ต่อล้อต่อเถียง โดย ProjectZyphon

เวลาผ่านไป หลินสวินนั่งรอจนใกล้หมดความอดทน

ทันใดนั้นคนที่นั่งข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น “ไอ้หนุ่ม ถ้าทนไม่ไหวก็อย่ามารอเลย เจ้าคิดว่าคุณชายสามแห่งอัครการค้าจะเจอได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”

หลินสวินเงยหน้าขึ้นมอง เป็นชายวัยกลางคนไว้หนวดคนหนึ่งกำลังยิ้มให้ตนอยู่

“เหตุใดจึงว่าเช่นนั้นเล่า” หลินสวินถามกลับเรียบๆ

“หึๆ ถามอย่างนี้เพราะเจ้ายังเด็กอยู่สินะ ลองหันไปดูฐานะของคนอื่นๆ ที่นั่งรออยู่สิ”

ชายไว้หนวดวางท่าอวดเบ่งว่าเป็นผู้มากประสบการณ์กว่า คำพูดแฝงนัยกลายๆ ว่า ขนาดคนที่นั่งในที่นี้ที่ล้วนมีฐานะดีกว่าเขา ก็ยังทำได้เพียงนั่งรอ เขาซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา จะมีคุณสมบัติใดให้ไม่ต้องรอ

หลินสวินหลุดยิ้ม คร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่าย เพียงแค่นั่งรอเข้าพบสืออวี่เท่านั้น ก็ทำให้คนผู้นี้กล้าสั่งสอนเขาแล้วอย่างนั้นหรือ

ชายวัยกลางคนไว้หนวดคล้ายไม่พอใจกับท่าทางของหลินสวิน แค่นหัวเราะใส่ “ไอ้หนุ่ม อย่าอวดดีนักเลย โลกนี้โหดร้าย หากไม่รู้จักสงวนท่าทีบ้างจะเป็นภัยเอานะ”

พลันคนทั้งห้องก็หัวเราะครืน

อาจเพราะนั่งรอจนเบื่อ เมื่อได้ยินชายวัยกลางคนไว้หนวดสั่งสอนเด็กใหม่อย่างหลินสวินแล้วจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

“เฮ้ พี่ชาย จะว่าอย่างนี้ก็ไม่ถูก อย่าไปว่าน้องชายท่านนี้สิ ท่านไม่เห็นว่าเขาน่าสงสารบ้างหรือ ที่อยากมาเข้าพบคุณชายสามก็เพราะอยากทำความรู้จักจากนั้นจะได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอย่างไรเล่า”

“ปัดโธ่! เด็กที่ไม่มีแม้แต่ความอดทนในการรอ ยังคิดจะมีชื่อเสียงอีกหรือ น่าขันนัก”

ผู้ฝึกตนในห้องรับรองพากันเหน็บแนมหลินสวิน พวกเขาเห็นว่าหลินสวินอยู่ในชุดเสื้อผ้าธรรมดา ไม่คล้ายคนมีฐานะโดดเด่นอะไร จึงกล่าววาจาหยอกเย้าเสียดสีอย่างหนัก

หลินสวินลอบปลงในใจ ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่น้อยๆ กวาดตามองคนอื่นรอบห้อง “พวกท่านเก่งกาจขนาดนี้ ก็ยังต้องนั่งรอเหมือนข้าเลยไม่ใช่หรือ”

ประโยคเดียวนั้นทำให้ทุกคนนิ่งค้างทำหน้าไม่ถูก

เด็กหนุ่มยังคงยิ้มว่า “ข้าเด็กแล้วอย่างไร พวกท่านลองกลับมาเป็นเด็กเหมือนข้าให้ดูหน่อยเถิด อย่าคิดว่าแก่แล้วใช้ชีวิตไม่สมใจจนต้องมาลงกับคนอื่นเช่นนี้ พูดให้น่าฟังก็คงต้องบอกว่าไม่รู้จักรักตัวเอง แต่ถ้าขัดหูหน่อยต้องเรียกว่าไม่รู้จักละอาย!”

