ตอนที่ 69-2 ป่วยหนัก

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีให้คนตามท่านหมอไปเอายา ก่อนจัดการให้ม่อซิวเหยาพักผ่อนให้เรียบร้อย แล้วจึงได้ลุกยืนขึ้น แต่กลับถูกคนข้างหลังดึงตัวไว้ เยี่ยหลีหันกลับไปมองชายหนุ่มของตนด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ก่อนเลื่อนสายตาไปยังมือที่ผ่ายผอมและติดจะซีดเซียวนั่น ก่อนจะดึงมือออกอย่างไม่รู้ตัว “เป็นอะไรไป มีตรงไหนไม่สบายอีกหรือ” ม่อซิวเหยาส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ “อาหลียุ่งมากหรือ” 

 

 

           “ก็…ไม่มากนัก” ที่ห้องหนังสือยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก นางเพียงเคยชินกับการจัดการงานในมือให้สำเร็จเท่านั้น 

 

 

           “เช่นนั้น…อาหลีอยู่เป็นเพื่อนข้าอีกเดี๋ยวได้หรือไม่” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเบาขึ้น มองสายตาเยี่ยหลีที่ยังคงอบอุ่นและไม่มีแววว่าอยากฝืนใจ เพียงแต่เยี่ยหลีพูดปฏิเสธไม่ออก นางกลับนั่งลงอีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มในดวงตาของชายที่นอนอยู่บนเตียงยิ่งดูลึกซึ้งขึ้นไปอีก เยี่ยหลีหันมองรอยเลือดบนพื้นที่ยังไม่มีใครทันได้ทำความสะอาด ก่อนถามขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “ท่านไม่อยากนอนพักสักหน่อยหรือ” ม่อซิวเหยาส่ายหน้า แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้สึกหนาวนิดหน่อย นอนไม่หลับ” เยี่ยหลีนึกขึ้นได้ว่า คนที่เสียเลือดไปมากมักรู้สึกหนาวสั่น คนที่กระอักเลือดก็คนรู้สึกเช่นเดียวกันกระมัง นางยื่นมือไปดึงผ้าห่มขึ้นห่มให้เขาอย่างไม่รู้ตัว แล้วถามขึ้นว่า “ต้องการถ่านจุดไฟหรือไม่” 

 

 

           ตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อากาศไม่ถือว่าเย็นมากนัก แต่ในบ้านคนหลายคนก็เริ่มที่จะจุดถ่านไฟในห้องกันแล้ว บ้านผู้ดีมีตระกูลจำนวนมากต่างก็เตรียมหาถ่านเงินกันไว้จำนวนมากแล้ว ด้วยเพราะเยี่ยหลีมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงมาก และตั้งแต่ที่สวีซื่อเสียชีวิตไป โดยปกติแล้วเยี่ยหลีก็ไม่เคยต้องใช้ถ่านในหน้าหนาวอีกเลย ในห้องของพวกเขาก็ไม่เคยต้องจุดถ่านไฟมาก่อน นางจึงไม่เคยคิดถึงข้อนี้ ถึงอย่างไรม่อซิวเหยาก็มีกำลังภายในขั้นสูงที่สูงส่งกว่ากำลังภายในของนางมากนัก ม่อซิวเหยาได้แต่ส่ายหน้า “ข้าสูดกลิ่นควันจากถ่านไม่ได้ ถ่านเงินชั้นดีที่ถึงแม้จะว่าไม่มีควันและไม่มีกลิ่นนั้น แต่ว่า…อาหลี ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่ พอเข้าฤดูหนาวข้าก็เป็นเพียงคนไร้สมรรถภาพคนหนึ่งเท่านั้น” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของม่อซิวเหยาก็มีแววของความทุกข์ตรมและเศร้าใจ 

 

 

