ภายในแดนกระดูกภายในแดนพิศวงหยกโบราณ ท้องฟ้าที่นี่เป็นสีเทาอึมครึม
แสงภายในแดนพิศวงมืดสลัว ราวกับเป็นโทนสีหนึ่งเดียวของดินแดนผืนนี้
ลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งผ่านไป อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานร่วงลงมายังแดนกระดูก
อันหลินกวาดสายตามองกระดูกขาวโพลนรอบตัว ดวงตาฉายความตกตะลึง
กระดูกเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นโครงกระดูกของมนุษย์ บางส่วนเป็นโครงกระดูกของสัตว์นิรนาม
เศษกระดูกกระจัดกระจายเต็มบริเวณ เมื่อทอดสายตามองไปมันช่างตระการตา
“ที่นี่เงียบสงัด ไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏให้เห็นเลย” อันหลินสอดสายตามองไปทั่วด้วยความสงสัย
ผืนดินสีดำสนิท ตัดกับโครงกระดูกสีขาว รอบกายวิเวกวังเวง ไร้เงาของสิ่งมีชีวิต
“แต่ก็อย่าประมาท อาจารย์เยว่อิ่งบอกแล้วว่า เพราะไม่ได้ทำความสะอาดค่ายกลนานแล้ว น่าจะมีสัตว์ประหลาดรวมตัวอยู่ในนี้ไม่น้อยเลย” สวีเสี่ยวหลานชักกระบี่ออกจากฝักแล้ว พูดด้วยสีหน้าขึงขัง
อันหลินพยักหน้า เดินไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง
อันที่จริงแดนกระดูกไม่นับว่าใหญ่มากนัก มีพื้นที่โดยรอบเพียงรัศมีสองกิโลเมตรเท่านั้น
เมื่อทั้งคู่เดินเหินอยู่ในแดนกระดูก ก็เหมือนกับว่าสิ่งแวดล้อมกำลังแปรเปลี่ยนไป
ไอหมอกดำทมิฬผุดขึ้นจากผิวดินช้าๆ ทำให้อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานระวังตัวเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น ท่ามกลางม่านหมอกสีดำตรงหน้าอันหลิน ก็มีโครงกระดูกมนุษย์เดินออกมา
โครงกระดูกเดินนวยนาดมาทางอันหลิน ยกมือซ้ายขึ้นเท้าสะเอว ก้นงอนงาม เอียงกะโหลกเล็กน้อย พูดเสียงหวานว่า “ท่านผู้นี้ ข้างามหรือไม่”
อันหลิน “…”
สวีเสี่ยวหลาน “…”
เมื่อโครงกระดูกเห็นสองคนตรงหน้าทำหน้าประหลาด ก็ก้มลงมองร่างของตัวเองอย่างฉงนสนเท่ห์
จากนั้น มันก็หันหลังเงียบๆ เดินหายลับไปในหมอกดำอีกครั้ง
สามวินาทีต่อมา หญิงงามที่แต่งตัวโป๊เปลือย รูปร่างเย้ายวนก็ก้าวออกจากหมอกดำ
นางลูบไล้หน้าอกของตัวเองอย่างยั่วยวน แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก พูดเสียงออดอ้อนว่า “ท่านผู้นี้ ข้างามหรือไม่”
อันหลิน “…”
สวีเสี่ยวหลาน “…”
หากว่าออกมาครั้งแรกไม่ใช่โครงกระดูก แต่เป็นหญิงงามละก็ ปฏิกิริยาของทั้งคู่อาจจะดีกว่านี้
ส่วนตอนนี้…
อันหลินไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยหมัดสะเทือนขุนเขาออกไปทันที!
กำปั้นสีทองขนาดหนึ่งจั้งกระแทกร่างของหญิงงามยั่วยวนคนนั้น ทำให้นางกลับสู่ร่างโครงกระดูก แม้แต่โครงกระดูกก็ถูกแรงของหมัดอันน่ากลัวสะเทือนจนแหลกละเอียด!
