ตอนที่ 96 ชดใช้ค่าเสียหายตามราคาตลาด

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 96 ชดใช้ค่าเสียหายตามราคาตลาด

โจซื่อยังไม่ทันได้ไปเปิดประตูก็เห็นพ่อแม่ของสามีออกมาเสียก่อน โดยปกติแล้วสถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถชิงตัดหน้าได้ โจซื่อจึงก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างหลังท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อ

เมื่อท่านปู่เจียงเปิดประตูได้ เขายังไม่ทันพูดว่า ‘พี่ห้ามาได้อย่างไร’ ก็เห็นว่าเจียงเหล่าหวู่ไม่ได้มาคนเดียว เขาเห็นว่าพวกหลานชายทั้งสี่คนของเจียงเหล่าหวู่ก็ตามมาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีคนที่ท่านปู่เจียงไม่ต้องการเห็นมาด้วย

เจียงป่าวชิง

หัวคิ้วของท่านปู่เจียงขมวดทันที “พี่ห้า! เหตุใดถึงพาเจ้าเด็กคนนี้มาด้วย ? มีธุระอะไรหรือไม่ ?”

เพิ่งพูดถึงที่ดินห้าไร่ก็ต้องมาเห็นตัวการก่อเรื่องเสียแล้ว เมื่อหลีโผจื่อเห็นเจียงป่าวชิงก็ทำให้นางนึกถึงที่ดินห้าไร่ และนางก็รู้สึกไม่สบอารมณ์มากเช่นกัน นางอยากเข้าไปฉีกเจียงป่าวชิงให้เละเสียเดี๋ยวนั้น

ตอนที่เจียงป่าวชิงตัวคนเดียว นางก็ไม่เคยกลัวหลีโผจื่อกับท่านปู่เจียงอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อมาอยู่ข้าง ๆ เจียงเหล่าหวู่กับพวกหลานชายของเขา นางก็ยิ่งไม่กลัว

เมื่อเจียงเฟยเห็นว่าสายตาที่ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อใช้มองเจียงป่าวชิงนั้นออกจะผิดปกติไปสักหน่อย เขาจึงจงใจเดินขึ้นมาขวางหน้าเจียงป่าวชิงและบดบังสายตาของท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อได้อย่างพอดิบพอดี

เจียงเหลาหวู่ส่งเสียงออกมาทางจมูกเล็กน้อย “เราจะคุยกันข้างนอกนี้อย่างนั้นรึ ? เจ้าจะไม่เชิญพี่ห้าของเจ้าเข้าไปในบ้านหน่อยหรืออย่างไร ?”

ท่านปู่เจียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง การเปิดประเด็นสู้รบของเจียงเหล่าหวู่นี้ ดึงดูดผู้คนที่กำลังสนใจจะดูเรื่องของชาวบ้านให้ยื่นศีรษะออกมามองอย่างสนใจ เขาจึงคิดว่าถ้าหากพูดกันข้างนอกก็คงจะเป็นที่ดึงดูดสายตาจริง ๆ

ท่านปู่เจียงจึงทำได้เพียงอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ “ได้ เข้ามาคุยกันข้างใน”

คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน ท่านปู่เจียงยังไม่ทันพูดอะไร หลีโผจื่อก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “พี่ห้า ปกติแล้วครอบครัวของเราก็ไม่ได้มีการติดต่ออะไรกัน นี่ก็ไม่ใช่เทศกาลอะไร เหตุใดพี่ถึงพาพวกหลานชายของพี่มาที่นี่ ?”

หลีโผจื่อเห็นหลานชายทั้งสี่คนของเจียงเหล่าหวู่ที่กำลังยืนเบียดกันอยู่ตรงนั้น นางก็รู้สึกอิจฉาอยู่เล็กน้อย จึงอดพูดคำพูดที่เป็นกรดออกมาอย่างเสียไม่ได้

เจียงเหล่าหวู่มองหลีโผจื่อแต่ไม่ได้สนใจนาง เขาเลือกที่จะหันไปพูดกับท่านปู่เจียงอย่างจงเกลียดจงชังแทน “น้องเจ็ด เจ้าเป็นผู้นำครอบครัวประสาอะไร เจ้าดูเมียของเจ้าสิ ครั้งที่แล้วก็เคยบอกแล้วว่ามันไม่เข้าท่า เจ้าก็ยังปล่อยให้นางคร่อมอยู่บนหัวเจ้าแบบนี้อยู่อีกรึ ?”

สีหน้าของท่านปู่เจียงดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง เขาหันไปตะเพิดหลีโผจื่อด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เจ้ายังไม่รีบไปรินน้ำให้พี่ห้ากับพวกหลาน ๆ อีก ไปสิ ไป!”