           เยี่ยหลีลุกขึ้นหยิบผ้านวมออกมาจากในตู้มาห่มคลุมให้ม่อซิวเหยา แล้วจึงได้ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามว่า “ตอนนั้นท่านได้รับบาดเจ็บอะไรกันแน่ เหตุใดอาการจึงได้ประหลาดเช่นนี้” คนพิการขาทั้งสองข้างโดยทั่วไปนั้น ต่อให้ตัดขาออกไปแล้วแต่บางครั้งก็ยังสามารถรู้สึกเจ็บขึ้นเองได้ แต่อาการของม่อซิวเหยาคือถูกความเย็นไม่ได้ เมื่อถึงฤดูหนาวร่างกายก็จะอ่อนแอลง ซึ่งเรื่องนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับขาอย่างแน่นอน แล้วยังได้กลิ่นควันไม่ได้อีก เช่นนั้นน่าจะเป็นปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจหรือปอดเสียมากกว่า ม่อซิวเหยาตอบว่า “ข้าได้รับบาดเจ็บอะไรบ้างนั้นข้าเองก็ไม่รู้ได้ ตอนข้าฟื้นขึ้นมาก็ผ่านช่วงนั้นมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ร่างกายข้าก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว” สีหน้าม่อซิวเหยาดูราบเรียบ ประหนึ่งกำลังอธิบายอะไรอยู่เท่านั้น แต่สีหน้าท่าทางเช่นนี้เยี่ยหลีกลับเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง สหายร่วมรบสมัยที่นางออกรบนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บจนถึงขั้นพิการ ก็เริ่มจากคลุ้มคลั่งถึงขีดสุดจากนั้นจึงค่อยเย็นลงจนกลายเป็นสงบนิ่งเช่นนี้ แต่กลับยิ่งทำให้คนปวดใจเสียยิ่งกว่าตอนนี้เขาคุ้มคลั่งด้วยความโกรธเสียอีก เยี่ยหลีไม่รู้ว่าเมื่อตอนที่ม่อซิวเหยาตื่นขึ้นมาครั้งแรกแล้วพบว่าตอนเองกลายเป็นเช่นนี้นั้น เขามีอาการอย่างไร เพียงแต่ท่าทีสงบนิ่งของเขาในตอนนี้ยังคงทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดมากอยู่ดี 

 

 

           “เอาเถิด เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านหมอสั่ง รบกวนท่านอ๋องช่วงนี้ช่วยพักผ่อนให้มากหน่อย ข้าได้ยินว่าช่วงนี้ท่านอ๋องอยู่ในห้องหนังสือติดต่อกันกว่าเจ็ดชั่วยามทุกวันใช่หรือไม่” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถามขึ้น 

 

 

           ม่อซิวเหยาอึ้งไป ก่อนถอนหายใจเบาๆ “อาหลี…ข้าจะระวัง เพียงแต่…” ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพักผ่อน ครึ่งปีมานี้สถานการณ์ภายในราชสำนักดูแปลกมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ตอนนี้ดูเหมือนตำหนักติ้งอ๋องจะวางตัวอยู่นอกราชสำนัก แต่หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็อาจตกลงสู่หุบเหวลึกได้ แต่ตัวเขาเป็นติ้งอ๋องถึงอย่างไรก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบบางอย่างไว้อย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

           เยี่ยหลีปรายตาดุไปทางเขา “มีเรื่องอะไรที่ท่านทำได้แล้วข้าทำไม่ได้บ้าง หรือต่อให้เป็นเช่นนั้น ไว้รอให้มันรับมือไม่ไหวจริงๆ แล้วค่อยว่ากันเถิด อย่าโกรธที่ข้าปากมากเลยนะ ท่านติ้งอ๋อง ต่อให้ท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจเพียงใด แต่หากท่านเดินไปแล้วเก้าสิบเก้าก้าว แต่มันมาตายเอาที่ก้าวสุดท้ายก็ถือว่าล้มเหลวเช่นกัน ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะเดินไปถึงก้าวที่เก้าสิบเก้า ขอให้ท่านช่วยพิจารณาตัวเองด้วยว่าท่านจะมีชีวิตจนเดินไปถึงก้าวที่หนึ่งร้อยได้หรือไม่” ม่อซิวเหยานิ่งเงียบอยู่พักใหญ่จึงได้หันมองเยี่ยหลีพร้อมกับยิ้มออก “อาหลีพูดถูก เช่นนั้น…อีกหน่อยคงลำบากอาหลีแล้ว” 

 

 

           “ข้าคิดว่าข้าเป็นชายาติ้งอ๋องเสียอีก” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบ 

 

 

           ม่อซิวเหยาพูดเบาๆ ว่า “แน่นอน เจ้าจะเป็นชายาของข้าตลอดไป” 

 

 

