน่นอนแล้วไม่ใช่หรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยถาม “ทำไมกลายเป็นลั่วโจวไปอีกเล่า”

ลั่วโจวไม่เพียงแต่เป็นเมืองขนาดกลาง ขนาดปิ้งโจวยังเทียบไม่ได้เลย ข้อดีเพียงอย่างเดียวก็คือใกล้กับเจียงโจว แต่เขาเฉิงต้งไม่ใช่เด็กอมมือที่จะจากบ้านไม่ได้ ใครจะอยากอยู่ใกล้บ้านกัน ที่เขาอยากได้คือเลื่อนขั้น! เลื่อนขั้น!

“ใครกันแน่ที่แอบแทงข้างหลังข้า!” นายรองเฉิงโยนถ้วยน้ำชาตรงหน้าออกไป

เสียงแตกละเอียดดังเพล้งที่หน้าประตู ทำเอาสาวใช้แม่นมตรงทางเดินตกใจจนแยกย้ายออกไปไกล

“เจ้าโมโหอะไร! ตอนนี้ใช่เวลามานั่งโมโหหรือไม่!” นายใหญ่เฉิงตะคอกใส่อย่างไม่สบอารมณ์ เต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่

เพื่อเป็นการปูทางอนาคตให้กับน้องสอง เงินในบ้านที่เสียไปนั้นดั่งสายน้ำไหล หวังเพียงว่าหากมีอำนาจก็จะได้ผลประโยชน์ที่มากกว่าคืนมา

หากไม่มีอำนาจ เงินก็หาได้ไม่ง่ายเพียงนั้นแล้ว

ในห้องเงียบไปสักพัก มีเพียงฮูหยินรองเฉิงที่ส่งเสียงร่ำไห้อย่างหดหู่เสียงแผ่วเบา

“มีคนทำร้ายลับหลังจริงหรือ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยถาม

“ไม่ทราบ” นายรองเฉิงกล่าวอย่างคร่ำเครียด นี่ล่ะที่น่าโมโหที่สุด “คิดว่าเป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่บอกกับอาจารย์ไว้แล้ว อีกอย่างทางบัณฑิตหลิวนั้นก็ได้รับสาส์นทักทายจากข้าแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่มีทางผิดพลาดได้ ทำไมถึง…”

พอนึกถึงเรื่องนี้ นายรองเฉิงก็กัดฟันไว้แน่น ในใจโกรธเกลียดแทบกระอักเลือด

“ไร้ขอผิดพลาด สุดท้ายก็พลาด คิดว่าจะต้องเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนเป็นแน่” นายใหญ่เฉิงกล่าว “คิดว่าน่าจะมีคนที่มีอำนาจสูงศักดิ์กว่าออกหน้า ก่อนหน้านี้เจ้าก็บอกไม่ใช่หรือว่ามีคนมากมายที่จ้องไหลโจวอยู่”

ทำได้เพียงเท่านี้ล่ะ

เพียงแต่เจ็บใจเสียจริง! เจ็บใจเสียจริง!

“ไม่รู้ว่าคนไหน ถึงขนาดกับอาจารย์ออกหน้าพูดให้ยังสู้ไม่ได้” นายรองเฉิงกัดฟันกล่าวพลางกำมือไว้แน่น

ในห้องเงียบไปสักพัก

“อ้อจริงสิ” ฮูหยินใหญ่เฉิงนึกอะไรขึ้นได้ “จะบอกน้องสองอีกว่า คนบ้านตระกูลโจวจะรับเจียวเหนียงไป บอกท่านไว้หน่อย ท่านจะไปดูไหม…”

เจียวเหนียง! คนบ้านั่น!

ตั้งแต่ที่คนบ้านั่นเหยียบกลับเข้าประตูบ้านมา เขาก็ไม่เคยได้ดั่งใจอีกเลยสักนาทีเดียว!

ตัวกาลกิณีนี่!

“ให้นางรีบไสหัวไป” นายรองเฉิงโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “จะให้ดีอย่ากลับมาอีก! เพราะนางทั้งนั้นที่ทำให้ข้าเป็นแบบนี้!”

