ตอนที่ 97 เอาเปรียบไม่สำเร็จกลับสูญเสียเป็นสองเท่า

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 97 เอาเปรียบไม่สำเร็จกลับสูญเสียเป็นสองเท่า

ท่านปู่เจียงกัดฟันพูด “ถือว่าเจ้าแน่มาก! …เรื่องมันมาถึงตรงนี้แล้ว ถึงอย่างไรข้าก็จะไม่ถอนผักกาดขาวพวกนั้นเด็ดขาด พวกเจ้าคิดเอาเองว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้ข้าหรือว่าจะรอให้พลาดช่วงเวลาเพาะปลูก”

เจียงป่าวชิงกับทุกคนจากบ้านเจียงเหล่าหวู่ไม่คิดเลยว่าท่านปู่เจียงจะไร้เหตุผลได้ถึงขนาดนี้

เจียงเหล่าหวู่โมโหท่าทางไร้เหตุผลของท่านปู่เจียงจนถึงกับจะเข้าไปตีอยู่แล้ว แต่ในขณะนั้น กลับได้ยินเสียงที่สั่นเทาและแหลมคมของโจซื่อดังมาจากในลานบ้านเสียก่อน “พวกเจ้า! พวกเจ้าเป็นใคร ?”

ผู้คนที่อยู่ในบ้านหันไปมองโดยไม่รู้ตัว

เจียงป่าวชิงอยู่ใกล้ประตูจึงหันไปดูและเห็นว่าไป๋จีกำลังเข็นกงจี้เข้ามาในบ้านของพวกเขา นอกจากนี้ ด้านข้างยังมีฝูฉูที่แต่งตัวธรรมดาตามมาด้วยเช่นกัน

เจียงป่าวชิงงงเป็นไก่ตาแตก เขามาได้อย่างไรและ… มาทำไมกัน ?

บ้านเล็ก ๆ ของครอบครัวเกษตรกรที่ยากจนกับกงจี้ผู้ร่ำรวย…

ไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย!

เจียงป่าวชิงก้าวออกไปก่อน นางรู้สึกงุนงงมากแต่ยังคงถามด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว “คุณชายกงมาได้อย่างไร ? ไม่กลัวสถานะของตัวเองถูกเปิดโปงรึ ?”

เจียงป่าวชิงยังจำได้ว่าตอนนั้นไป๋จีขอให้นางเก็บเป็นความลับ เพื่อจะได้ไม่ทำลายสถานะผิวเผินของพวกเขา

ไป๋จีพูดเตือนเสียงเบา “ไม่เป็นไรแม่นางเจียง ที่พวกข้าใช้อยู่ตอนนี้คือสถานะปลอม”

กงจี้ถอนหายใจด้วยท่าทางไม่พอใจ “ข้านั้นไม่สามารถทนฟังการสนทนาของพวกเจ้าอยู่ข้างนอกได้อีกต่อไปแล้ว”

เจียงป่าวชิงเบิกตากว้าง ก็เห็น ๆ อยู่ว่าพวกเขาคุยกันอยู่ในบ้าน เมื่อสักครู่กงจี้เองก็อยู่ด้านนอก ทำไมเขาถึงได้ยินเล่า ?

กงจี้มองผู้คนที่ทยอยออกมาจากในบ้านที่ทรุดโทรม น้ำเสียงของเขามีความเย็นชาและแฝงไปด้วยการเหน็บแนม “พวกเจ้ามีอะไรให้ต้องทะเลาะกันนักหนา กฎหมายของต้าหลงก็ระบุไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าเมื่อโอนที่ดินแล้ว สิ่งของบนที่ดินก็ถือว่าเป็นมูลค่าส่วนหนึ่ง”

คนอื่น ๆ ยังคงรู้สึกงุนงงกับคำพูดนี้ แต่เมื่อเจียงป่าวชิงได้ฟัง ดวงตาของนางเป็นประกายทันที

เมื่อกงจี้เห็นว่าเจียงป่าวชิงเข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของเขาแล้ว แต่คนอื่นยังไม่เข้าใจ ในดวงตาของเขาก็อดที่จะเกิดรอยยิ้มขึ้นอย่างเสียไม่ได้

เจียงเหล่าหวู่ยังคงงุนงง เขาเกาศีรษะเบา ๆ ขณะเอ่ยถามหลานสาว “ป่าวชิง คุณ… คุณชายท่านนี้เป็นใครรึ ?”

