ตอนที่ 69-3 ป่วยหนัก

ชายาเคียงหทัย

ท่านหมอเหอลุกขึ้นยืนขอตัวลากลับ หัวหน้าพ่อบ้านม่อยังคงรั้งอยู่ในศาลา เห็นเยี่ยหลีขมวดคิ้วมุ่น ดูใช้ความคิดอย่างหนัก “พระชายา…” 

 

 

           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่มีแววหนักใจอย่างปิดไว้ไม่มิด นางถอนใจ “หัวหน้าพ่อบ้านม่อ หลายปีมานี้คงเหนื่อยท่านไม่น้อย” หัวหน้าพ่อบ้านม่อส่ายหน้าด้วยความตกใจ “พระชายาพูดอะไรเช่นนี้ บ่าวได้แต่นึกแค้นใจที่ไม่สามารถแบกรับความเจ็บปวดแทนท่านอ๋องได้ ตอนนั้นท่านอ๋อง…” เมื่อเห็นนายท่านตัวน้อยที่ห้าวหาญเมื่อในอดีตเปลี่ยนมาเป็นเช่นในตอนนี้ จะให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อรับเรื่องนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้เขานึกเป็นห่วงพระชายาที่อายุยังน้อยคนนี้เสียมากกว่า ครึ่งปีมานี้สิ่งที่พระชายาทำนั้นเกินความคาดเดาของทุกคนไปมากทีเดียว คนในตำหนักติ้งอ๋องต่างนึกเลื่อมใสประมุขหญิงคนใหม่นี้ด้วยใจจริง พระชายาของตำหนักติ้งอ๋องไม่จำเป็นต้องงดงามหยาดเยิ้ม ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถล้นเหลือ และยิ่งไม่ต้องมีเงินหรือมีอำนาจมากมาย สิ่งที่จำเป็นมีเพียงความเข้มแข็งที่มากพอ แต่ต่อให้เป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งเพียงไร ก็เกรงว่าคงไม่อาจรับสถานการณ์อย่างปัจจุบันได้ นี่เป็นเรื่องสุขภาพร่างกายที่ท่านอ๋องปิดบังนางมาโดยตลอดและก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาที่เป็นบ่าวไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าพระชายามาก่อน 

 

 

           เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นยิ้มน้อยๆ “หัวหน้าพ่อบ้านม่อไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไป ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ย่อมมีวิธีเสมอ อีกเดี๋ยวหัวหน้าพ่อบ้านม่อช่วยหาคนที่เชี่ยวชาญเรื่องการก่อสร้างมาให้ข้าที ข้ามีเรื่องจะใช้เขา” 

 

 

           หัวหน้าพ่อบ้านม่อมองร่างของเยี่ยหลีที่เดินจากไปช้าๆ ในดวงตาที่มืดครึ้มมีประกายขึ้นน้อยๆ บางทีพระชายาคนนี้…อาจไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ 

 

 

           “ข้าเข้าใจแล้ว” 

 

 

           เมื่อเยี่ยหลีกลับเข้าไปที่ห้องก็เห็นม่อซิวเหยาตื่นอยู่แล้ว ตอนเดินผ่านประตูเข้าไปเยี่ยหลีเห็นมือซ้ายของม่อซิวเหยาที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมานั้นกำแน่นและสั่นสะท้านอย่างชัดเจน แต่เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็รีบปล่อยออก แล้วดึงกลับเข้าไปในผ้าห่มประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เยี่ยหลีรู้ดีว่านั้นคือเขากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดอยู่ ในใจจึงอดสั่นไหวไม่ได้เพราะเมื่อครู่นางสั่งให้ท่านหมอเหอเอายาระงับความปวดออกไปจากเทียบยา แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่อบอุ่นและแน่วแน่ของม่อซิวเหยาแล้ว เยี่ยหลีจึงได้กดความลังเลในใจลงไป ม่อซิวเหยาไม่มีทางชอบที่จะเห็นตนเองกลายเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยการกินยาบางอย่างเป็นแน่ 

 

 

           “อาหลี เจ้ากลับมาแล้วเหรอ” 

 

 

           เยี่ยหลีนั่งลงที่ข้างเตียง “หากท่านปวด ท่านร้องออกมาได้นะ” 

 

 

           ม่อซิวเหยายิ้ม “ร้องออกมาแล้วจะไม่ปวดหรือ ไม่ต้องเป็นห่วง แค่ปวดนิดหน่อยเท่านั้น เพียงแต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ลุกออกไปไหนไม่ได้ เลยเบื่อนิดหน่อยเท่านั้น” 

 

 

           “ข้าไม่หัวเราะเยาะท่านหรอก” เยี่ยหลีพูด 

 

 

