ตอนที่ 71-1 จูบเบาๆ

ชายาเคียงหทัย

“หากม่อจิ่งหลีร่วมมือกับหนานจ้าวเพื่อก่อการกบฎจริง เขาไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่” เฟิ่งจือเหยากัดฟันเอ่ยขึ้น แต่คำพูดของเยี่ยหลียังคงทิ้งร่องรอยไว้ในใจเขาอย่างชัดเจน หากม่อจิ่งหลีทำเช่นนั้นจริง ผลที่ตามมาคงยากที่จะคาดเดาได้ “อาเหยา” เฟิ่งจือเหยาหันไปมองม่อซิวเหยาที่นั่งใช่ความคิดอยู่ โดยหวังว่าจะได้การเห็นด้วยจากเขา คิ้วคมของม่อซิวเหยาขมวดน้อยๆ ประหนึ่งไม่ได้ยินสิ่งที่เฟิ่งจือเหยาพูด เอาแต่จ้องแผนที่ที่เยี่ยหลีนำมากางตรงหน้าโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ด้วยนิสัยของม่อจิ่งหลีแล้ว หากเขาถูกบีบจนเต้นขึ้นมาก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เฟิ่งซาน ข้าอยากได้ข่าวของชายแดนใต้ ยิ่งละเอียดยิ่งดี”

 

 

           เฟิ่งเจือเหยาพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะนำมาส่งให้ภายในครึ่งเดือน เรื่องนี้…ต้องปล่อยข่าวให้ท่านผู้นั้นในวังรู้หรือไม่”

 

 

           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “หากให้เขารู้ตอนนี้ เขาคงได้ส่งกองกำลังทหารออกไปทันที” สิ่งที่ม่อจิ่งฉีทนไม่ได้ที่สุดก็คือการที่คนอื่นคิดละโมบอยากได้ผืนแผ่นดินของเขา หากให้เขารู้การคาดเดานี้ ต่อให้ม่อจิ่งหลีไม่คิดกบฎ ก็คงถูกบีบให้ต้องกบฎอยู่ดี เฟิ่งจือเหยาพูดด้วยความไม่เข้าใจว่า “หากม่อจิ่งหลีมีความคิดเช่นนั้นจริง เราอาศัยตอนที่ปีกเขายังไม่แข็งรีบตัดทิ้งเสียก่อนไม่ดีหรือ” ม่อซิวเหยาถอนหายใจเบาๆ “หากตอนนี้ใช้กำลังทหารจับหนานจ้าว คงรังแต่จะทำให้หนานจ้าวอ๋องกับธิดาเทพแห่งชายแดนใต้วางความขัดแย้งระหว่างกันลงและออกมาต่อสู้กับภายนอกแทน ส่วนพวกเราก็มีโอกาสที่จะถูกโจมตีจากทั้งซีหลิงและเป่ยหรงพร้อมๆ กันได้ เดิมทีคิดจะขจัดปัญหาแคว้นซีหลิงหรือเป่ยหรงแคว้นใดแคว้นหนึ่งก่อน แต่ในเมื่อตอนนี้หนานจ้าวไม่อยากอยู่อย่างสงบสุข เช่นนั้น…ก็หาวิธีจัดการพวกเขาก่อนก็แล้วกัน”

 

 

           “จัดการหรือ” เฟิ่งจือเหยาและเยี่ยหลีหันมองม่อซิวเหยาพร้อมๆ กัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพียงชั่วเวลาไม่นานเขาจะคิดหาทางจัดการหนานจ้าวได้แล้ว

 

 