หากไล่เรียงความสามารถในการลับฝีปากแล้ว หลินสวินก็ไม่เคยแพ้ใคร

คำพูดนี้พาให้ผู้ฝึกตนพวกนั้นหน้าเปลี่ยนสี เปี่ยมด้วยโทสะ ไม่รู้จักรักตัวเอง? ไม่รู้จักละอาย?

เด็กหนุ่มคนนี้กล้าด่าพวกเขา!

“บังอาจ!”

ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งตบโต๊ะลุกยืน “ระวังปากพาซวย”

หลินสวินนั่งนิ่ง ปากยังคงว่า “เป็นอย่างไรเล่า โดนจี้ใจดำก็เลยจะลงไม้ลงมืออย่างนั้นสินะ ข้าแค่พูดความจริงก็ทำให้พวกท่านโมโหซะแล้ว ท่านใช้ชีวิตล้มเหลวจริงๆ ถ้าข้าเป็นท่านคงจะไม่มัวพูดพล่าม แต่คงบีบคอฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า จะได้ไม่เปลืองทรัพยากรบนโลกเปล่าๆ”

ทุกคนตะลึง เด็กคนนี้ปากร้ายนัก!

“เจ้า!”

ผู้ฝึกปราณที่ตบโต๊ะคนนั้นหน้าแดงก่ำ สะบัดเสียงหยิบกระบี่จ่อหันไปทางหลินสวิน

หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “โง่งม ที่นี่คืออัครการค้านะ ท่านแน่ใจหรือว่าจะลงมือ อยากตายไม่ต้องรีบหรอก แต่ถ้าความใจร้อนของท่านสร้างความเดือนร้อนแก่คนอื่น…”

ผู้ฝึกปราณคนอื่นหน้าเปลี่ยนสี แม้จะไม่ยินยอม แต่พวกเขาต้องยอมรับว่าหลินสวินพูดถูก ต่อสู้กันในอัครการค้าเท่ากับไม่อยากมีชีวิตอยู่ชัดๆ

ทันใดนั้นชายชุดเขียวคนหนึ่งในที่นั้นก็เอ่ยปราม “สหายใจเย็นก่อน อย่าไปถือสาเด็กคนหนึ่งเลย เขาไม่ได้รับการสั่งสอน หรือท่านก็เป็นเช่นเดียวกันกับเขาเล่า”

ผู้ฝึกปราณคนนั้นหอบหายใจข่มอารมณ์ตัวเองไว้ในที่สุด เขาเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วทิ้งตัวนั่ง สีหน้ายังคงครึ้มเขียว

เห็นชัดว่ากำลังใคร่ครวญ ว่าหลังออกจากอัครการค้าแล้วจะจัดการหลินสวินอย่างไร

หลินสวินคร้านจะสนใจเขาเช่นกัน มองชายชุดเขียวที่เข้ามาห้ามแล้วเอ่ยว่า “นี่สุนัขจากบ้านใครกันเล่า กินไม่อิ่มก็เลยออกมาเห่าคนเล่นหรือ”

ชายชุดเขียวคนนั้นบันดาลโทสะ “ข้าเข้ามาปรามเพราะหวังดี เจ้ากลับกล้าด่าข้าเป็นสุนัขอย่างนั้นหรือ”

หลินสวินหัวเราะ “ไม่ใช่ ข้าด่าสุนัขต่างหาก”

ชายชุดเขียวโกรธจนเส้นเอ็นปูดบนขมับ กระเด้งตัวลุกยืน “วันนี้ถึงข้าจะถูกไล่ออกไป ก็ขอฆ่าเด็กปากร้ายอย่างเจ้าสักครั้งเถิด!”