           ม่อซิวเหยามองหน้านางนิ่งอยู่นาน ก่อนเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “อาหลี ข้ากอดเจ้าได้หรือไม่” เยี่ยหลีอึ้งไป ก่อนโน้มตัวลงกอดม่อซิวเหยาทั้งผ้าห่มแล้วยิ้มขึ้น “ตอนนี้ท่านโดนความเย็นไม่ได้ ทำเช่นนี้ไปก่อนก็แล้วกัน” ม่อซิวเหยาหัวเราะออกมาเบาๆ อยู่นานก่อนจะหยุดลง “อันที่จริง…ความเจ็บปวดยังพอทนได้ แต่ความรู้สึกหนาวเย็นนั้น…เป็นเหมือนตกลงไปอยู่ในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง และเหมือนถูกสาปให้ไม่มีวันปีนขึ้นมาได้ ความเจ็บปวดนานวันเข้าก็ชินไปเอง แต่ความรู้สึเหน็บหนาวนั้นกลับไม่เคยชินกับมันเสียที บางครั้ง…ข้าถึงขั้นรู้สึกว่าปวดเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร ข้าแค่กลัวว่า หากมีวันหนึ่งที่ข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกหนาวเหน็บ หากเป็นเช่นนั้นจริง…อาหลี ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าข้าจะทนต่อไปได้หรือไม่” 

 

 

           “ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นหรอก” เยี่ยหลีกอดเขาพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ท่านหมอเทวดาเฉินไม่ได้ไปหาหญ้าเฟิ่งเหว่ยที่ทะเลตงไห่แล้วหรือ อีกสองปีบัวเลี่ยฮั่วก็จะเก็บเม็ดได้แล้ว ถึงตอนนี้พิษธาตุเย็นก็จะถูกขับออกไปเอง แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น ท่านทนมาได้จนถึงตอนนี้แล้ว ทนไปอีกสักสองปีจะเป็นไรไป” ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้าต้องรอแน่ อาหลี หากข้าไม่ตาย เจ้าก็จะไม่มีวันไปจากข้าได้ เจ้าไม่กลัวหรือ” 

 

 

           “ก่อนที่ข้าจะแต่งงานกับท่านข้าก็ไม่เคยคิดที่อยากจะให้ท่านตายเร็วเพื่อรอรับสมบัติของท่านหรอกนะ” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ  

 

 

           “ข้าจะไม่ตายเป็นแน่ อาหลี” ม่อซิวเหยายื่นมือข้างหนึ่งออกมากอดเอวบางของเยี่ยหลีไว้ เยี่ยหลีอึ้งไป ก่อนจะจับมือของเขาเก็บเข้าไปใต้ผ้าห่มด้วยสีหน้าไม่แสดงความรู้สึก “ท่านโดนความเย็นไมได้ ก็อย่าได้ทรมานตัวเองเลย” เมื่อครู่เหมือนนางรับปากสัญญาอะไรไปหรือเปล่านะ แต่ก็ดูเหมือนนางไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำนะ…เยี่ยหลีนึกใคร่ครวญในใจ 

 

 

           เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ตำหนักติ้งอ๋องได้บอกปัดงานเลี้ยงทั้งหมดรวมถึงงานเลี้ยงที่ในวังหลวง ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เคยใช้มานั่นคือติ้งอ๋องป่วยหนัก กลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้เห็นต้องอ๋องออกมาเคลื่อนไหวเมื่อตอนหน้าร้อนแล้วเกิดความลนลาน ใจพวกเขาจึงค่อยๆ สงบลง นอกจากหมอหลวงในวังเข้ามาและออกไปอย่างช่วยอะไรไม่ได้อยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นในวังหากมีของหรือยาบำรุงอะไรก็จะส่งมาให้ที่ตำหนักติ้งอ๋องไมได้ขาดแล้ว ก็ไม่มีใครมารบกวนพวกเขาที่ตำหนักอีก ตำหนักติ้งอ๋องจึงเหมือนได้ความสงบเงียบเหมือนเมื่อสองปีก่อนกลับคืนมา 

 

 

           แน่นอนว่า ย่อมไม่ถึงกับไม่มีแขกมาเยี่ยมเลย ตัวอย่างเช่นเฟิ่งจือเหยาที่เป็นหนึ่งในนั้น 

 

 

           “คุณชายเฟิ่งซาน พระชายากับท่านอ๋องเชิญท่านให้ไปที่ตำหนักข้างขอรับ” เฟิ่งจือเหยาที่นั่งรออยู่ในห้องหนังสือ เลิกคิ้วพร้อมถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “อาเหยาป่วยอีกแล้วหรือ แต่เขาไม่ได้อยู่กับพระชายาหรือ เหตุใดจึงย้ายไปอยู่เรือนข้างได้” 

 

 

           ใบหน้าเคร่งขรึมของหัวหน้าพ่อบ้านม่อมีรอยยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณที่คุณชายเฟิ่งเป็นห่วง หลายวันนี้ท่านอ๋องอาการดีขึ้นมาก หลายวันก่อนท่านอ๋องและพระชายาย้ายไปอยู่ที่เรือนข้างแล้วขอรับ” 