           ดังนั้นเยี่ยหลีจึงยิ่งยุ่งขึ้นไปอีก ไม่เพียงงานในจวนเท่านั้น แม้แต่งานนอกจวนนางก็ต้องรับมาจัดการไปด้วย การมีม่อซิวเหยาคอยให้คำแนะนำ ทำให้เยี่ยหลีจัดการงานได้อย่างรวดเร็ว และการที่เยี่ยหลีจัดการงานได้อย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบนั้น ทำให้พ่อบ้านแม่บ้านทั้งงานในจวนและนอกจวนต่างพากันเลื่อมใสในตัวนาง สองผู้เฒ่าอย่างหัวหน้าพ่อบ้านม่อและซุนหมัวมัวยังมองเยี่ยหลีด้วยแววตาที่ซาบซึ้งและเคารพยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้ม่อซิวเหยาไม่เบื่อที่จะต้องนอนพักอยู่แต่บนเตียงคนเดียว ดังนั้นนอกจากที่เยี่ยหลีต้องพบกับพ่อบ้านที่คอยจัดการงานต่างๆ แล้วจึงได้สถานที่ทำงานของนางจึงย้ายจากที่ห้องหนังสือมาอยู่ที่ห้องของพวกเขาเสียเลย ระหว่างที่นางทำงานไปนั้นจะได้สามารถพูดเคยเล่นกับม่อซิวเหยาไปด้วยได้ หรือหากมีคำถามอะไรก็สามารถถามเขาได้ทันที 

 

 

           ม่อซิวเหยารู้สึกประหลาดใจที่ค้นพบว่าพระชายาของเขาเป็นเหมือนหนังสือที่อ่านไม่มีวันจบ เขาไม่เคยคาดเดาได้เลยว่านางทำสิ่งใดไม่เป็นบ้าง ขีดความสามารถของนางอยู่ที่ใด หากสามารถเสกคนอย่างนางอีกคนหนึ่งมาไว้ข้างกายเขา ม่อซิวเหยาคงต้องรู้สึกถูกคุกคามเป็นแน่ และคงทำทุกวิถีทางในการทดสอบหรืออาจถึงขั้นกำจัดนางเป็นแน่ เพียงแต่เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าที่สามารถจับพู่กันเขียนงานได้อย่างรวดเร็ว แล้วยังสามารถแบ่งสมาธิหันมาส่งยิ้มพร้อมคุยเล่นกับเขาได้แล้ว ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีลูกไฟกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นในใจที่เป็นน้ำแข็งของเขา เพียงแค่นางยิ้มน้อยๆ แต่กลับทำให้คนที่เย็นเยียบประดุจหิมะอย่างเขารู้สึกถึงความอบอุ่นและสบายใจได้อย่างประหลาด เขาเพียงอยากปล่อยให้นางทำในเรื่องที่นางยินดี คอยมองนางที่บางครั้งจะส่งยิ้มน้อยๆ ออกมาอยู่เงียบๆ เขารู้ดีว่าในสักวันหนึ่งนางจะแสดงตัวตันอันเป็นเลิศของนางออกมาให้ทุกคนได้ตกใจ มุกงามไม่อาจหลบซ่อนไปตลอดได้ ต้องมีสักวันหนึ่งที่นางได้โบยบินขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้า และเมื่อถึงตอนนั้น…เขาอาจจะไม่อยู่แล้ว 

 

 

           “ท่านอ๋อง พระชายา หัวหน้าพ่อบ้านม่อบอกว่าท่านหมอเหอนำยามาให้แล้วเพคะ” ชิงอวี้เข้ามาเอ่ยรายงาน 

 

 

           เยี่ยหลีหันมองม่อซิวเหยาที่นอนหลับอย่างสงบอยู่บนเตียงแล้วจึงได้หันไปพยักหน้าให้ชิงอวี้ พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “เชิญท่านหมอเหอให้ไปรอที่ศาลาชมดอกไม้สักครู่” ถึงแม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่เยี่ยหลีกลับรู้สึกได้ว่ายิ่งอากาศหนาวขึ้น ก็ยิ่งไม่ดีต่อร่างกายของม่อซิวเหยา อาจะเป็นเพราะยาไม่สามารถระงับอาการของม่อซิวเหยาไว้ได้แล้ว ถึงแม้จะรักษามาแล้วสองวัน แต่อาการของม่อซิวเหยาก็ยังดูไม่ดีขึ้นจากก่อนหน้านี้ 

 

 

           เมื่อเข้าไปในศาลาชมดอกไม้ ท่านหมอเหอและหัวหน้าพ่อบ้านม่อก็รีบออกมาต้อนรับทันที เยี่ยหลีโบกมือ “ท่านหมอ หัวหน้าพ่อบ้านม่อ ไม่ต้องมาพิธี นั่งลงคุยกันเถิด” 

 

 

