กลางคืน อันหลินได้ทานอาหารที่ตงฟางเสวี่ยลงมือทำด้วยตัวเอง
อาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่เลิศรส แต่ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือดลมอีกด้วย ทำเอาเขาชมไม่หยุดปาก
หลังกินอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว อันหลินก็รู้สึกว่าพละกำลังของตนได้รับการฟื้นฟูขึ้นมากแล้ว
ราวกับได้กินยาบำรุงกำลัง มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม!
จากนั้น พวกเขาสามคนก็ออกจากโรงแรม เดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนเส้นเล็ก
ลมยามค่ำคืนพัดโชย อันหลินรู้สึกสบายไปทั้งตัว ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่งไหลเวียนไปทั่วร่าง
“ฟู่…มื้อนี้อิ่มหนำจริงๆ ขอบคุณพวกเธอมากจริงๆ”
เขาบิดขี้เกียจ พูดขอบคุณผู้หญิงทั้งสองคน
เถียนหลิงหลิงสวมเดรสสีเหลืองอ่อน เธอจับมือตงฟางเสว่ เมื่อเดินไหล่ชนไหล่กับตงฟางเสว่ ความสูงห่างกันหนึ่งช่วงหัวพอดี แลดูน่ารักเป็นอย่างมาก
เมื่อเธอได้ยินคำขอบคุณจากอันหลิน ก็ตอบทันทีว่า “เกรงใจอะไรกัน นักพรตจอมปลอม ไปท่องทิเบตกับพวกเราหน่อยไหม”
เมื่ออันหลินได้ฟังก็ชะงัก จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พูดยิ้มๆ ว่า “เธอเป็นห่วงปรมาจารย์หลินอี้ของเธอสินะ”
เถียนหลิงหลิงพยักหน้าอย่างเก้อเขิน “แม้ลูกศิษย์มากมายของสำนักหลงหู่จะมุ่งหน้าไปทิเบตแล้ว แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของท่านอาจารย์ ฉันกลัวว่าเขา…”
อันหลินถอนหายใจอย่างจนปัญญา สำหรับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าอับจนหนทาง
หลินอี้คนนี้เป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งสำนักหลงหู่ เป็นนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลาง
หากว่านักพรตความสามารถระดับนี้ตกอยู่ในอันตราย คิดว่าต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน ปัญหาระดับนี้นักพรตระดับกายแห่งมรรคอย่างพวกเขา จะช่วยอะไรได้เล่า
เถียนหลิงหลิงเห็นความลังเลของอันหลิน จึงฝืนยิ้ม “ช่างเถอะๆ ผอมแห้งแรงน้อยอย่างนักพรตจอมปลอม ไปทิเบตคงจะเป็นโรคกลัวความสูงอีกแน่ๆ ไม่ต้องไปหรอก”
อันหลินมองใบหน้าจิ้มลิ้มเจือความปากไม่ตรงกับใจของหญิงสาวข้างกาย คิดในใจว่าหากเขาปฏิเสธไม่ไปทิเบต เธอก็คงยืนกรานจะไปอยู่ดี
“เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ฉันขอเตรียมตัวหน่อย จากนั้นค่อยออกเดินทางพร้อมกัน บอกตามตรง ฉันยังไม่เคยไปเที่ยวทิเบต คาดหวังมากทีเดียว” อันหลินพูดด้วยรอยยิ้ม
“จริงเหรอ!” เถียนหลิงหลิงได้ยินก็ตาเป็นประกาย ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยความดีใจ
อันหลินกำลังจะอ้าปากพูด จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงอันคุ้นเคยแว่วมาจากบนฟ้า
“จะรอพรุ่งนี้ทำไม ออกเดินทางคืนนี้เลย!”