 

 

           เฟิ่งจือเหยาทำสีหน้าอิจฉาริษยา “ตำหนักกว้างใหญ่นี่ช่างดีเสียจริงนะ อยากอยู่เรือนประมุขก็อยู่เรือนประมุข อยากอยู่เรือนข้างก็อยู่เรือนข้าง หากอยู่จนเบื่อแล้วยังวนไปอยู่เรือนอื่นได้อีก” หัวหน้าพ่อบ้านม่อรู้จักนิสัยเฟิ่งจือเหยาเป็นอย่างดี จึงไม่ได้ว่าอะไรเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “หากคุณชายเฟิ่งไม่รังเกียจว่าบ้านเราคับแคบ จะลองถามท่านอ๋องดูก็ได้นะขอรับ ตำหนักอ๋องเรามีบ้านอยู่ในเมืองหลวงอีกสองหลังที่สามารถให้คุณชายเฟิ่งไปอยู่ได้” 

 

 

           เฟิ่งจือเหยาถึงกับกลอกตาใส่ “พอเถิด หากบ้านใหญ่ คนก็มากเรื่องก็มาก น่ารำคาญจะตาย” 

 

 

           “คุณชายเฟิ่งควรมีครอบครัวได้แล้วนะขอรับ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อที่เดินตามหลังเฟิ่งจือเหยาพูดขึ้น 

 

 

           “ข้ารู้ ท่านอ๋องของเจ้าแต่งงานได้พระชายาที่ดี แต่ข้ายังใช้ชีวิตสนุกไม่พอน่ะสิ” เฟิ่งจือเหยาโบกมือเป็นสัญญาณว่าเรื่องแต่งงานนั้นไว้วันหลังค่อยปรึกษากัน ท่านพ่อเขายังไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ท่านผู้เฒ่าสามสี่คนในตำหนักนี้กลับนึกเป็นห่วง น่าเสียดายที่เขารับไว้ไม่ไหว 

 

 

           เรือนข้างที่เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาอยู่นั้น เป็นเรือนเดี่ยวๆ ที่อยู่ทางทิศใต้ของเรือนประมุขที่ทั้งสองเคยอยู่ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตสวนดอกไม้ของเรือนประมุข และมีห้องด้านข้างน้อยกว่าเรือนประมุขเพียงสองห้องเท่านั้น ดูไปออกจะเงียบสงบและสวยสง่ากว่าเสียด้วยซ้ำ เมื่อเฟิ่งจือเหยาก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานขึ้นมา ด้วยเพราะมีลมอุ่นหอบหนึ่งพัดเข้ามาที่หน้าเขา อุณหภูมิภายในห้องโถงใหญ่นั้นอุ่นสบายเหมือนอากาศในเดือนสามหรือเดือนสี่กระนั้น เฟิ่งจือเหยารู้ถึงสภาพร่างกายของม่อซิวเหยาเป็นอย่างดี และรู้ดีว่าสถานที่ภายในตำหนักติ้งอ๋องที่ม่อซิวเหยาสามารถไปอยู่ได้นั้นไม่อาจมีถ่านไฟอยู่ได้ แต่ที่นี่… 

 

 

           หัวหน้าพ่อบ้านม่อที่เดินอยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเฟิ่ง ท่านอ๋องกับพระชายารอท่านอยู่ที่ห้องหนังสือเล็กขอรับ” 

 

 

           เฟิ่งจือเหยาอดไม่ได้ที่จะหันไปถามว่า “ตำหนักอ๋องของเจ้ามีห้องสมุดอยู่กี่ห้องกันแน่” 

 

 

           หัวหน้าพ่อบ้านม่อตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ที่เรือนนอกกับเรือนในมีหอหนังสือกับห้องหนังสืออยู่อย่างละหนึ่งที่ ในเรือนประมุขท่านอ๋องกับพระชายามีห้องหนังสือกันคนละหนึ่งห้อง ห้องหนังสือในเรือนข้างนี้เป็นห้องหนังสือชั่วคราวที่เพิ่งสร้างขึ้นขอรับ” 

 

 

           “ข้าเกลียดห้องหนังสือ และเกลียดการพูดคุยในห้องหนังสือเสียยิ่งกว่าอีก” เฟิ่งจือเหยาเอ่ย 

 

 

           “เช่นนั้น…ให้บ่าวเข้าไปเชิญท่านอ๋องกับพระชายาออกมาไหมขอรับ” 

 

 

           “…ไม่ต้องหรอก ข้าคงมิกล้าให้พวกเขาออกมาพบข้าหรอก” เฟิ่งจือเหยาโบกมือ ก่อนเดินโบกพัดอย่างผึ่งผายจากไป 

 

 

           …