           รอจนเยี่ยหลีนั่งลงแล้ว ทั้งสองจึงได้เอ่ยขอบคุณแล้วนั่งลง ท่านหมอเหอหยิบใบยาออกมาส่งให้เยี่ยหลี  

 

 

“นี่เป็นเทียบยาที่ข้าปรุงขึ้นใหม่เมื่อหลายวันนี้ เชิญพระชายาลองอ่านดู” เยี่ยหลีรับใบยาไปดู ก็พบว่าตัวยาส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้รักษาอาการหรือบาดแผลใดๆ แต่กลับเป็นตัวยาที่ใช้สำหรับถอนพิษ “ท่านหมอเหอ นี่มันเรื่องอะไรกัน หากข้าจำไม่ผิด ตัวยาพวกนี้หากใช้มากเข้าจะกลายเป็นเสพติดเอาได้” เยี่ยหลีวางใบยาลง ก่อนเอยเสียงขรึมขึ้น ตัวยาตัวสุดท้ายที่เขียนไว้คืออาฝูหรง แน่นอนเยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่าสิ่งนี้คืออะไร หากใช้แล้วจะเกิดผลเช่นไร 

 

 

           “ไม่คิดเลยว่าพระชายาจะเชี่ยวชาญเรื่องยาด้วย พระชายากล่าวถูกต้องแล้ว อาฝูหรงเป็นยาที่ช่วยระงับอาการเจ็บปวดได้ดี แต่หากใช้นานเข้าจะกลายเป็นเสพติด ดังนั้น ข้าจึงลังเลมาตลอดว่าจะใส่มันเข้าไปดีหรือไม่” ท่านหมอเหอพูดด้วยสีหน้าหนักใจ เยี่ยหลีพยักหน้าถือเป็นการยอมรับคำอธิบายของเขา “ท่านอ๋องจำเป็นต้องใช้ยาระงับความเจ็บปวดในปริมาณมากหรือ” 

 

 

           “จำเป็นเป็นอย่างมาก ยาที่ข้าให้ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่พวกมันหมดฤทธิ์ก็เป็นเพราะตัวยาเหล่านั้นไม่สามารถควบคุมความเจ็บปวดที่เกิดจากพิษภายในร่างกายของท่านอ๋องได้แล้ว ดังนั้นหากไม่ให้ยาระงับความเจ็บปวดอาการของท่านอ๋องก็จะยิ่งแย่ไปกว่านี้ และสุขภาพก็จะยิ่งอ่อนแอลงไปด้วย จนอาจถึงขั้นรอให้ถึงวันที่ถอนพิษออกได้หมดก็จะ…อีกอย่างร่างกายของท่านอ๋องตอนนี้ก็ไม่อาจแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้ได้ ซึ่งนี่จะทำให้อาการบาดเจ็บเดิมของเขากำเริบขึ้นมาอีก” ท่านหมอเหอเอ่ยเสียงขรึม ใบหน้าที่แก่ชราดูเหน็ดเหนื่อย เห็นได้ชัดว่าสองวันนี้เขาเองก็เหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน เมื่อได้ยินเรื่องสภาพร่างกายของม่อซิวเหยา สีหน้าของหัวหน้าพ่อบ้านม่อยิ่งดูแย่ลงไปอีก “พระชายา เรื่องนี้…” 

 

 

           เยี่ยหลีส่ายหน้า “จะใช้อาฝูหรงไมได้ ปริมาณที่ท่านให้มากเกินไป ไม่เกินหนึ่งเดือนเขาต้องเสพติดมันแน่ หลังจากเสพติดมันแล้วจะมีแต่ผลเสียต่อร่างกาย ไม่มีผลดี” 

 

 

           ท่านหมอเหอได้แต่ยิ้มขื่นๆ เขาเองก็ไม่ได้อยากใส่มากเช่นนั้น เพียงแต่หากใส่น้อยเกินไปก็มีแต่จะไม่ได้ผล หากไม่ได้รับรู้ด้วยตนเอง ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อพิษในตัวท่านอ๋องออกฤทธิ์ขึ้นมานั้นจะเจ็บปวดเช่นไร 

 

 

           “เหตุใดในหน้าร้อนจึงไม่เป็นอะไร” เยี่ยหลีเอ่ยถาม 

 

 