           ม่อซิวเหยาย่นคิ้ว “ในเมื่อคนทางชายแดนใด้คิดว่าอยู่ว่างๆ แล้วน่าเบื่อเกินไป ก็ให้พวกเขายุ่งกันเสียหน่อยก็แล้วกัน พี่สวีดูเหมือนจะเคยบอกว่าเขาเคยคบหาสมาคมกับรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ ในเมื่อสวีชิงเฉินพูดต่อหน้าพวกนางเช่นนั้น คิดว่าคงไม่มีอันใดที่ต้องปิดบัง ม่อซิวเหยายิ้มพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “ในเมื่อม่อจิ่งหลีลอบให้การสนับสนุนธิดาเทพแห่งชายแดนใต้ เช่นนั้นม่อจิ่งฉีที่เป็นประมุขแห่งต้าฉู่ ส่วนหนานจ้าวที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับต้าฉู่มาโดยตลอด…หากต้าฉู่จะให้การสนับสนุนหนานจ้าวอ๋องก็คงไม่ผิดอันใด เฟิ่งซาน ข่าวเรื่องจิ่งหลีนี้ให้ปิดเอาไว้ก่อน ไม่ต้องให้ม่อจิ่งฉีรู้” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้ายิ้มๆ “เป็นวิธีที่ดี เพียงแต่ ม่อจิ่งฉีคงไม่ฟังที่เจ้าพูด” อันที่จริงม่อซิวเหยาไม่อาจเสนอความคิดเห็นใดๆ ให้ม่อจิ่งฉีฟังได้อยู่แล้ว เพราะคำพูดของเขาไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือมีโทษแก่ต้าฉู่ ม่อจิ่งฉีไม่มีทางเก็บมาใส่ใจ ม่อซิวเหยาจึงไม่ได้เป็นกังวลเรื่องนี้ “อย่างไรก็ต้องมีสักคนที่เขายอมฟัง อีกอย่างเรื่องด่านซุ่ยเสวี่ย…เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เราจะต้องส่งคนมีฝีมือไปประจำการที่นั้น ตอนนี้แม่ทัพที่ดูแลด่านซุ่ยเสวี่ยอยู่เป็นใคร”

 

 

           “แม่ทัพอวิ๋นฮุย นามกวนถิ่ง” เฟิ่งจือเหยาตอบ

 

 

           “ถ้าข้าจำไม่ผิด…กวนถิ่งไม่เคยรบชนะเลยสักครั้ง” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ถึงแม้กวนถิ่งจะไม่มีความเกี่ยวพันกับกองทัพตระกูลม่อ แต่เขาก็ยังพอเคยได้ยินชื่อนี้อยู่บ้าง

 

 

           เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วยิ้มๆ อย่างดูแคลน “อันที่จริงทั้งชีวิตของเขาเคยออกรบเพียงสามครั้งเท่านั้น สองครั้งแรกเป็นรองแม่ทัพของท่านแม่ทัพมู่หรง ได้ความดีความชอบไปไม่น้อย ครั้งสุดท้ายเป็นการส่งไปปราบ…โจรแปดร้อยคนแห่งภูเขาผานหลง เขาใช้ทหารม้าห้าพันคน ตายไปหนึ่งพันเจ็ดร้อยคน แต่ก็ถือว่าชนะ อีกอย่าง ครั้งสุดท้ายที่เขาออกรบก็เป็นเรื่องเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เพียงแต่…ที่สำคัญที่สุดคือ ท่านอ๋อง ท่านเคยมีความแค้นกับเขา”

 

 

           “ข้าจำได้” ม่อซิวเหยาย่อมต้องจำได้ ตอนนั้นกวนถิ่งนำทหารไปปิดล้อมภูเขาผานหลง เขาหัวแข็งไม่ยอมฟังที่ลูกน้องทัดทาน ไม่ถึงสามวันก็เสียกำลังพลบาดเจ็บล้มตายไปกว่าหนึ่งพันคน แต่กลับยังเข้าไม่ถึงรังโจรบนภูเขาผานหลงรอบนอกเลยด้วยซ้ำ บังเอิญม่อซิวเหยาตอนนั้นออกไปทำธุระข้างนอกแล้วต้องผ่านแถบนั้นพอดีจึงได้เข้าไปดูจึงไปได้ยินกวนถิ่งสั่งการลูกน้องอย่างเสียงดังฟังชัดว่าจะให้จัดทหารเป็นโล่มนุษย์บุกเข้าโจมตีรังบนภูเขา ตอนนั้นนิสัยของม่อซิวเหยาต่างกับตอนนี้มาก เขาดึงแส้ออกมาจัดการกวนถิ่งโดยทันที แน่นอนว่าหลังจากเกิดเรื่องม่อซิวเหยาถูกพี่ชายทำโทษไปยกใหญ่

 

 

           “หาทางเปลี่ยนตัวเขาออกเสีย ข้าไม่อยากเห็นเจ้าคนปัญญาอ่อนนั่นอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย” ม่อซิวเหยาตอบ

