เซียนพสุธามิ่งหยวนเป็นอาจารย์วิชาโหราศาสตร์ ดวงชะตาที่เขาทำนายแม่นยำว่าเทพพยากรณ์ผู้แม่นยำแน่นอน
และเป็นเพราะเหตุนี้ พออันหลินได้ยินก็งุนงงทันที
ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ถามด้วยใบหน้าอมทุกข์ว่า “อาจารย์…ข้าถอนตัวได้หรือไม่…”
เซียนพสุธามิ่งหยวนยิ้มบางๆ “บางครั้ง ยิ่งเจ้าหลบหลีกบางอย่างไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ก็จะยิ่งหลบไม่พ้น เส้นวาสนาอันไร้รูปร่าง อาจจะเชื่อมต่อกันได้สำเร็จ เพียงเพราะการหลบหนีของเจ้าก็เป็นได้…”
“อาจารย์มิ่งหยวน พูดภาษาที่ข้าเข้าใจหน่อย” มุมปากของอันหลินกระตุก
“อืม เจ้าถอนตัวไม่ได้ เรื่องนี้ข้ายุ่งไม่ได้” เซียนพสุธามิ่งหยวนตอบสั้นกระชับ
อันหลิน “…”
เซียนพสุธามิ่งหยวนตบบ่าอันหลิน แสดงสีหน้าให้กำลังใจ “เหรียญมีสองด้านเสมอ หลายครั้งที่อันตรายมักจะหมายถึงโอกาส หากมีประสบการณ์ครั้งนี้ ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะเติบโตกว่าเดิมก็ได้!”
“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้นำ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สภาพจิตใจของอันหลินก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว จึงพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ
เซียนพสุธามิ่งหยวนพยักหน้ายิ้มๆ
อันที่จริงเขาจำนักเรียนอันหลินคนนี้ได้อย่างแม่นยำ คู่หูหนึ่งคนหนึ่งสุนัข ต่อต้านโชคชะตาอย่างอาจหาญ จนบัดนี้ยังคงติดตา ทำให้เขาเข้าใจโชคชะตาลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงชื่นชมชายหนุ่มที่มักจะทำเรื่องเหนือความคาดหมายคนนี้อย่างยิ่ง…
บางทีในการเดินทางครั้งนี้ชายหนุ่มคนนี้อาจได้ประโยชน์ยิ่งกว่าเดิมก็ได้…
…
วันต่อมา เมื่อสวีเสี่ยวหลานกับเซวียนหยวนเฉิงกลับมาแล้ว
อันหลิน เซียนพสุธาเยว่อิ่ง เซียนพสุธามิ่งหยวน สวีเสี่ยวหลานและเซวียนหยวนเฉิง ก็มุ่งหน้าไปที่บ่อน้ำโบราณแห่งทิเบต
ภารกิจนี้เป็นปฏิบัติการเดี่ยวของสรวงสวรรค์ เถียนหลิงหลิงกับตงฟางเสวี่ยจึงไม่ได้ตามไป
อันหลินถือรูปถ่ายของหลินอี้ที่เถียนหลิงหลิงให้มา สัญญาว่าหากเจอหลินอี้ และหลินอี้กำลังตกอยู่ในอันตราย เขาจะต้องหาทางช่วยหลินอี้ให้พ้นจากอันตรายแน่นอน
ต่อมา อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานก็กระโดดขึ้นไปอยู่บนตำราของเซียนพสุธาเยว่อิ่ง จากนั้นเหาะไปที่ทิเบต
เซวียนหยวนเฉิงกับเซียนพสุธามิ่งหยวนขี่กระบี่ เหินเวหาตามหลังมาติดๆ
ทิเบตอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลร่วมสี่พันกว่าเมตร มีสมญานามว่าหลังคาโลก
แต่จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือบ่อน้ำโบราณ ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลหกพันเมตร
หลังผ่านมาแล้วหนึ่งชั่วโมง สิ่งที่พวกอันหลินเห็นคือ ภูเขาหิมะที่ทอดตัวยาวเหยียด
เมื่อระดับความสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โทนสีท้องฟ้าก็เริ่มปลอดโปร่งสดใส
ด้านบนมีพืชพรรณและสัตว์บางตา มีเพียงแต่เศษก้อนหินและธารน้ำแข็ง
“จุดหมายอยู่ข้างหน้านี้แล้ว!”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งบังคับตำราให้ร่อนลงช้าๆ จากนั้นก็โพล่งขึ้นมา
อันหลินทอดมองออกไป เห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่ง
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมบ่อน้ำบ่อนี้ถึงชื่อบ่อหยกโบราณ เมื่อทอดสายตามองไป มันเหมือนหยกมรกตโบราณ เกลี้ยงเกลาและโปร่งใส มีลวดลายดุจระลอกคลื่น
แม้บริเวณโดยรอบจะเย็นยะเยือก แต่น้ำบ่อนี้กลับดูนุ่มนวลอบอุ่น ชวนให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอม
หากไม่ใช่เพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์สูงชันและขรุขระ สัญจรไม่สะดวก ที่นี่อาจจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อก็ได้
ตอนนี้มีนักพรตมนุษย์หลายคนอยู่ละแวกบ่อน้ำโบราณ พวกเขาเป็นนักพรตที่เดินทางมาเพื่อตรวจสอบน้ำบ่อนี้
เมื่อพวกเขาเห็นพวกเซียนพสุธาเยว่อิ่งลอยลงมาจากฟ้า ใบหน้าก็ฉายความนับถือยำเกรง
นักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขึ้นไป นับว่าเป็นกลุ่มคนขั้นสุดยอดของโลกแล้ว
พวกเขาเดินทางมาที่นี่ นักพรตที่เหลือย่อมไม่กล้าไปรบกวนแน่นอน
“หึ ที่นี่มีพลังขอบเขตของนักพรตระดับแปลงจิตหลงเหลืออยู่ ท่าทางพวกเขาจะเคยมาที่นี่หนหนึ่งแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่ได้อะไรเลย” เซียนพสุธาพลิกตำราโบราณ หรี่ตาพูดด้วยรอยยิ้ม
ขอบเขตที่นางพูด เป็นขอบเขตส่วนตัวที่นักพรตระดับแปลงจิตสร้างขึ้นด้วยการผสานการหยั่งรู้ของตัวเอง เป็นหนึ่งในลักษณะของนักพรตระดับแปลงจิต
อันหลินมองเซียนพสุธาเยว่อิ่งที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม รู้แล้วว่าต่อไปจะเป็นช่วงเวลาแสดงฝีมือของนางแล้ว
เป็นอย่างที่คาด เซียนพสุธาเยว่อิ่งพูดต่อว่า
“ที่นี่ หากไม่มีวิชาลับ จะไม่มีทางพบความลึกลับของมัน แสงสะท้อนบนผิวน้ำ ผสานความจริงและจินตนาการ…พวกเจ้าทุกคนมานี่ มายืนกับข้า”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งกวักมือเรียกพวกอันหลิน
พวกเขาฉงนสนเท่ห์ แม้แต่เซียนพสุธามิ่งหยวนเองก็งุนงง
แต่พวกเขาก็เดินเข้าไปยืนข้างเซียนพสุธาเยว่อิ่งตามคำสั่ง
จากนั้น เซียนพสุธาเยว่อิ่งก็ล้วงมือถือออกมา ใช้พลังวิเศษทำให้มันลอยกลางอากาศ
“มาๆ ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ ทุกคนยิ้มให้กล้องหน่อย!”
อันหลิน “…”
สวีเสี่ยวหลาน “…”
เซียนพสุธามิ่งหยวน “…”
…
แชะ!