คนอื่นรีบลุกขึ้นห้าม “พี่ชายอย่าใจร้อน เมื่อครู่ท่านบอกว่าอย่าถือสาเด็กไม่ใช่หรือ ทำไมตัวท่านถึงทนไม่ได้เสียเองเล่า”

ชายชุดเขียวถูกปรามเอาไว้ แต่หลินสวินกลับกระแนะกระแหนต่อ “ดูสิ แบบนี้เรียกสุนัขผดุงคุณธรรม ด่าผู้อื่นไม่ได้รับการสั่งสอนได้ แต่ตัวเองโดนบ้างกลับรับไม่ได้ อย่างนี้สู้สุนัขไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ปล่อยข้า ข้าจะฆ่าเขา! ข้าจะฆ่าเขา!” ชายชุดเขียวโวยวาย ท่าทีดั่งหากไม่ได้สังหารหลินสวินก็จะไม่หายแค้น

ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นยิ้มขื่น พวกเขาก็ไม่อยากห้าม แต่หากอัครการค้าทราบเรื่องแล้วพวกเขาพลอยโดนหางเลขไปด้วยจะทำอย่างไร

ขณะเดียวกันพวกเขาต่างตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มอย่างหลินสวินนั้นไม่เหมือนกับคนอื่น เขาไม่ใช่คนที่จะรังแกได้โดยง่ายเลย

“พวกท่านอย่าห้าม ให้เขาลงมือเลย” หลินสวินยังคงนั่งนิ่ง คำพูดคำจาฉะฉาน “ข้าก็อยากรู้ว่าสุนัขผดุงคุณธรรมที่ทั้งโง่ทั้งไม่ได้รับการสั่งสอนอย่างนี้จะกัดเนื้อข้าได้หรือไม่”

อั่ก!

ชายชุดเขียวกระอักเลือดเพราะโทสะ เขาไม่เคยเจอเด็กที่ไร้มารยาทแถมยังปากจัดขนาดนี้มาก่อน

“น้องชาย เจ้าสงบปากสงบคำทีเถิด การสร้างศัตรูไปทั่วไม่ใช่เรื่องดี”

“นั่นสิ เรื่องใดยอมได้ก็ยอมบ้าง”

ผู้ฝึกตนเหล่านั้นปวดหัว

“ขออภัย ข้ายังเด็กไม่รู้ความแล้วยังทะนงตนนัก ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมท่าที จะสร้างศัตรูก็ช่วยไม่ได้”

เพราะสถานะที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ต้องพบกับปัญหาภายในตระกูล แม้ภายนอกของเขาจะดูไม่เป็นไร แต่ในใจของหลินสวินกลับหนักอึ้งนัก ในยามนี้ยังถูกผู้ฝึกปราณที่รอเข้าพบสืออวี่พูดจาดูถูกดูแคลน จะให้เขาทนได้อย่างไร

หากรู้จักหลินสวินย่อมรู้ว่าเขาไม่ใช่คนยอมเสียเปรียบใคร

ดังนั้นสงครามน้ำลายเมื่อครู่เขาจึงใส่ออกมาไม่ยั้ง ถือเป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง เพียงแต่หลังจากที่เขากล่าวออกไปแล้ว สำหรับผู้ฝึกปราณเหล่านั้นกลับไม่ต่างไปจากการโดนท้าทาย ต่อว่าทั้งหมู่

ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นโมโห เด็กคนนี้อวดดีเกินไปแล้ว

พลันพวกเขาจึงไม่ห้ามชายชุดเขียวอีก สายตาต่างมองไปที่หลินสวินด้วยไอสังหาร ท่าทางเอาเรื่อง

“โอ้ เหตุใดท่าทางเปลี่ยนไปแล้วล่ะ คนไม่มั่นคงในอุดมการณ์อย่างพวกท่านจะยังทำตัวเป็นคนดีได้อีกหรือ แล้วต่างอะไรกับหญ้าบนกำแพงหรือ[1]” หลินสวินนั่งอยู่ตรงนั้น เอ่ยคำพูดไม่ไว้หน้า

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

ในที่สุดชายชุดเขียวก็ลงมือ ขยับกายไหววูบ ฟันกระบี่มาทางหลินสวิน

ปัง!