 

 

           “เกรงว่าจะไม่ได้ เขาเคยเป็นเพื่อนเรียนหนังสือกับม่อจิ่งฉี ทั้งยังเป็นคนที่เขาไว้ใจ ข้าเดาว่าที่ม่อจิ่งฉีส่งเขาไปอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยก็เพื่อป้องกันม่อจิ่งหลี” เฟิ่งจือเหยาพูดพร้อมแบมือออก ม่อซิวเหยาปรายตามองเขาเรียบๆ “เฟิ่งซาน จัดการให้คนบ้องตื้นนั่นออกไปจากด่านซุ่ยเสวี่ยให้ได้ภายในหนึ่งเดือน ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการใด” เมื่อได้รับสายตาดุดันจากม่อซิวเหยา เฟิ่งจือเหยาจึงรีบเก็บสีหน้าไม่เป็นการเป็นงานของตนทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง ขาดก็เพียงไม่ได้พูดขอโทษออกมาเท่านั้น “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ข้าคิดว่าม่อจิ่งหลีน่าจะสนใจในตัวกวนถิ่งไม่น้อย เพียงแต่…หากเปลี่ยนเอากวนถิ่งออกไปแล้ว จะให้ใครไปคอยดูแลด่านซุ่ยเสวี่ย คนของพวกเราคงไม่ได้แน่ๆ ม่อจิ่งฉีคงไม่วางใจ”

 

 

           “ท่านแม่ทัพมู่หรง” ม่อซิวเหยาหยุดคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพมู่หรงรั้งอยู่ในเมืองหลวงมาสองปีแล้ว ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะอ้างว่าเป็นห่วงท่านแม่ทัพมู่หรงว่าจะลำบากหากต้องไประจำอยู่ด่านชายแดน แต่เจ้ากับข้าต่างรู้ดี ว่าแม่ทัพที่ได้อยู่ในเมืองหลวงนานๆ นั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย มีแต่จะทำให้ความแหลมคมของเขาทื่อลงเท่านั้น”

 

 

           “ม่อจิ่งฉีคงไม่แม้แต่กับแม่ทัพมู่หรงก็นึกสงสัยหรอกกระมัง” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถาม ถึงอย่างไรท่านแม่ทัพมู่หรงก็เก่งกาจกว่ากวนถิ่งที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอยู่มากนัก ให้แม่ทัพที่สามารถรบชนะได้มาอยู่ว่างๆ แต่กลับใช้งานคนปัญญาอ่อนอย่างนั้นหรือ

 

 

           “ไม่หรอก เพียงแต่เมื่อเทียบกับท่านแม่ทัพมู่หรงแล้ว กวนถิ่งน่าเชื่อใจมากกว่าเท่านั้น เจ้าไปคิดหาทางให้กวนถิ่งกลับมาให้ได้ ส่วนเรื่องท่านแม่ทัพมู่หรงข้าจะจัดการเอง”

 

 

           “ไม่มีปัญหา ท่านอ๋อง”

 

 

           เมื่อส่งเฟิ่งจือเหยากลับไปแล้ว ในห้องหนังสือเล็กจึงกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง เยี่ยหลีนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มองดูม่อซิวเหยาก้มหน้าศึกษาแผนที่บนโต๊ะต่อไป พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กันมานานถึงเพียงนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยหลีเข้าใจผู้ชายคนนี้ขึ้นมาก ผู้ชายคนนี้เคยชินกับการเตรียมการทุกอย่างไว้ก่อน ทั้งยังคิดมากกว่าคนทั่วไปไปมาก “ไม่เหนื่อยหรือ หากที่ท่านคิดนั้นไม่เกิดขึ้นเลยจะทำอย่างไร”

 

 

           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองนางแล้วยิ้มน้อยๆ “หากไม่เกิดขึ้นเลยย่อมดีที่สุด”

 

 

           “หากท่านทำจนตัวเองเหนื่อยตาย เรื่องที่เหลือจะทำอย่างไร”

 

 