หลีโผจื่อจำใจเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก และตอนที่นางเดินผ่านเจียงป่าวชิง นางก็ถลึงตาใส่เจียงป่าวชิงอยู่เล็กน้อย ทว่าเจียงป่าวชิงไม่สนใจนาง

ท่านปู่เจียงพยายามอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ “พี่ห้า ตอนนี้เราคุยกันได้หรือยัง พี่มาที่นี่มีธุระอะไรรึ ?”

เจียงป่าวชิงเป็นฝ่ายพูดขึ้น “ข้าพูดเองจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

เจียงเหล่าหวู่มองเจียงป่าวชิงเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร ขณะที่ทางฝั่งท่านปู่เจียง เขาเห็นเจียงป่าวชิงแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดจับใจจนขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ?”

เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “ท่านปู่สองเจ้าคะ หากว่าเป็นไปได้ข้าก็อยากให้ครอบครัวของเราไม่ต้องเจอกันอีกตลอดชีวิต แต่ท่านปู่มักจะชอบทำเรื่องที่ไม่สามารถนำขึ้นมาบนโต๊ะได้ ทำให้ข้าลำบากใจมาก”

ท่านปู่เจียงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขากำลังจะเข้าไปเล่นงานเจียงป่าวชิง “เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้าห๊ะ ?!”

เจียงเฟยกับเจียงจือผู้เป็นน้องมาขวางอยู่ตรงหน้าเจียงป่าวชิง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายที่เปิดเผยออกมามันกลับชัดเจนอยู่แล้ว

ท่านปู่เจียงทำสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็มองไปที่เจียงเหล่าหวู่ “พี่ห้า พี่หมายความว่าอย่างไร ? ข้าสั่งสอนลูกหลานบ้านข้า เหตุใดหลานของพี่ถึงได้ยื่นมือเข้ามาแทรก ?”

เจียงเหล่าหวู่พูดขึ้น “น้องเจ็ด ดูเจ้าพูดเข้าสิ ป่าวชิงก็เป็นลูกหลานของข้าเช่นกันและเป็นน้องสาวของพวกหลานชายของข้า เป็นพี่ชายก็ต้องปกป้องน้องสาวสิ ไม่เห็นแปลก”

ท่านปู่เจียงหัวเราะอย่างเย็นชา “พี่ห้า ครอบครัวข้าเลี้ยงเจ้าเด็กนี่มาตั้งหลายปี เหตุใดพี่ถึงไม่เคยมาสนใจลูกหลานของพี่คนนี้เลย ?”

เจียงเหล่าหวู่พูดอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน “ก็ข้าไม่ได้เอาที่ดินสิบไร่ของครอบครัวป่าวชิงไปอย่างที่เจ้าเอา!”

คำพูดนี้จี้จุดด้อยของท่านเจียง เขาหอบหายใจสักครู่ สุดท้ายก็เก็บมือที่กำลังจะเล่นงานเจียงป่าวชิงอย่างโมโห

เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “ท่านปู่สองเจ้าคะ ข้าคงพูดต่อได้แล้วนะ ?”

แม้จะถามไปอย่างนั้น แต่เจียงป่าวชิงกลับไม่เปิดโอกาสให้ท่านปู่เจียงได้พูดปฏิเสธ นางทำเพียงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ท่านปู่สอง ตอนนั้นท่านกับข้าคุยกันอย่างชัดเจนแล้วนี่เจ้าคะว่าโฉนดที่ดินห้าไร่นั้นก็เป็นของครอบครัวข้าแล้ว หลังจากที่ข้าวสาลีในที่ดินห้าไร่นั้นสุก ก็ถึงตาครอบครัวข้าเพาะปลูกแล้ว แต่ตอนนี้ท่านปู่กลับปลูกผักกาดขาวในที่ดินของข้าวสาลี นี่มันหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ?”

ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องนี้จริง ๆ แล้วยังวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเจียงเหล่าหวู่อีกต่างหาก ท่านปู่เจียงแอบครุ่นคิดในใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างเย็นชา “หึ ๆ ๆ แล้วเจ้าจะทำไม บนโฉนดที่ดินระบุว่าไม่ให้บ้านข้าปลูกผักกาดขาวรึ ? ในเมื่อปลูกผักกาดขาวแล้ว เจ้าก็รอผักกาดขาวจนมันโตเต็มที่แล้วเจ้าค่อยทำการเพาะปลูกก็ได้นี่”

เจียงเฟยเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่เล็กน้อย เขาจึงอดที่จะพูดขึ้นมาจากด้านข้างอย่างเสียไม่ได้ “หากรอนานเช่นนั้นก็พลาดช่วงเวลาเพาะปลูกสิปู่!”

ท่านปู่เจียงพูดขึ้น “พลาดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ?” เขาชะงักไป จู่ ๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นก็กระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาให้เห็น “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ชดใช้ค่าเสียหายให้ครอบครัวข้าตามราคาตลาดของผักกาดขาวสิ!”