คนรอบข้างได้ยินต่างก็ไม่เห็นด้วย เรื่องแบบนี้จะไปเกี่ยวข้องกับเด็กบ้าได้อย่างไร

ฮูหยินรองเฉิงหยุดสะอื้นไห้

“รับคนไปแล้วหรือ” นางรีบมองไปทางฮูหยินใหญ่เฉิง “แล้วค่าสินสอดเล่า”

ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าวเย้ยหยัน

“วางใจได้ จะรับสิ่งนั้นไปไม่ง่ายนักหรอก” นางกล่าว

“พี่สะใภ้ปราดเปรื่องนัก” ฮูหยินรองเฉิงกล่าวพลางเช็ดน้ำตา “เรื่องห่วงเรื่องเล็กจนเสียการใหญ่ จะทำไม่ได้เด็ดขาด”

มองดูจินเกอร์ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า

“เจ้ายินยอมจะไปกับข้าหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม

“ต้องไปอยู่แล้วขอรับ” จินเกอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้

นึกถึงว่าตนเคยเห็นหญิงสาวผู้นี้เป็นคนบ้า ใช้ว่าวเย้าหยอก ตอนนี้ดูแล้วเหมือนว่าจะไม่ใช่คนบ้า จึงรู้สึกเคอะเขินอึดอัด

เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา มุมปากโค้งเล็กน้อย

“เจ้า มีชื่อไหม” นางถามขึ้นกระทันหัน

สำหรับคนรอบข้างแล้วนางไม่เคยสนใจและไม่เคยใส่ใจว่าพวกเขาชื่ออะไร แต่เมื่อใส่ใจแล้ว…

เจ้าอาวาสซุนเช็ดเหงื่อแล้วยืนออกมา

“นายหญิง นายหญิง นี่เป็นบ่าวผู้หนึ่ง” นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้น

เฉิงเจียวเหนียงร้อง ‘อ้อ’ แล้วไม่ถามอีก

“เก็บของเถิด” นางกล่าวแล้วหันตัวกลับเดินจากทางเดินแล้วเข้าห้องไป

สาวใช้และจินเกอร์ไม่เข้าใจ

“ท่านเซียนหญิง นายหญิงถามชื่อจินเกอร์ ทำไมท่านต้องบอกว่าเป็นบ่าวผู้หนึ่ง คำถามกับคำตอบนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร” สาวใช้เอ่ยถาม

เจ้าอาวาสซุนยิ้ม

“บ่าว ไม่ใช่ผู้หญิง หากชื่อปั้นฉิน จะไม่น่าฟัง” นางกล่าว

หา

อะไรนะ

สาวใช้และจินเกอร์ยิ่งสับสนกันไปใหญ่

คำพูดนี้กับคำพูดเมื่อครู่ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกันแล้วกระมัง

นายหญิงการพูดการจาการกระทำแปลกพิลึก ตอนนี้ท่านเซียนหญิงเจ้าอาวาสก็พิกลไปแล้ว ประโยคนั้นที่ว่าคนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำคงหมายความเช่นนี้นี่เองกระมัง

เนื่องจากธุระบ้านตระกูลเฉินนั้นรีบร้อนฉุกเฉินนัก ว่าจะไปก็ไปเลย เจอกันวันนั้นก็ออกเดินทางกันวันนั้นเลย

“นายหญิง ท่านไปอย่างวางใจเถิด วัดเสวียนเมี่ยวจะรอนายหญิงกลับมา” เจ้าอาวาสซุนกล่าวอย่างนอบน้อมพลางคำนับ

ไม่ใช่วังไท่ผิง แต่เป็นวัดเสวียนเมี่ยว

ตั้งแต่เดือนเจ็ดกระทั่งครึ่งเดือนเก้า จากบ้านตระกูลเฉิงกระทั่งวังไท่ผิง ผ่านไปสองเดือนกว่า นางที่ก้าวเท้าออกจากบ้านตระกูลเฉิงก็ได้ก้าวเท้าออกจากประตูเขาอีกครั้ง

เฉิงเจียวเหนียงมุมปากโค้งเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร มีสาวใช้พยุงเดินหน้าก้าวลงบันไดทีละขั้น

เหล่าเซียนหญิงวัดเสวียนเมี่ยวที่ตีนเขานั้นต่างก็ใส่ชุดใหม่มาส่ง พ่อบ้านเฉาพาคนติดตามของบ้านตระกูลโจวและนายสี่ตระกูลเฉินคำนับต้อนรับ

ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องทั้งนั้น คนที่เกี่ยวข้องอย่างบ้านตระกูลเฉิงไม่มีเลยสักคนเดียว

เจ้าอาวาสซุนถอนหายใจเบาๆ

เช่นนี้ ก็ไปเถิด ไปเถิด

………………………………………………………….