ตอนที่ 70-1 เรื่องในห้องหนังสือ

ชายาเคียงหทัย

เมื่อก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ แล้วเห็นทั้งสองกำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่นั้น เฟิ่งจือเหยารู้สึกว่าตนจะนึกอิจฉาชีวิตของม่อซิวเหยาขึ้นมาติดหมัดเสียแล้ว 

 

 

           “ข้าว่านะท่านอ๋อง ที่ท่านให้คนอื่นไปลำบากตรากตรำอยู่ข้างนอก แต่ตัวท่านกลับมานั่งเล่นหมากล้อมอยู่ในตำหนักนี่ดูจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไรกระมัง” เฟิ่งจือเหยาเอนตัวพิงกรอบประตูอย่างเกียจคร้าน ก่อนเอ่ยพูดเสียดสีขึ้นเรียบๆ เรื่องนี้จะทำให้คนรู้สึกยุติธรรมได้อย่างไรกัน คนที่ลำบากต้องออกไปวิ่งวุ่นอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็ดข้างนอกก็คือเขา คนที่สุขสบายก็สามารถนั่งเล่นหมากล้อมได้อย่างสบายๆ อยู่ในห้องที่แสนจะอบอุ่น ทั้งยังมีสาวงามอยู่ข้างกายอีกด้วยกลับเป็นม่อซิวเหยา เยี่ยหลีอมยิ้มปรายตามองเฟิ่งจือเหยา ถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของคุณชายสามตระกูลเฟิ่งจะดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก แต่รอยยิ้มในแววตาเขากลับดูจริงใจขึ้นกว่าปกติหลายส่วน ดูออกว่าเขาไม่ได้กำลังอารมณ์ไม่ดี 

 

 

           ม่อซิวเหยาวางหมากลงตัวหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองมาทางเฟิ่งจือเหยา “มีเรื่องอันใดหรือ” 

 

 

           เฟิ่งจือเหยาโบกพัดในมือก่อนค่อยๆ เดินกรีดกรายเข้ามา “ไม่มีเรื่องอันใดแล้วมาเยี่ยมท่านหน่อยไม่ได้หรือ พอแต่งงานมีพระชายาแล้ว อันใดๆ ก็เปลี่ยนไปสินะ แต่ก่อนช่วงเวลานี้ท่านควรจะต้องนอนอาการร่อแร่มิใช่หรือ” เฟิ่งจือเหยาพูดจาทิ่มแทงแผลเป็นของม่อซิวเหยาอย่างไม่สนใจ เดินนวยนาดเข้ามาหาที่นั่งแล้วนั่งลง ก่อนกวาดตามองการตกแต่งภายในห้อง “ก่อนหน้านี้หัวหน้าพ่อบ้านม่อให้เหลิ่งเอ้อร์ช่วยหาคนที่เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างมาให้ ก็เพื่อมาสร้างเรือนนี้น่ะหรือ ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ ชายาพี่สะใภ้ เรือนนี้ของท่าน…ข้าขอสร้างบ้างได้หรือไม่” ถึงแม้จะเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางอย่างคุณชายเฟิ่งซาน แม้ดูอย่างนานก็ยังดูไม่ออกว่าความอบอุ่นภายนั้นห้องนั้นมาจากไหน ถึงจะไม่เข้าใจก็ไม่สำคัญ แต่เขารู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไรก็พอแล้ว ฤดูหนาวที่หนาวจัดเช่นนี้ ใครเลยจะอยากไปนั่งผิงถ่านที่แพงพอๆ กับเงินตำลึงเช่นนั้นกัน กลิ่นก็ไม่ดี แล้วยังไม่สะดวกสะบายอีก ทั้งยังไม่อบอุ่นเช่นนี้อีกด้วย 

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร หากคุณชายเฟิ่งสนใจจะลองไปปรึกษากับพวกนายช่างที่มาช่วยข้าสร้างเรือนนี้ดูก็ย่อมได้” ความรู้ความสามารถของช่างสมัยโบราณนี่มิอาจดูเบาได้เลยจริงๆ นางเพียงวาดแบบคร่าวๆ ให้ พร้อมกับบอกความคิดและจุดประสงค์ในการสร้างเรือนนี้ของนางให้ฟัง นายช่างที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือนก็สามารถวางระบบน้ำอุ่นภายในเรือนข้างนี้ได้อย่างเรียบร้อย ไม่แปลกใจเลยที่มีคนเคยบอกว่า มีเทคนิคในการก่อสร้างที่หายสาบสูญไป ซึ่งแม้แต่เทคโนโลยีในทศวรรษที่ยี่สิบเอ็ดก็ไม่สามารถสร้างออกมาได้ เฟิ่งจือเหยาตาเป็นประกายขึ้นทั้นที “เป็นคนของเหลิ่งเอ้อทั้งหมดเลยหรือ ของคุณพระชายา ไว้พรุ่งนี้ข้าจะไปหาเขาเลย” หึหึ ไว้รอให้เขามีห้องที่อบอุ่นเช่นที่นี่ก่อนเถิด แล้วค่อยจัดงานเลี้ยงในจวน แล้วจะคอยดูว่าพวกไม่เห็นหัวใครพวกนั้นจะนึกอิจฉาเขาจนน้ำลายไหลไปเลยหรือไม่ “เอ๋ ท่านอ๋อง เหลิ่งเอ้อได้พูดถึงเรื่องที่พวกเราสามารถใช้สิ่งนี้ในการหาเงินได้ แน่นอน…พวกเราจะไม่ลืมความทุ่มเทของพระชายาเป็นแน่” เมื่อคิดได้ว่าเยี่ยหลีเป็นคนต้นคิดในการสร้างห้องอุ่นนี้ เฟิ่งจือเหยาจึงไม่ลืมที่จะส่งยิ้มเอาใจไปให้นาง 