           ท่านหมอเหอส่ายหน้า “ในหน้าร้อนไม่ใช่ว่าไม่เป็นอะไร เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วอาการเบากว่ามาก เพราะพิษที่ท่านอ๋องได้รับเป็นพิษที่มีธาตุเย็น ในหน้าร้อนอากาศอบอุ่น บวกกับยาระงับพิษธาตุเย็นที่ข้าให้ หากกินยาตามเวลาก็จะไม่เป็นอะไร แต่เมื่ออากาศเริ่มเย็น พิษธาตุเย็นก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า เลือดในตัวท่านอ๋องแทบจะหยุดนิ่ง ช่วงที่ร้ายแรงที่สุดในสองปีแรก เคยถึงขั้นหลับไหลไปเป็นเวลานานๆ หลายปีนี้ถือว่าควบคุมได้ดี แต่เกรงว่าปีนี้…” 

 

 

           “ปัญหาเรื่องอากาศหรือ…” เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ส่วนเทียบยานั้นขอให้ท่านหมอกลับไปไตร่ตรองให้ดีอีกครั้ง อีกอย่าง เรื่องยาถอนพิษธาตุเย็นเล่า” 

 

 

           ท่านหมอเหอส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มียาที่สามารถถอนพิษนี้ได้ พิษธาตุเย็นในตัวท่านอ๋อง เป็นเพราะถูกคนของเป่ยหรงลอบทำร้ายเมื่อตอนอยู่ชายแดน ตอนนี้พวกเราได้เชิญผู้อาวุโสเฉินหยาง ที่เป็นหมอเทวดาแห่งยุคมาช่วยรักษาท่านอ๋อง พิษธาตุเย็นนั้นได้มาจากยอดเขาเสว่ย์ซานที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนแคว้นเป่ยหรงและแคว้นซีหลิง ถึอได้ว่าเป็นยาธาตุเย็นที่มีธาตุหยินและธาตุเย็นมากที่สุดตัวหนึ่งในใต้หล้า ว่ากันว่ามันจะขึ้นในหนองน้ำเย็นบนยอดเข้าที่มีหิมะปกคลุมเกือบตลอดทั้งปีเท่านั้น ความเย็นถึงกระดูกเช่นนั้น ไม่ว่าคนหรือสัตว์หากได้รับพิษมันเข้าไปแล้วจะไม่อาจกลับมามีชีวิตอีกได้ แต่ในบ่อน้ำเย็นนั้นมีดอกไม้ที่ชื่อว่า ‘บัวเลี่ยฮั่ว’ ขึ้นอยู่ด้วย หากได้เม็ดบัวมันมาจึงจะสามารถเอาชนะพิษเย็นในตัวท่านอ๋องได้” 

 

 

           ท่านหมอเหอยังไม่ทันพูดจบ หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็พูดต่อว่า “เพียงแต่บัวเลี่ยฮั่วนั้นสิบปีจึงจะบานครั้งหนึ่ง และสิบห้าปีจึงจะเก็บเม็ดได้หนึ่งครั้ง เราได้ส่งคนจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีให้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ตีนเขาเพื่อรอเวลามาตั้งแต่หกปีก่อน น่าเสียดาย…ต้องรออีกอย่างน้อยสองปีเม็ดบัวจึงจะสุกให้เก็บได้” หัวหน้าพ่อบ้านไม่ได้บอกว่า ต่อให้ถึงเวลานั้นและได้เม็ดบัวมาแล้ว ไม่ว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะคิดกลับเข้าต้าฉู่จากทางแคว้นเป่ยหรงหรือซีหลิง จะต้องยอมแลกมาด้วยอะไรที่น่าเศร้า แต่ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไร หน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะต้องนำบัวเลี่ยฮั่วกลับมาให้ได้ และจะต้องส่งมันกลับมาที่ต้าฉู่ให้ได้อย่างปลอดภัย ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนทั้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็ตาม 

 

 

           “ท่านหมอเทวดาเฉินไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ชื่อเสียงของหมอเทวดาเฉินหยางนั้น นางเคยได้ยินตั้งแต่สมัยนางยังไม่แต่งงาน ท่านเป็นหมอเทวดามือหนึ่งที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่แน่ว่าจะเชิญมารักษาได้ ท่านหมอเหอกล่าวว่า “เมื่อปีที่แล้วท่านหมอเทวดาเฉินได้ยินว่า ที่เกาะในทะเลตงไห่มีตัวยาที่ชื่อว่าเฟิ่งเหว่ย ซึ่งได้ผลกับพิษธาตุเย็นเป็นอย่างมาก เมื่อต้นปีนี้เราได้ส่งคนออกทะเลไปแล้ว แต่เกรงว่าจะกลับมาได้อย่างเร็วที่สุดก็ต้องเป็นปลายเดือนสิบสอง” 

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านหมอเหอแล้ว”