หมอกสีดำตรงหน้าอันหลินก็สลายหายไปเมื่อโครงกระดูกถูกกำจัด
“คงจะต้องกำจัดโครงกระดูกในหมอกสีดำให้สิ้นซาก จึงจะเปิดเส้นทางของแดนพิศวงได้กระมัง” เมื่อหมอกดำมลายหายไปแล้ว อันหลินก็ทำหน้ากระจ่างแจ้ง
สวีเสี่ยวหลานก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ทว่าเรียวคิ้วงามกลับขมวดเล็กน้อย “แต่หมอกดำในแดนกระดูก เพียงคาดคะเนจากสายตา ก็มีนับร้อยแห่งแล้ว หากจะกำจัดทีละแห่ง เสียเวลาไม่พอ จะผลาญพละกำลังมหาศาลอีกด้วย”
อันหลินได้ฟังก็หยุดคิดครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาก็เป็นประกาย “ไป เราไปทดลองกันก่อน!”
พูดจบ เขาก็วิ่งไปหยุดยืนตรงหน้าหมอกดำอีกแห่ง
เป็นอย่างที่คาด หญิงงามแสนยั่วยวนเดินออกมาจากหมอกดำ หยอกเย้าเขาไม่หยุดเช่นเดิม
เมื่ออันหลินเห็นหญิงงามคนนั้นก็รีบหันหลังวิ่งออกไป
“โธ่ ท่านอย่าหนีสิ!” หญิงงานเห็นดังนั้นก็ไล่ตามมา ปลายนิ้วปล่อยลำแสงระยิบระยับ
“เสี่ยวหลาน ข้าจะไปวิ่งรอบแดนกระดูกรอบหนึ่ง จะล่อสัตว์ประหลาดออกมาให้หมด! เจ้าอยู่เตรียมพลังเซียนทำลายล้างครั้งใหญ่ที่นี่นะ!”
อันหลินถูกหญิงงามไล่กวด เขาเริ่มวิ่งไปยังหมอกดำอีกแห่ง พลางตะโกนบอกสวีเสี่ยวหลานไปด้วย
“อืม…วิธีนี้ดี ประหยัดเวลาไม่เปลืองแรง!”
นัยน์ตาของสวีเสี่ยวหลานแวววับ เริ่มเตรียมค่ายกลอัคคีสังหารศัตรูทันที
ทุกครั้งที่อันหลินวิ่งเข้าไปใกล้หมอกดำ ก็จะมีหญิงงามโผล่มาจากกลุ่มหมอก จากนั้นวิ่งไล่เขา
รูปลักษณ์ของหญิงงามเหล่านี้ล้วนละม้ายคล้ายคลึงกัน
เมื่อเขาเหลียวหลังมอง ราวกับมีสาวเกาหลีกำลังไล่ขวดเขา คำพูดเป็นหนึ่งเดียวกัน “โธ่ ท่านอย่าหนีสิ!”
แน่นอนว่า ภายในนั้นก็มีหญิงงามโครงกระดูกที่แปลงร่างไม่สำเร็จอยู่ด้วยเช่นกัน
โครงกระดูกเหล่านี้ก็ตะโกนเสียงหวานหยาดเยิ้มเหมือนกันว่า “โธ่ ท่านอย่าหนีสิ!”
เมื่ออันหลินเห็นฉากนี้ ขนก็ต่างลุกเกรียว
ให้ตายสิ ก่อนโครงกระดูกพวกนี้จะออกมายั่วยวน ไม่ส่องกระจกหน่อยเหรอ!