มือถือได้บันทึกภาพของเซียนพสุธาเยว่อิ่งที่ยิ้มกว้าง และสี่คนที่ใบหน้าเฉยชาเอาไว้
ด้านหลังของพวกเขา เป็นบ่อน้ำโบราณอันงดงามและภูเขาหิมะขาวโพลน…
“เยว่อิ่ง เจ้าว่า ภาพหมู่ก็ถ่ายไปแล้ว ควรเข้าไปในแดนพิศวงแล้วกระมัง”
เซียนพสุธามิ่งหยวนพูดอย่างระอาใจ
เซียนพสุธาเป็นคนเดียวในหมู่พวกเขา ที่รู้ว่าจะเข้าไปในแดนพิศวงหยกโบราณได้อย่างไร คนที่สามารถนำทางพวกเขาเข้าไปในแดนพิศวงได้ เห็นจะมีแต่นางแล้ว
เมื่อพวกอันหลินได้ยินคำว่ามีแดนพิศวงอยู่จริง ก็อดตื่นเต้นไม่ได้
เซียนพสุธาเยว่อิ่งส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าไป จำต้องรอเวลาพระจันทร์ขึ้น จึงจะเปิดทางได้ ระหว่างนี้ ข้าจะชี้แจงรายละเอียดของภารกิจหน่อย!”
พูดจบ เซียนพสุธาเยว่อิ่งก็ส่งยิ้มให้พวกอันหลิน
“รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงให้พวกเจ้ามาที่แดนพิศวงด้วยกัน”
เมื่อพวกเขาได้ยินก็ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ
จะให้พวกเขาสู้กับจักรพรรดิปีศาจงั้นหรือ แน่นอนว่าไม่มีทาง!
สรวงสวรรค์ไม่มีทางปล่อยให้อันหลินและคนอื่นๆ เสี่ยงอันตรายที่ไร้ความหมายแน่นอน
เซียนพสุธาเยว่อิ่ง “นั่นเป็นเพราะแดนพิศวงหยกโบราณถูกแบ่งออกเป็นแดนพิศวงสี่แห่ง คือแดนกระดูกที่นักพรตกายแห่งมรรคเท่านั้นที่เข้าไปได้ แดนแห่งวิญญาณสำหรับนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ แดนแบ่งจิตสำหรับนักพรตแปลงจิต และอีกหนึ่งคือแดนเป็นหนึ่งที่รวมทั้งสามระดับเป็นหนึ่งเดียวกัน”
เซวียนหยวนเฉิง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง พวกเรามีทั้งกายแห่ง หล่อเลี้ยงวิญญาณและแปลงจิต ต้องแยกย้ายกันไปยังแดนพิศวงแต่ละแห่งเพื่อทำภารกิจหรือ”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งพยักหน้า “ใช่ แดนพิศวงหยกโบราณเป็นสถานที่ซึ่งจักรพรรดิจื่อเวยแห่งสรวงสวรรค์ ใช้เพื่อหลอมกระบี่พิชิตมารของเผ่าพันธุ์ขนนิลให้บริสุทธิ์ แดนพิศวงแห่งนี้เป็นค่ายกลขจัดมลทินค่ายกลนี้มีชื่อว่าค่ายกลดับวิญญาณไตรโลก เป็นค่ายกลที่สามารถชักนำพลังแห่งฟ้าดินให้แยกออกเป็นสามสาย กำจัดจิตวิญญาณของกระบี่พิชิตมาร ทำให้กระบี่พิชิตมารก่อกำเนิดจิตวิญญาณใหม่ แต่ค่ายกลนี้มีช่องโหว่ ระหว่างที่กำลังกำจัดจิตวิญญาณของกระบี่พิชิตมารนั้น พลังของมันจะแผ่กระจายไปทั่วแดนพิศวงทั้งสามภายในค่ายกล หล่อเลี้ยงสัตว์ประหลาดทั้งหลายแหล่ สัตว์ประหลาดเหล่านี้เป็นเหมือนสิ่งอุดตันของค่ายกล จะกีดขวางการไหลเวียนของค่ายกลและภารกิจของพวกเราก็คือเข้าไปในสามแดนนี้ กำจัดสัตว์ประหลาดเหล่านี้ให้สิ้นซาก!”