จากนั้น ตำราขนาดมหึมาก็ลอยลงมา มีหญิงสาวผมดำขลับนั่งอยู่ด้านบน กำลังเพ่งมองอันหลินด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
“อาจารย์เยว่อิ่ง ท่านมาได้อย่างไร!” อันหลินอุทานเสียงดัง
“เอ๊ะ หรือว่าข้ารบกวนเวลาของเจ้ากับสาวน้อยทั้งสอง”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งกะพริบตายิ้มๆ หยอกล้ออย่างครึ้มอกครึ้มใจ
เมื่อตงฟางเสว่ได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าก็ขึ้นสีทันที
เถียนหลิงหลิงกลับตะโกนลั่นว่า “ใช่ รบกวนแล้ว จะว่าไปเธอเป็นใครน่ะ!”
อันหลิน “…”
เจ้าเด็กพูดจาเหลวไหลคนนี้ ไม่ได้ยินหรือไงว่าเขาเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าอาจารย์เยว่อิ่ง
“ฮ่าๆ น้องสาวคนนี้น่าสนใจไม่หยอกเลย”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งมองเถียนหลิงหลิง แววตาฉายความสนใจ
“จะว่าไป อาจารย์หาข้าเจอได้อย่างไร”
อันหลินรู้แล้วว่าทำไมเซียนพสุธาเยว่อิ่งต้องมาที่นี่ นางคงจะเป็นคนที่สรวงสวรรค์ส่งมาจัดการเรื่องจักรพรรดิปีศาจ แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันเลย นางหาตำแหน่งของตนเจอได้อย่างไร
เถียนหลิงหลิงได้ยินคำว่าอาจารย์จากปากอันหลิน ก็ได้สติทันใด ใบหน้าออกอาการกระอักกระอ่วน
ในตอนนั้นเอง ก็มีชายชุดขาวอีกคนเหาะมา
“เพราะนี่คือพรหมลิขิต พรหมลิขิตทำให้พวกเราพบเจอกัน”
ชายคนนั้นกระโดดลงจากกระบี่ พูดด้วยสีหน้าสบายๆ
เซียนพสุธาเยว่อิ่งถลึงตาใส่ชายคนนั้น “พรหมลิขิตอะไรกัน! เป็นเพราะป้ายอาญาสิทธิ์ของภารกิจแดนมนุษย์ของอันหลิน สื่อถึงป้ายอาญาสิทธิ์ของพวกเราต่างหาก หากตามพลังของมันมาก็จะพบอีกฝ่ายอย่างไรเล่า!”
อันหลินพยักหน้าอย่างกระจ่างใจ
แต่ชายคนนั้นกลับไม่ยอมลดละ “แต่มันก็คือพรหมลิขิตไม่ใช่หรือ สื่อถึงกันได้โดยไม่รู้ตัว เชื่อมโยงกันด้วยเรื่องราวต่างๆ อย่างไร้รูปร่าง ทำให้เรามาพบเจอกัน!”
เซียนพสุธาเยว่อิ่ง “…”
นางคิดว่าหากต่อความยาวสาวความยืดกับชายคนนี้ ชาตินี้ก็ไม่มีวันรู้ผล จึงมองข้ามเขาไป
หลังผ่านการแนะนำของเซียนพสุธาเยว่อิ่ง อันหลินจึงได้รู้ว่าชายคนนั้นชื่อเซียนพสุธามิ่งหยวน เป็นอาจารย์ของสำนักเขาเช่นกัน เป็นคู่หูกับเซียนพสุธาเยว่อิ่ง มาร่วมจัดการจักรพรรดิปีศาจด้วยกัน
จากนั้น เซียนกระบี่เยว่อิ่งก็หยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมา ด้านในระบุให้อันหลินเป็นหนึ่งในทีม ให้การช่วยเหลือเซียนพสุธาเยว่อิ่ง ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
“ภารกิจนี้มีความท้าทายเป็นอย่างมาก ประหลาดใจหรือไม่ แปลกใจหรือเปล่า”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งโบกเอกสารฉบับนี้ พูดพลางยิ้มกริ่ม
อันหลินพยักหน้าอย่างระอาใจ “ข้าแปลกใจมาก”
ไม่ประหลาดใจ…แต่มีความตกใจอย่างเต็มเปี่ยม!
จักรพรรดิปีศาจเป็นศัตรูระดับแปลงจิตกายแห่งมรรคขั้นสิบอย่างพวกเขาจะไปทำไมกัน
คอยตะโกนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ก็อาจจะตายเพราะโดนคลื่นลูกหลงได้!