 

 

           ม่อซิวเหยาจับตัวหมากในมือเล่น “เหลิ่งเอ้อคำนวณไว้แล้วว่า สร้างห้องอุ่นเช่นนี้ขึ้นหนึ่งห้องต้องใช้เงินประมาณหนึ่งหมื่นเจ็ดพันตำลึง ต่อให้เชี่ยวชาญแล้วและต้นทุนลดน้อยลงก็คงไม่ต่ำว่าหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงอยู่ดี ต้นทุนสูงเกินไป เจ้าคิดว่าจะมีสักกี่คนที่ยอมจ่ายเงินจำนวนนี้” เฟิ่งจือเหยาใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “มีไม่มากจริงๆ” ผู้ดีมีอำนาจในเมืองหลวงไม่อยู่มาก คนมีเงินยิ่งมีมากยิ่งกว่า แต่หากสร้างเรือนข้างนี้ต้องใช้ต้นทุกกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงแล้ว คนที่จะยอมจ่ายเงินสองสามหมื่นตำลึงเพื่อสร้างห้องอุ่นนั้นคงมีไม่มากนักจริงๆ หากเพื่อกำไรเพียงแสนกว่าหรือสองแสนตำลึงแล้วต้องไปศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะนั้นคงไม่จำเป็น อย่างน้อยๆ ก็ในตอนนี้ 

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “อันที่จริงความคิดของคุณชายเฟิ่งนั้นไม่เลวเลย หากสามารถลดต้นทุนลงไปอยู่ที่ประมานหนึ่งพันตำลึงได้…ตลาดคงใหญ่ไม่น้อย” 

 

 

           เฟิ่งจือเหยามีสีหน้าดูแคลน “พันกว่าตำลังจะไปทำเงินอันใดได้กัน” 

 

 

           “หากต้นทุนเพียงแค่พันกว่าตำลึง ผู้สูงศักดิ์กับพ่อค้าในเมืองหลวง หรืออาจรวมถึงคนค้าขายทั่วไปก็มีโอกาสที่จะเลือกสร้างห้องอุ่นมากกว่าถ่านเงิน จากนั้นหากขยายไปทั่วต้าฉู่…หรือแม้แต่ซีหลิงหรือเป่ยหรงเล่า” เยี่ยหลีพูดยิ้มๆ 

 

 

           เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป เหลือบมองม่อซิวเหยาที่ดูไม่มีอันใดจะเอ่ยขัด จึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เดี๋ยวข้ากลับไปพูดเรื่องนี้กับเหลิ่งเอ้อดู” 

 

 

           “เหลิ่งเอ้อที่พวกท่านพูดถึงคือคุณชายรองตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งฮ่าวอวี่ใช่หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม “ดูเหมือนข้าจะไม่ได้เคยได้ยินว่าคุณชายเหลิ่งเอ้อร์เคยคบหากับท่านอ๋องเลย” เหลิ่งฮ่าวอวี่ไม่เหมืนกับเฟิ่งจือเหยาที่โตมาด้วยกันกับม่อซิวเหยา เขาเด็กกว่าพวกเขาตั้งหลายปี ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับม่อซิวเหยา เหลิ่งฮ่าวอวี่น่าจะยังเป็นเด็กอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น อีกอย่างตระกูลเหลิ่งนับเป็นตระกูลที่จงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้เป็นอย่างมากอีกด้วย เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า ก่อนหันมองม่อซิวเหยาด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋องไม่เคยพูดให้พระชายาฟังหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าส่งจดหมายไปถึงเหลิ่งฮ่าวอวี่ให้เขามาที่ตำหนักหน่อย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ว่าง” เฟิ่งจือเหยาเหมือนคิดอันใดได้ จึงได้ก้มหน้าลงหัวเราะ “สองวันก่อนเหลิ่งเอ้อร์ไปร้องรำทำเพลงอยู่กับสาวๆ แล้วพอดีไปเจอกับพ่อตาในอนาคตของเขาเข้า จึงถูกท่านแม่ทัพมู่หรงซ้อมไปเสียยกใหญ่ ข้าเดาว่าตอนนี้น่าจะยังออกไปไหนไม่ไหว” ด้วยนิสัยรักษาหน้าของเหลิ่งเอ้อร์ ไม่มีทางตอบกลับจดหมายของม่อซิวเหยาด้วยการบอกว่าเขาถูกคนซ้อมจนออกจากบ้านไม่ไหวเป็นแน่ 

