เฟิ่งจือเหยารู้สึกว่าหลายปีนี้พวกเขาประเมินม่อจิ่งหลีต่ำไปจริงๆ ในสายตาของพวกเขา ม่อจิ่งหลีเป็นเพียงคนโง่ที่อารมณ์ร้อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นถึงแม้เขาจะเป็นองค์ชายผู้สูงส่ง ส่วนเขาเองเป็นเพียงลูกชายสายรองของพ่อค้า แต่เขาก็ไม่เคยเห็นม่อจิ่งหลีอยู่ในสายตา แต่เรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงตลอดสองปีมานี้ มีเรื่องใดที่ม่อจิ่งหลีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้ เขาถึงได้รู้ว่า ขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่อยู่ข้างม่อจิ่งหลีนั้นมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
“คงเป็นช่วงที่เขาไปเป็นทูตทางชายแดนใต้ ตอนนั้นเขาไปอยู่ที่ชายแดนใต้อยู่นานพอดูทีเดียว” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“ท่านว่า…ท่านนั้นที่ในวังตอนนี้รู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง” เฟิ่งจือเหยาถามขึ้นด้วยความอยากรู้ พี่น้องสายเลือดเดียวกันในราชวงศ์เกิดความขัดแย้งกัน เป็นเรื่องที่น่าสนุกที่สุดแล้ว
“คงยังไม่รู้ ตอนนี้ลูกน้องเจ้าก็ยังไม่ได้ข่าวนี้มิใช่หรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ย เฟิ่งจือเหยาหน้าครึ้มไปทันที เขามีหน้าที่รับส่งข่าวสารให้ตำหนักติ้งอ๋อง แต่ตอนนี้ข่าวจากหนานจ้าวมาถึงมือท่านอ๋องแล้ว แต่ลูกน้องเขากลับยังไม่ได้ข่าวอันใดเลยแม้แต่น้อย เขาย่อมรู้ดีว่าม่อซิวเหยาไม่ใช่ไม่เชื่อใจเขา อากไม่เชื่อใจเขาแล้ว ม่อซิวเหยาคงไม่นำข่าวมาให้เขาอ่านง่ายๆ เช่นนี้ แต่การที่ได้รู้ว่ามีคนที่เก่งกว่าตนนั้นช่างไม่น่าสบายใจเอาเสียเลย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เพราะตอนนี้ข่าวนี้ยังไม่รั่วไหลออกมา นอกจากคนที่เคยเห็นกระดาษม้วนนี้แล้ว ยังไม่มีใครได้รู้อีกเลย” ม่อซิวเหยาเองไม่อยากทำลายความรู้สึกเพื่อนรักและคนที่เขาไว้ใจ “แต่ข้าไม่อาจบอกที่มาของข่าวนี้ได้ เจ้าคิดหาทางส่งสิ่งนี้ให้ม่อจิ่งฉีก็แล้วกัน”
“ส่งให้ม่อจิ่งฉีหรือ” เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น “เขาคงได้โกรธจนเป็นบ้าไปพอดี เพียงแต่ให้พวกเขากัดกันเองก็ดีไม่น้อย พวกเราจะได้มีเวลาทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้น ทางชายแดนใต้นั่นพวกเราต้องส่งคนลงไปหรือไม่ ถึงแม้ตอนนี้ความวุ่นวายทางตอนใต้จะมีประโยชน์ต่อพวกเรา แต่หากปล่อยไว้นานเกินไปก็อาจจะไม่แน่” ประชากรแคว้นหนานจ้าวเป็นคนห้าวหาญ และอยากได้พื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ของต้าฉู่อย่างตัวซีดตัวสั่นเช่นเดียวกับแค้วนโดยรอบมานานแล้ว เพียงแต่ติดที่ว่ากำลังของแคว้นอ่อนแอเกินไป การรุกรานหลายครั้งก่อนก็ถูกต้าฉู่จัดการอย่างราบคาบจนสูญเสียทหารและแม่ทัพไปจนหมด จนไม่อาจไม่ยอมเข้าร่วมกับต้าฉู่ได้เท่านั้น
“ตอนนี้พวกเราเองก็ไม่มีใครที่จะส่งลงไปได้ ทางชายแดนทางใต้นั้นมีอยู่คนหนึ่งที่น่าจะรับมือได้ ตอนนี้จึงยังไม่ต้องเข้าไปยุ่งก่อน ทางแคว้นเป่ยหรงมีข่าวอันใดหรือไม่”
เฟิ่งจือเหยาส่งเสียเหอะเบาๆ “ตั้งแต่ที่การแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างซีหลิงกับต้าฉู่ล้มเหลวลง การลอบติดต่อกันลับๆ กับเป่ยหรงก็มีบ่อยขึ้น เกรงว่าเหลยเถิงเฟิงคงสืบจนรู้แล้วว่าม่อจิ่งฉีกับม่อจิ่งหลีสองพี่น้องมีปัญหากัน ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนความตั้งใจอย่างเด็ดขาดเช่นนั้น และคงวางแผนว่ารอให้ต้าฉู่เกิดความวุ่นวายภายในเสียก่อนค่อยร่วมมือกับเป่ยหรงในการโอบล้อมเข้าโจมตี”