สำนักบ้าไปแล้ว หรือสรวงสวรรค์บ้าไปแล้วกันแน่
แม้จะไม่เต็มใจมากเพียงใด แต่เขาก็โทรไปแจ้งข่าวนี้กับเซวียนหยวนเฉิงและสวีเสี่ยวหลานอยู่ดี
พวกเขาต้องเดินทางกลับจากต่างถิ่น จึงตัดสินใจว่าค่อยมุ่งหน้าไปทิเบตพรุ่งนี้
เมื่อแจ้งพวกเซวียนหยวนเฉิงแล้ว อันหลินก็พาเซียนพสุธาเยว่อิ่งและเซียนพสุธามิ่งหยวนเข้าพักในโรงแรม และบอกข้อมูลที่เขาทราบทั้งหมดแก่พวกเขา
สิ่งที่อันหลินไม่เข้าใจคือ ภารกิจครั้งนี้พวกเขาตั้งใจว่าจะไม่ร่วมมือกับนักพรตแปลงจิตของแดนมนุษย์ แต่เลือกจะปฏิบัติการเดี่ยว
และจุดมุ่งหมายของภารกิจครั้งนี้ ก็คือบ่อน้ำโบราณแห่งทิเบต
“อาจารย์ ท่านคิดว่าพวกจักรพรรดิปีศาจซ่อนตัวอยู่ละแวกบ่อน้ำโบราณจริงหรือ” อันหลินเอ่ยถาม
เมื่อพิกัดของแดนปีศาจถูกเปิดโปง นักพรตมนุษย์ก็ร่วมมือกันบุกแดนปีศาจ
แต่ภายในแดนปีศาจ พวกเขาพบเพียงนักพรตปีศาจระดับต่ำไม่กี่ตน แต่กลับไร้วี่แววของพวกจักรพรรดิปีศาจ
ตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่บ่อน้ำโบราณจนบัดนี้ ก็มีนักพรตมนุษย์ไม่น้อยเชื่อมโยงมันกับปฏิบัติการของปีศาจ ต่างก็รวมกลุ่มกันไปผจญภัย แต่ก็ยังไม่พบเรื่องสลักสำคัญอะไร
“ไปถึงตรงนั้นเจ้าก็จะรู้เอง ต้องมีเรื่องประหลาดใจแน่นอน” เซียนพสุธาเยว่อิ่งทำหน้ามีลับลมคมใน ทำให้อันหลินสะดุ้งโหยง
เรื่องประหลาดใจ?
เมื่อคาดเดาเรื่องประหลาดใจที่นางกล่าวถึง อันหลินก็กระวนกระวายใจขึ้นมาทันที
แต่ทว่าสุดท้าย เซียนพสุธาเยว่อิ่งก็ไม่ยอมปริปากบอกข้อมูลอะไรเลย แต่ตรงเข้าไปพักผ่อนในห้อง
อันหลินทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างระอาใจ
ขณะนั้นเอง เซียนพสุธามิ่งหยวนกลับตบไหล่อันหลินอย่างเข้าอกเข้าใจ “อันหลิน เจ้าคิดว่าอาจารย์เยว่อิ่งยึกยักท่ามากน่าเบื่อมากใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ อันหลินก็พยักหน้ารัวๆ ราวกับเจอคนรู้ใจ
เซียนพสุธามิ่งหยวนส่งยิ้มสดใส “ไม่เหมือนข้า ข้าไม่เคยอ้อมค้อมเลย!”
ตาของอันหลินเป็นประกาย “อาจารย์จะอธิบายเรื่องบ่อน้ำโบราณให้ข้าฟังใช่ไหม”
เซียนพสุธามิ่งหยวนส่ายหน้า
“เมื่อครู่ข้าอ่านชะตาให้เจ้า ข้าเถรตรงมาตลอด ตอนนี้จึงขอพูดตามตรง”
“ภารกิจนี้…เจ้ามีเคราะห์ร้าย…”
อันหลิน “…”
……………………………..