เมื่อฟังเซียนพสุธาเยว่อิ่งจบ จู่ๆ อันหลินก็รู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน
นี่เป็นปัญหาที่นักพรตฝีมือฉกาจบางคนสร้างไว้ จากนั้นให้พวกเขาช่วยทำงานเบ็ดเตล็ดชัดๆ
เพียงแต่ว่าเป็นการทำงานเบ็ดเตล็ดที่ค่อนข้างพรีเมี่ยม
จักรพรรดิจื่อเวยเป็นผู้เที่ยงแท้ เผ่าพันธุ์ขนนิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่และลึกลับอย่างยิ่งของแดนบรรพกาล กระบี่พิชิตมารเป็นศาสตราวุธที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุด…
“อ้อ จริงสิ จักรพรรดิปีศาจกับเจ้าแห่งผีดูดเลือดก็อยู่ข้างในเช่นกัน เป้าหมายของมันคงจะอยากอาศัยตอนที่ค่ายกลอ่อนกำลัง ทลายค่ายกล ชิงกระบี่พิชิตมารไปด้วยวิธีการบางอย่าง พวกมันจะใช้ศาสตราวุธของเผ่าพันธุ์ขนนิล เปิดเส้นทางของแดนพิศวง บุกเข้าไปด้วยวิธีนี้ จำต้องมีพลังที่จวนจะเข้าสู่ระดับแปลงจิตแล้วเท่านั้นจึงจะทำได้ ฉะนั้น มีเพียงแดนแบ่งจิตกับแดนเป็นหนึ่งเท่านั้นที่มีศัตรูเคลื่อนไหว พวกเจ้าไม่ต้องสนใจคนพวกนี้เลย ศัตรูเหล่านี้ ข้ากับเซียนพสุธามิ่งหยวนจะกำจัดให้สิ้นเอง” เซียนพสุธาเยว่อิ่งพูดเสริม
กำจัดให้สิ้น?
เมื่อได้ยินประโยคนี้ อันหลินก็เหนื่อยใจเหลือหลายอีกครั้ง
หากถามว่าเป็นเพราะอะไร…
นั่นเป็นเพราะเลือดของเขา…
สูญเปล่าน่ะสิ!
หากจักรพรรดิปีศาจและเจ้าแห่งผีดูดเลือดถูกกำจัดจนเหี้ยน เช่นนั้นนักพรตมนุษย์จะเล่นอะไรอีก คำสัญญาที่บอกว่าจะมอบแหวนมิติให้วงหนึ่ง ก็ถือเป็นโมฆะน่ะสิ
เฮ้อ ชีวิตเต็มไปด้วยความประหลาดใจจริงๆ…
จากนั้น เซียนพสุธาเยว่อิ่งก็อธิบายข้อควรระวังเกี่ยวกับแดงพิศวงอีกครั้ง
กระทั่งม่านรัตติกาลมาเยือน ดวงจันทร์ฉายเงาสะท้อนบนผิวน้ำ
แสงจันทร์ขาวผ่องสาดกระทบบ่อน้ำ คล้ายว่าจะมีดวงดาราเต็มนภาส่องสกาวอยู่ข้างใน
ทั้งห้าคนยืนอยู่เหนือบ่อน้ำโบราณอย่างระแวดระวัง
เซียนพสุธาเยว่อิ่งล้วงป้ายอาญาสิทธิ์ออกมา ลำแสงเส้นหนึ่งส่องไปที่พวกอันหลิน
“เจ้าแห่งดวงดารา ปรมาจารย์แห่งทุกสรรพสิ่ง พลังคุ้มกันแห่งจื่อเวย จันทราในวารี ทลาย!”
สิ้นเสียงตะโกน ร่างกายของพวกอันหลินก็ค่อยๆ โปร่งแสง เลือนหายไปช้าๆ สุดท้ายก็หายลับไปจากบริเวณนี้…
…………………………….