 

 

           เยี่ยหลีอึ้งไป ถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณชายเหลิ่งเอ้อร์ถูกท่านแม่ทัพมู่หรงซ้อมหรือ” 

 

 

           “ใช่น่ะสิ ตอนนั้นพระชายาไม่ได้เห็น ท่านแม่ทัพมู่หรงลงมืออย่างไม่ไว้หน้าเลยจริงๆ น่าสาสารก็แต่เหลิ่งฮ่าวอวี่ พ่อไม่รักแม่ก็ไม่สนใจ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะนอนอยู่บนเตียงคนเดียวไม่มีใครคอยดูแลเสียด้วยซ้ำ ไว้กลับไปข้าไปเยี่ยมเขาเสียหน่อยดีกว่า” เฟิ่งจือเหยาพูดด้วยความเห็นใจอย่างแท้จริง เยี่ยหลีเรียกคนเข้ามารินน้ำชาให้ม่อซิวเหยาแล้วจึงได้ถามขึ้นว่า “ในเมื่อคุณชายเหลิ่งเป็นเพื่อนกับท่านอ๋อง เขาได้รับบาดเจ็บเช่นนี้เราควรส่งคนไปดูเสียหน่อยหรือไม่” ม่อซิวเหยากล่าวว่า “ให้เฟิ่งจือเหยาไปก็พอ” เขาพูดต่อโดยไม่รอให้เฟิ่งจือเหยาตอบรับว่า “ไว้เขาออกจากบ้านไหวแล้วให้เขามาที่นี่ที” 

 

 

           เฟิ่งจือเหยารู้ดีว่าหากไม่เพราะมีธุระสำคัญ ม่อซิวเหยาไม่มีทางให้พวกเขามาที่ตำหนักติ้งอ๋องเป็นแน่ ยึงรีบเก็บสีหน้ายิ้มแย้มของตน แล้วพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋องมีอันใดจะสั่งการหรือ” ม่อซิวเหยารับม้วนกระดาษ 

 

 

           ม่อซิวเหยารับม้วนกระดาษมาจากเยี่ยหลี “นี่เพิ่งถูกส่งมาจากชายแดนทางใต้ เจ้าลองดูสิ” 

 

 

           เฟิ่งจือเหยาเหลือบมองเยี่ยหลี ก่อนเปิดม้วนกระดาษออกอ่าน ยิ่งอ่านสีหน้าเขาก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จนเมื่อม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีวางหมากกันจนจบกระดานและเก็บกระดานหมากกลับเข้ากล่องเรียบร้อยแล้ว เขาถึงได้เงยหน้าขึ้น “ม่อจิ่งหลีลอบช่วยธิดาเทพก่อการกบฎที่ชายแดนทางใต้หรือ เป็นไปได้อย่างไร หากข้าจำไม่ผิดรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าวเป็นน้องสาวแท้ๆ ขององค์หญิงซีสยามิใช่หรือ ต่อไปเมื่อรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าวขึ้นครองราชย์ หนานจ้าวก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญที่จะช่วยม่อจิ่งหลี” ม่อซิวเหยาจับถ้วยชาอุ่นๆ “เจ้าอย่าลืมว่าหนานจ้าวอ๋องปีนี้เพิ่งอายุได้สี่สิบปี หากไม่มีอันใดผิดพลาด รัชทายาทหญิงจะต้องรออีกยี่สิบปีจึงจะได้ขึ้นครองราชย์” 

 

 

           “หนานจ้าวอ๋องกับองค์หญิงซีสยาก็เป็นพ่อลูกกันแท้ๆ เชียวนะ เขาจะไม่ช่วยลูกเขยตัวเองเลยหรือ” เฟิ่งจือเหยากล่าว 

 

 

           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ข้าเคยคบหากับหนานจ้าวอ๋อง ตอนนั้นเข้ายังเป็นเพียงรัชทายาทอยู่ เขาเป็นคนทำอันใดไม่ประมาททั้งยังเป็นคนฉลาด เขาไม่มีทางสนับสนุนม่อซิวเหยา หากเขาคิดอยากสนับสนุนจริง คงให้องค์หญิงซีสยาแต่งงานกับเขาตั้งแต่สองปีก่อนที่เขาไปเป็นทูตที่หนานจ้าวแล้ว คงไม่ต้องรอให้องค์หญิงซีสยาเดินทางไกลเป็นพันลี้เพื่อมาที่ต้าฉู่ด้วยตนเองหรอก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเดือนหกนั่น ข้าเดาว่าหนานจ้าวอ๋องคงไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นโอกาสที่เขาหรือรัชทายาทหญิงจะช่วยม่อจิ่งหลีนั้นคงไม่มากนัก” เฟิ่งจือเหยาก้มหน้าลงมองม้วนกระดาศในมือ “ในนี้ก็วิเคราะห์ไว้เช่นนั้นเช่นกัน เช่นนั้น…ม่อจิ่งหลีไปคบค้ากับธิดาเทพของชายแดนทางใต้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”