แม้แต่คนไร้การศึกษาอย่างเจียงเหล่าหวู่ยังอดที่จะใช้คำแสดงความเคารพอย่างเสียไม่ได้เมื่อเห็นกงจี้

เจียงป่าวชิงยังไม่รู้ว่าสถานะที่พวกเขาสร้างขึ้นมาปลอม ๆ คืออะไร จึงรีบหันไปมองไป๋จีอย่างขอความช่วยเหลือ

ไป๋จีตอบแทนเจียงป่าวชิงอย่างรู้ใจ “นายท่านของข้าเป็นพ่อค้าร่ำรวยจากเมืองหวี่ เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บที่ขา จึงอยากหาสถานที่สันโดษในการรักษาตัว ดังนั้นเราจึงมาที่ชีหลี่โวแห่งนี้ ”

เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะท่านปู่ห้า”

เจียงเหล่าหวู่กลืนน้ำลาย จากนั้นเขาก็ดึงเจียงป่าวชิงไปด้านข้าง “ป่าวชิง เจ้ารู้จักคุณชายท่านนี้ด้วยรึ ?”

เจียงป่าวชิงคิดว่าแม้แต่สถานะปลอมพวกเขายังสร้างเสร็จแล้วด้วยดีเลย เห็นทีว่าพวกเขาคงจะไม่กลัวคนอื่นรู้ว่าพวกเขาพักอยู่ที่ไหนอย่างแน่นอน นางจึงพูดกับเจียงเหล่าหวู่เสียงเบา “พวกเขาเป็นเพื่อนบ้านที่บ้านของข้าเองเจ้าค่ะ”

เจียงเหล่าหวู่เข้าใจได้ในทันที เขามองเจียงป่าวชิงด้วยสายตาชื่นชม ได้เป็นเพื่อนบ้านกับลูกหลานของตระกูลร่ำรวยเช่นนี้ แต่เด็กคนนี้กลับไม่มีความโอ้อวดตัวลอยแม้แต่น้อย ช่างเป็นเด็กที่ดีจริง ๆ

เจียงเฟยที่มีนิสัยใจร้อนมองเจียงป่าวชิงสลับกับมองกงจี้ที่นั่งอยู่บนรถเข็น “เอ่อ… แล้วสิ่งที่คุณชายท่านนี้พูดเมื่อสักครู่ว่ากฎหมายของต้าหลงอะไรนั่นหมายความว่าอย่างไรรึ ?”

เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นเจียงเฟยถามเข้าประเด็นหลัก นางก็ตอบคำถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “คุณชายท่านนี้หมายความว่าเมื่อท่านปู่สองโอนที่ดินให้ครอบครัวของข้าแล้ว สิ่งของบนที่ดินก็ถือว่าตกเป็นของข้าด้วยเช่นกัน” พูดมาถึงตรงนี้ เจียงป่าวชิงก็แทบจะแอบขำจนออกเสียง

หมู่บ้านบนภูเขาของพวกเขาถูกปิดตลอดทั้งปี และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ล้วนขึ้นอยู่กับไมตรีจิตของวงศ์ตระกูลมากกว่าข้อบังคับของกฎหมาย  ดังนั้นกฎหมายที่อยู่ในขอบเขตสิทธิในที่ดินจึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสักเท่าไหร่นัก

กงจี้พิงอยู่บนรถเข็นด้วยท่าทางเกียจคร้าน แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพนี้ แต่ผู้คนก็ยังไม่กล้ามองเขาตรง ๆ อยู่ดี

ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อได้ฟังคำอธิบายของเจียงป่าวชิง พวกเขาทั้งสองคนก็เกือบจะเป็นลมอยู่รอมร่อ หลีโผจื่ออดกลั้นความกระวนกระวายใจและรีบพูดขึ้นอย่างร้อนรน “ไม่มีหลักการนี้! บ้านข้าปลูกข้าวสาลีอย่างยากลำบากมาตั้งนาน เหตุใดถึงจะเป็นของคนอื่นไปได้ ?!”

กงจี้คร้านจะเสวนากับคนอย่างหลีโผจื่อ ฝูฉูจึงเดินเข้าไปพูดอย่างมีมารยาท “ท่านย่าเจ้าคะ คือว่าแบบนี้เจ้าค่ะ ถ้าหากพิจารณาจากกฎหมายของต้าหลง ตอนที่พวกท่านย่ากับแม่นางเจียงได้ทำการโอนที่ดินและเมื่อลงชื่อในโฉนดที่ดินแล้ว นั่นก็หมายความว่าท่านย่าตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในผลผลิตบนที่ดินเหล่านี้ให้กับแม่นางเจียง ถ้าหากพวกท่านย่าไม่เชื่อ ก็สามารถนำโฉนดที่ดินไปยืนยันที่ศาลาว่าการได้เลยเจ้าค่ะ”

หลีโผจื่อรู้สึกเพียงว่าหน้ามืดหัวหมุน ในใจของนาง ศาลาว่าการในอำเภอก็เปรียบเสมือนกับผู้ที่มีอำนาจสูงสุดทำนองนั้น สาวใช้ของคุณชายตระกูลร่ำรวยคนนี้ให้พวกเขาไปยืนยันที่ศาลาว่าการอย่างมั่นใจ เห็นทีว่าเรื่องพวกนี้คงจะเป็นความจริงเสียแล้ว