จวนจะครบหนึ่งรอบ
ด้านหลังอันหลินมีกองทัพหญิงงามหลายร้อยคนรวมตัวกันแล้ว
พวกนางเหยียบย่ำผิวดินที่เกลื่อนกลาดไปด้วยกระดูก ส่งเสียงดังกรอบแกรบ ประหนึ่งสายฝนเทกระหน่ำลงมา มันเป็นเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว
ประโยคเย้ายวนใจ ‘โธ่ ท่านอย่าหนีสิ’ เป็นเพราะมีคนตะโกนมากเกินไป จึงยิ่งฟังดูดังอื้ออึง หมดสิ้นความเย้ายวน เริ่มกลายเป็นน่าสยดสยองแล้ว
อีกฟากหนึ่ง สวีเสี่ยวหลานเตรียมค่ายกลอัคคีเสร็จแล้ว
นางยังใช้กระบี่วาดวงกลมลงบนพื้น เพื่อระบุขอบเขตของค่ายกลอีกด้วย
อันหลินเหลียวหลังมอง เมื่อพบว่าไม่มีหญิงงามคนไหนตกหล่น ก็โล่งใจ แต่กลับรู้สึกเสียดายนิดหน่อย
อันที่จริงความรู้สึกที่ถูกหญิงงามเป็นโขยงไล่ตามมันช่างดียิ่งนัก
เพราะ…เป็นครั้งแรกที่มีหญิงงามมากมายขนาดนี้วิ่งไล่เขา
แม้จะรู้ว่าพวกนางเป็นของปลอม แต่ในใจก็รู้สึกดีไม่น้อยเลย
เมื่อกองทัพหญิงงามเหล่านี้ย่างกรายเข้าในเขตค่ายกล อันหลินก็พุ่งออกจากค่ายกลทันที
จากนั้น เขาหันกลับมา มองกองทัพไล่ล่าที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแวบหนึ่ง
เขาในตอนนี้ มีแสงสีทองสว่างวาบในดวงตา พลังสูงส่งกำลังแผ่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
หญิงงามหลายร้อยชีวิตทรงตัวไม่อยู่ ล้มลงกับพื้นในพริบตา
ต่อให้เป็นหญิงงามที่มีพลังแก่กล้า ก็ชะงักไปเช่นกัน
ในขณะเดียวกันนั้น สวีเสี่ยวหลานก็ประสานอิน จู่ๆ ผิวดินในขอบเขตค่ายกลก็ร้อนระอุขึ้นมา
เพียงชั่วอึดใจ ก็มีเสาอัคคีสูงเสียดฟ้าปรากฏขึ้นกลางผืนดินที่กลายเป็นสีแดงฉาน
ครืน
เปลวไฟร้อนระอุ ปกคลุมหญิงงามหลายร้อยชีวิตไว้ในค่ายกล
ภายในค่ายกลอัคคี เหล่าหญิงงามต่างก็เผยรูปโฉมที่แท้จริง
โครงกระดูกทั้งหลายกำลังร้องโหยหวน สุดท้ายก็ล้มลงไป
เปลวไฟในค่ายกลค่อยๆ มลายหายไป กองทัพหญิงงามกลายเป็นโครงกระดูกหล่นร่วงลงพื้นอีกครั้ง ควันดำลอยโขมง
ขณะเดียวกัน บริเวณที่มีควันดำลอยกระจาย ก็ค่อยๆ สลายหายไปช้าๆ
“เรียบร้อย!” สวีเสี่ยวหลานมายืนข้างอันหลิน ใบหน้างดงามไร้มลทินแลดูซีดเซียวเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าค่ายกลเมื่อครู่นี้ ผลาญพลังของนางไปไม่น้อยเลย
“ตอนนี้กำจัดสัตว์ประหลาดเรียบร้อยแล้ว ประตูสู่แดนเป็นหนึ่งน่าจะปรากฏขึ้นมาแล้วกระมัง” อันหลินกวาดสายตามองรอบข้าง
เซียนพสุธาเยว่อิ่งเคยกล่าวไว้ว่า จำต้องกำจัดสัตว์ประหลาดในแดนกระดูกให้สิ้นซากเท่านั้น เส้นทางไปสู่แดนเป็นหนึ่งจึงจะปรากฏให้เห็น
มันเป็นเส้นทางทางเดียว จะเข้าแดนเป็นหนึ่งต้องผ่านแดนกระดูกเท่านั้น
อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานแค่คอยรออยู่ที่หน้าประตูก็พอ เมื่อเซียนพสุธาเยว่อิ่งจัดการศัตรูในแดนเป็นหนึ่งจนราบคาบแล้ว จะใช้ยันต์แจ้งพวกเขาเอง
ทันใดนั้น ผิวดินก็เริ่มสั่นสะเทือน ประตูสีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นในแดนกระดูก
ภายในประตูเป็นลำแสงขาวบริสุทธิ์ มองไม่เห็นว่าด้านในมีอะไร
และสิ่งนี้ คงจะเป็นประตูที่เชื่อมต่อระหว่างสองแดนเป็นแน่
“ไปกันเถอะ เราไปรอที่ปากประตูกัน” อันหลินพูด
ตึก ตึก…
จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากหลังประตู
“ระวัง มีบางสิ่งกำลังเข้ามา!” สวีเสี่ยวหลานจดจ้องประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อันหลินเองก็ตกใจ กล้ามเนื้อทั่วร่างเริ่มหดเกร็ง
มันเป็นเส้นทางทางเดียวไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมีอะไรบางอย่างกำลังเดินออกมาจากข้างในล่ะ ……………………………….