“เหลยเถิงเฟิง…สถานการณ์ในต้าฉู่ไม่มั่นคง แล้วเขาคิดว่าแคว้นซีหลิงของเขาดีไปกว่ากันนักหรือ” ม่อซิวเหยายิ้มเยือกเย็น ก่อนขมวดคิ้วกล่าวว่า “ท่านเฉินคงกลับมาแล้วใช่หรือไม่”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป “คงใกล้เต็มที”
“ขอให้เขากลับมาแล้ว ช่วยเชิญเขาไปที่แคว้นซีหลิงที” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ “ได้ยินว่าฮ่องเต้แคว้นซีหลิงเองก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ฝีมือการแพทย์ของท่านหมอเทวดาเฉินล้ำเลิศนัก เขาคงนึกสนใจไม่น้อย”
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “ฮ่องเต้ซีหลิงกับเจิ้นหนานอ๋องหรือ ดูเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นซีหลิงที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้วจะทานทนกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ไร้ชื่อแต่เต็มไปด้วยอำนาจได้หรือไม่”
เยี่ยหลีนั่งฟังทั้งสองถกเรื่องระหว่างแคว้นกันอยู่เงียบๆ จนเผลอนั่งเหม่อลอยไป ครึ่งปีมานี้เรื่องมากมายในเมืองหลวง นางทำความเข้าใจโดยละเอียดแล้ว ฮ่องเต้กับไทเฮาและหลีอ๋องมีการแก่งแย่งชิงอำนาจกันในราชสำนักเงียบๆ นั้นนางย่อมรู้อย่างชัดเจน แต่ไม่คิดเลยว่าม่อจิ่งหลีจะดึงหนานจ้าวให้เข้ามาเกี่ยวด้วย มารดากับพี่ชายน้องชายสามคนนี้ เคยรู้หรือไม่ว่า ระหว่างที่พวกเขาวางแผนชิงอำนาจกันอยู่นั้น คนที่พวกเขาวางแผนกันออกไปนั้น กำลังลอบวางแผน วิ่งเต้นเพื่อความสงบสุขของแว่นแคว้นอยู่
“อาหลี เจ้าคิดว่าที่ม่อจิ่งหลีลอบให้ความช่วยเหลือธิดาเทพแห่งชายแดนใต้นั้น จะมีประโยชน์อันใดกับเขาหรือ” นางกำลังนั่งเหม่ออยู่เงียบๆ แล้วจู่ๆ ม่อซิวเหยาก็เอ่ยปากถามขึ้น
เยี่ยหลีอึ้งไป ก่อนย่นคิ้วตอบว่า “ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะมีไทเฮาคอยสนับสนุน แต่เขาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของฮ่องเต้ ก่อนอื่นไม่ว่าจะในเรื่องของประชาชนหรือศีลธรรมแล้ว เขาเป็นผู้ที่เสียเปรียบ ฮ่องเต้เป็นคนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนส่งต่อตำแหน่งให้อย่างถูกต้อง ทั้งยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา และตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มาก็ดีกับเขามาโดยตลอด การที่จู่ๆ เขาลุกขึ้นมาคานอำนาจกับฝ่าบาทนั้นไม่มีข้อดีอันใดเลย ข้าคิดว่า …ม่อจิ่งหลีให้ความสำคัญกับแคว้นหนานจ้าวมากจนเกินไป หากมองแต่ภายนอกแล้ว สิ่งที่เขาจะได้มาพร้อมกับองค์หญิงซีสยานั้น มากกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากนัก ดังนั้นหนานจ้าวจะต้องมีอำนาจหรือคนบางคนที่เขาสามารถพึ่งพิงได้อยู่แน่นอน”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “อาหลีพูดได้ไม่เลวทีเดียว พวกเราเห็นว่าหลายปีนี้ม่อจิ่งหลีเปลี่ยนแปลงไปเร็วเกินไป เพียงแต่…หากได้มองอย่างละเอียดแล้วจะรู้ว่า เขาน่าจะเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากชายแดนทางใต้ เพียงแต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ คนโดยมากจะมองไม่ออกเท่านั้นเอง ข้ากล้ายืนยันได้เลยว่า ก่อนหน้านี้ม่อจิ่งหลีอาจมีความทะเยอทะยาน แต่ไม่ถึงขั้นคิดชิงบัลลังค์แน่นอน”
เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น ไปหยิบแผนที่ออกมาจากในตู้ก่อนนำมากางออกลงบนโต๊ะ “ชายแดนใต้มีสิ่งใดที่ทำให้เขามั่นใจเช่นนั้น ข้าไม่รู้ เพียงแต่ เท่าที่ข้าเห็น หากสามารถควบคุมชายแดนใต้ทั้งหมดไว้ได้แล้ว ต่อให้การชิงบัลลังค์ของม่อจิ่งหลีล้มเหลว แต่คนที่พ่ายแพ้คงไม่ใช่เขา” เฟิ่งจือเหยาถามแทรกขึ้นด้วยความอยากรู้ “อย่างไรหรือ”
เยี่ยหลีชี้ไปที่แผนที่ “ตำหนักเดิมของม่อจิ่งหลีอยู่ที่เมืองหลิงโจว ซึ่งอยู่ห่างจากหนานจ้าวเพียงสามร้อยลี้ กฎระเบียบของท่านอ๋องแห่งต้าฉู่กำหนดไว้ว่า ท่านอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์ หนึ่งปีจะต้องอยู่ที่เมืองหลวงเพียงสองเดือนเท่านั้น แต่สำหรับม่อจิ่งหลี ด้วยเพราะความเป็นห่วงของไทเฮาและเสียนเจาไท่เฟย เขาจึงอยู่ที่เมืองหลวงตลอดทั้งปีไม่เคยกลับไปยังตำหนักเดิมของตน แน่นอนว่านี่อาจเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทำเผื่อขัดขวางม่อจิ่งหลี แต่ถึงอย่างไรหลิงโจวก็ยังเป็นพื้นที่ของหลีอ๋องอยู่วันยังค่ำ ที่เห็นหลีอ๋องมีความมั่นใจเช่นทุกวันนี้ คงด้วยเพราะเขายังสามารถควบคุมหลิงโจวให้อยู่ในมือได้เป็นแน่ เมื่อหนานจ้าวช่วยเหลือหลีอ๋องอย่างเต็มกำลังเมื่อใด หย่งโจวที่อยู่ตรงกลางระหว่างหนานจ้าวและหลิงโจวจะต้องถูกดึงเข้ามาร่วมด้วยอย่างแน่นอน ทางทิศตะวันออกของหลิงโจวเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ ถึงตอนนั้นหากมีกำลังทหารมากพอ หลีอ๋องสามารถเดินทางไปทางตะวันออกและเข้าควบคุมพื้นที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้กว่าครึ่งไว้ได้อย่างแน่นอน หากราชสำนักต้องการส่งกำลังทหารไปเสริม ต่อให้เป็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่มีความเร็วที่สุด ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบวันถึงจะไปถึงที่นั่นได้ ทั้งยังต้องข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันที่ไหลขวางตลอดแนวพื้นที่ต้าฉู่ไปอีกด้วย เท่าที่ข้ารู้…ต้าฉู่ไม่มีกำลังทหารที่เชี่ยวชาญการทำสงครามทางน้ำ รวมถึงกองทัพของตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีด้วยเช่นกัน”
เมื่อได้มองตามมือเรียวสวยนั้นแล้ว สีหน้าเฟิ่งจือเหยายิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่ เขาคุ้นเคยกับภูมิประเทศของหนานจ้าวและต้าฉู่เสียยิ่งกว่านาง ย่อมรู้ดีว่า หากหากทหารทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญหน้ากันแล้วจะเกิดเหตุการณ์เช่นไรขึ้น ทางตะวันออกของหลิ่งโจวในต้าฉู่นั้นสงบเรียบร้อยมาโดยตลอด ทั้งยังอยู่ห่างจากชายแดน จึงมีทหารประจำการอยู่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากม่อจิ่งหลีร่วมมือกับหนานจ้าวจริง และนำกำลังทหารโจมตีเข้าทางตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่ได้โจมที่จากทางตอนเหนือเหมือนที่หนานจ้าวเคยทำมาตลอดแล้ว หากข้ามด่านชุ่ยเสวี่ยของหย่งโจวมาได้ พื้นที่ครึ่งหนึ่งทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันที่มีทหารอยู่นั้นคงถือว่าส่งไปโดยเปล่าประโยชน์เสียแล้ว