ท่านปู่เจียงกระวนกระวายใจยิ่งกว่า ความคิดของเขากับหลีโผจื่อคล้ายกันตรงที่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริง

ท่านปู่เจียงแทบจะล้มทั้งยืน

เจียงป่าวชิงโบกมือไปมาและมองเจียงเหล่าหวู่ “ท่านปู่ห้าเจ้าคะ ตอนนั้นเราคุยกันอย่างชัดเจนแล้ว ข้าให้ท่านปู่เช่าที่ดินนี้แล้ว ดังนั้นท่านปู่ก็ต้องเป็นคนจัดการเรื่องทรัพย์สินบนที่ดิน ส่วนผักกาดขาวเหล่านั้น ท่านปู่จะขุดทิ้งเมื่อไหร่ก็ขุดได้เลยเจ้าค่ะ”

“โอ้!  ได้  ได้!” เจียงเหล่าหวู่ที่ถูกฟ้าบันดาลอาหารมาให้ดีใจจนแทบจะหลงทิศหลงทางอยู่แล้ว เขาขานรับอย่างเต็มปากเต็มคำ

มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ ? เช่าที่ดิน เพาะปลูก ไม่ต้องออกแรงแต่ได้เสบียงอาหารจากในที่ดินห้าไร่มาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

ท่านปู่เจียงดึงสติกลับมาและรีบไปขอร้องเจียงเหล่าหวู่ทันที “พี่ห้า พี่ห้า… เราเป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน พี่คืนผักกาดกับข้าวสาลีที่ข้าปลูกไปให้ข้าเถอะนะ  อ๊ะ! หรือว่าเอาเช่นนี้ดีไหม ข้าไม่เอาผักกาดขาวพวกนั้นแล้วก็ได้ พรุ่งนี้ ไม่สิ ข้ากับอีหนิวจะไปขุดพวกมันทิ้งในช่วงบ่ายของวันนี้เลย”

เจียงเหล่าหวู่แสดงสีหน้าดูถูกในทันใด “น้องเจ็ด เรื่องนี้โทษใครได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามีความคิดเจ้าเล่ห์ บ้านข้าจะได้เสบียงอาหารจากในที่ดินห้าไร่เช่นนี้รึ ?”

ท่านปู่เจียงร้องโหยหวน “อย่าเลย พี่ห้า อย่า!”

……

เจียงป่าวชิงไม่สนใจเรื่องที่เหลือแล้ว นางนั้นมีความสุขและสบายใจมากขณะที่เดินตามพวกกงจี้ออกจากบ้านของท่านปู่เจียง

เวลานี้ การเคลื่อนไหวเสียงดังจนมีผู้คนมาดูเรื่องสนุกกันมากมาย เมื่อพวกเขาเห็นคุณชายท่าทีสูงส่งอย่างกงจี้ พวกเขาก็ไม่กล้าเดินเข้ามาดูเรื่องสนุก ๆ อีก

เจียงป่าวชิงกวาดหางตามองฝูงชนและเห็นร่างเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังฝูงชนพอดี ซึ่งร่างนั้นกำลังแอบมองมาทางนี้ ร่างนั้น… ถ้าไม่ใช่หวังอาซิ่งแล้วจะเป็นใครได้อีก ?

กงจี้สังเกตเห็นแววตาตกตะลึงของเจียงป่าวชิงแล้ว เขาจึงมองตามสายตาของนางไปและเห็นร่างเล็ก ๆ ที่กำลังหลบซ่อนอยู่ด้านหลังฝูงชน

เรื่องตอนนั้นที่เจียงป่าวชิงตกแม่น้ำคราด กงจี้สั่งให้คนไปสืบมาอย่างละเอียดแล้ว เขาไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าร่างเล็ก ๆ ที่ผอมซูบนั้นคงจะเป็นหวังอาซิ่ง

เด็กคนที่เจียงป่าวชิงยอมเสียสละชีวิตเพื่อช่วยขึ้นฝั่งนี้ กลับตอบแทนเจียงป่าวชิงเช่นนั้น กงจี้ครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังอดกลั้นไฟโกรธอยู่ในใจ

เจียงป่าวชิงยิ้มแย้มตลอดทั้งวัน อยู่กับใครนางก็พูดคุยได้หมด  อันที่จริง เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นเวลานานก็จะรู้ได้ว่าเจียงป่าวชิงมีจิตใจที่คอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา คนที่สามารถทำให้นางยอมสละชีวิตเพื่อไปช่วยได้จะต้องเป็นคนที่นางให้ความสำคัญอยู่พอสมควร

สีหน้าของกงจี้เผยแววเหน็บแนมออกมาเล็กน้อย เขาพยักหน้าให้เจียงป่าวชิงแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าอย่าทุ่มเทความรู้สึกให้กับคนที่ไม่สำคัญจนเกินไป”

.