เจียงเฟยเกือบต้องด่าคนเพราะหมดความอดทน

ไอ้ปู่คนนี้นี่หน้าด้านเหลือจะทนจริง ๆ!

เขาไปดูผักกาดขาวในที่ดินมาแล้ว มันถูกปลูกขยุกขยิกอยู่ในที่ดินของข้าวสาลี จะปลูกได้ผลผลิตดีได้ที่ไหนกันล่ะ ตอนนี้ยังมีหน้ามาเรียกร้องให้พวกเขาชดใช้ค่าเสียหายตามราคาตลาดของผักกาดขาวอีก นี่มันไม่ต่างอะไรกับนักต้มตุ๋นเลยด้วยซ้ำ

เจียงเหล่าหวู่อารมณ์ร้อนยิ่งกว่าเจียงเฟย เขาลุกขึ้นทันที จากนั้นเขาก็ก่นด่าเสียงดัง “เจียงเหล่าชี เจ้านี่หน้าไม่อายจริง ๆ วงศ์ตระกูลเรามีคนหน้าไม่อายแบบเจ้าเสียที่ไหน! ข้าเริ่มคิดแล้วว่าไม่ควรเหลือที่ดินห้าไร่ให้เจ้าในตอนนั้น แต่ควรทำให้เจ้าหมดตัวซะดีกว่า”

ขณะนั้นเอง หลีโผจื่อถือกาน้ำเข้ามา นางวางกาน้ำลงบนโต๊ะอย่างแรงและก่นด่า “เจียงเหล่าหวู่! นี่เป็นเรื่องของครอบครัวข้า เจ้าอย่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน เอาเวลาไปใส่ใจเรื่องการกินของครอบครัวเจ้าก่อนเถอะ อย่าคิดว่ามีหลานชายสี่คนแล้วจะเจ๋ง! ที่ดินชำรุดของบ้านเจ้า เจ้าเลี้ยงรอดแล้วหรือ ?”

หลีโผจื่อคิดว่าตัวเองแทงลงไปถึงในท่อปอดของเจียงเหล่าหวู่แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่านอกจากเจียงเหล่าหวู่จะไม่โกรธ เขายังกลับหัวเราะและพูดอย่างภาคภูมิใจอีกต่างหาก “เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะเลี้ยงรอดหรือเปล่า เรื่องของป่าวชิงก็คือเรื่องของครอบครัวข้า และข้ายุ่งได้อย่างแน่นอน!”

ภายใต้สายตาของหลีโผจื่อกับท่านปู่เจียงที่สงสัยว่าเจียงเหล่าหวู่เป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่านั้น เจียงป่าวชิงก็ได้หยิบสัญญาออกมาอย่างช้า ๆ นั่นก็คือสัญญาเช่าที่ดินที่ลงนามโดยเจียงป่าวชิงและเจียงเหล่าหวู่ก่อนหน้านี้

เจียงป่าวชิงเป่าสัญญาฉบับนั้นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นยิ้ม ๆ “ข้าให้ครอบครัวท่านปู่ห้าเช่าที่ดินห้าไร่โดยคิดร้อยละยี่สิบจากราคาเช่าแล้วเจ้าค่ะ”

เพล้ง!

คำพูดประโยคนี้ราวกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าเข้าตรงกลางหัวของท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อ

หลีโผจื่อแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดอยู่แล้ว

ค่าเช่าที่ร้อยละยี่สิบ!

โดยปกติที่ดินดี ๆ เช่นนั้น ค่าเช้าร้อยละสามสิบ คนอื่น ๆ ก็แทบจะเข้าแถวเพื่อแย่งเช่ากันอยู่แล้ว

หลีโผจื่อมองเจียงป่าวชิงด้วยแววตาโหดเหี้ยม นางอยากเข้าไปบีบคอเจียงป่าวชิงให้รู้แล้วรู้รอด “ไอ้หมาป่าตาขาวที่กินบนเรือนขี้บนหลังคา คนในบ้านเลี้ยงเจ้ามาตั้งหลายปี แม้พวกเจ้าจะให้เช่าที่ดิน แต่ทำไมไม่พิจารณาให้คนในบ้านเช่าก่อนห๊ะ ?”

เจียงป่าวชิงรับคำอย่างเบาหวิว “ถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะเหมือนปีก่อน ๆ ที่พอได้ผลเก็บเกี่ยวจากที่ดินสิบไร่ พวกท่านก็จะให้เราสองพี่น้องแค่รำข้าวผสมก้อนหินหนึ่งถุงต่อปีอย่างนั้นรึ ? เป็นท่านท่านจะให้ไหมล่ะเจ้าคะ ?”

คำพูดนี้ถึงกับทำให้หลีโผจื่อกับท่านปู่เจียงพูดไม่ออกเลยทีเดียว

.