ตอนนั้นเองประตูห้องรับรองถูกถีบออก เด็กหนุ่มในชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาเดินเข้ามา

แย่แล้ว!

ทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น นัยน์ตาชายชุดเขียวก็หดรัดโดยพลัน ร้องเสียงหลงชะงักกายกลางคัน

กระบี่ในมือของเขาห่างจากศีรษะของหลินสวินไปเพียงสามชุ่น แต่กลับคล้ายถูกจัดวางไว้ไม่ไหวติง

คุณชายสาม! ขะ เขามาได้อย่างไร

ยามนี้คนในห้องรับรองที่รับรู้สถานะของผู้มาใหม่ต่างพากันตกใจ เบิกตากว้าง ทั้งร่างเย็นวาบ โทสะในใจหายไปที่ใดไม่ทราบ

หลินสวินยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับกายไปไหน ท่าทางเงียบสงบคล้ายไม่กังวลกระบี่ที่ห่างจากศีรษะเพียงสามชุ่นนั่นเลย

แต่ครั้นเห็นสืออวี่ที่แต่งกายในชุดสีขาวสง่าผ่าเผยเหมือนที่ผ่านมาก็กลอกตาอย่างอารมณ์เสีย “แอบฟังอยู่ข้างนอกสนุกดีไหมเล่า”

เมื่อประโยคนี้ดังออกไป ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างสะท้าน เด็กคนนี้อยากตายหรือ เหตุใดจึงกล้าค่อนแคะคุณชายสาม

สืออวี่ไม่มีท่าทีไม่พอใจ กลับยักไหล่หัวเราะร่า “ข้าแค่อยากรู้ ว่าไม่เจอกันสองปีเจ้าจะเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่ ไม่คิดว่าคนจะไม่เปลี่ยน แต่ปากกลับร้ายเช่นนี้”

คราวนี้ผู้ฝึกปราณพวกนั้นดั่งโดนฟ้าฝ่า ตระหนักได้ทันทีว่าเด็กปากเสียคนนั้นรู้จักกับคุณชายสามอยู่ก่อนแล้ว

อีกทั้งดูท่าว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย…

ครั้นคิดถึงเมื่อครู่ที่พวกเขาพากันดูถูกเหยียดหยาม คิดว่าหลินสวินไม่รู้ความ ไม่รู้จักกระทั่งการอดทนรอ พวกเขาล้วนอยู่ไม่สุข รู้สึกเหมือนยกหินทับเท้าตัวเอง

หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่รู้จักสืออวี่อยู่แล้ว ใครจะยังมานั่งทนรอกันเล่า

ซวยล่ะ คราวนี้เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว!

เหล่าผู้ฝึกปราณแทบอยากร่ำร้อง ต้องโทษที่พวกเขาดูคนจากภายนอก มีตาแต่ไร้แวว มองสหายของคุณชายสามเป็นเด็กน่ารังแกไปเสียได้

คนที่มีท่าทีแปลกที่สุดก็คือชายชุดเขียวที่ตะลึงค้างในท่าจับกระบี่ไม่ไหวติงอย่างกับรูปปั้น

“พี่ชาย อยู่ท่านี้คงจะเหนื่อย ข้าเข้าใจอารมณ์ของท่านนะ แต่ว่าขอพูดอะไรอีกสักหน่อย คราวหลังอย่าเป็นสุนัขผดุงคุณธรรมอีกเลย ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกคนหมายหัวเอาได้” หลินสวินถอนหายใจ

ชายชุดเขียวคนนั้นพยักหน้าหงึกหงักคล้ายยอมรับความผิดจากใจจริง

หลินสวินไม่อยากดื้อดึงเอาความ เตือนด้วยความหวังดีว่า “เก็บกระบี่เถิด ท่านทำเช่นนี้มันน่าอายนะ”

………………………………….

[1]หญ้าบนกำแพง ใช้เปรียบเทียบคนโลเล เอนเอียงไปมาตามอำนาจ คล้ายต้นหญ้าบนกำแพงที่เอนไปตามแรงลม