           ม่อซิวเหยาแย้มยิ้มพร้อมเก็บแผนที่บนโต๊ะ “ข้าไม่เคยคิดที่จะทำให้ตนเองเหนื่อยตาย แล้วตอนนี้ข้าไม่ได้มีอาหลีคอยช่วยอยู่หรือ อีกอย่าง…ข้าเพียงแต่ทำเรื่องที่ข้าควรทำในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น หากข้าตายไปจริงๆ…เช่นนั้นในใต้หล้าหรือในแผ่นดินของต้าฉู่จะกลายเป็นเช่นไร จะเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า” เยี่ยหลีไม่ได้ตอบอันใดกลับ ตั้งแต่ม่อซิวเหยารู้ว่านางจัดการบัญชีได้รวดเร็วกว่าและทำได้ดีกว่าเขานั้น ก็ใช้ข้ออ้างว่าสุขภาพไม่ดีไม่ยอมรับบัญชีไปจัดการอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นบัญชีภายในหรือภายนอกตำหนัก แม้กระทั่งบัญชีของกองทัพตระกูลม่อก็โยนมาให้นางจัดการทั้งหมด ซึ่งนี่ยิ่งทำให้เยี่ยหลีเข้าใจว่า เหตุใดเชื้อพระวงศ์จึงได้เกรงกลัวตำหนักติ้งอ๋องนัก กว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เยี่ยหลีกล้ารับประกันว่า ตำหนักติ้งอ๋องอาจไม่ร่ำรวยกว่าท้องพระคลัง แต่ม่อซิวเหยาร่ำรวยกว่าม่อจิ่งฉีแน่นอน ถึงแม้กองทัพตระกูลม่อจะมีราชสำนักคอยเลี้ยงดู แต่เยี่ยหลีเชื่อว่า ต่อให้ราชสำนักไม่ส่งเสบียงให้กองทัพตระกูลม่อกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีแล้ว อย่างไรตำหนักติ้งอ๋องก็สามารถเลี้ยงดูกองทัพทั้งสองนี้ได้ เพียงดูจากบัญชีที่ม่อซิวเหยาโยนมาให้นาง ตำหนักติ้งอ๋องนั้นมีทั้งเหมืองเงิน เหมืองทอง เหมืองทองแดง กับผืนดินและทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่กระจายอยู่ทั่วต้าฉู่นางก็รู้แล้ว ฮ่องเต้เมื่อรู้ว่าตนเองจนกว่าขุนนางคนหนึ่ง จะไม่ให้อิจฉาริษยาได้อย่างไร คนที่ร่ำรวยมหาศาลจนเทียบเท่าแคว้นแคว้นหนึ่งได้จะมีจุดจบเช่นไร คหบดีเสิ่นว่านซานแห่งราชวงศ์หมิงนั้นสามารถนำมาเป็นตัวอย่างได้ดี

 

 

           ในขณะที่การแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างฮ่องเต้กับไทเฮาในราชสำนักกำลังดุเดือดนั้น กวนถิ่ง แม่ทัพอวิ๋นฮุยที่รักษาการอยู่ที่ด้านซุ่ยเสวี่ยนั้นก็เกิดพลัดตกลงจากหลังม้าระหว่างออกล่าสัตว์ ซ้ำยังถูกม้าคู่ใจของตนเหยียบจนกระดูกขาหัก เรื่องนี้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่กลับทำให้สถานการณ์ระหว่างฮ่องเต้กับม่อจิ่งหลียิ่งตึงเครียดขึ้น ส่วนเรื่องที่ใครจะไปประจำการที่ด่านซุ่ยเสวี่ยแทนนั้น ก็ทำเกิดคลื่นลูกใหญ่ในราชสำนักขึ้น แต่ตำหนักติ้งอ๋องที่ทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นนั้น กลับยังคงโดดเดี่ยวไม่อยู่ในสายตาของผู้คนจึงยังสงบเงียบและสบายกายอยู่มาก

 

 

           ภายในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างสวยงามแต่น่าสบายนั้น มีชายคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบกว่าปีกำลังจับชีพจรให้ม่อซิวเหยาอยู่ที่ข้างเตียง ชายวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ประหนึ่งบัณฑิต แต่ในแววตากลับมีประกายคมกล้าซ่อนอยู่ สีหน้ามีแววสงสัยส่งออกมา จะว่าเขาว่าเป็นหมอหรือ แต่ดูไปแล้วกลับคล้ายบุรุษที่ชอบท่องเที่ยวไปทั่วหล้าเสียมากกว่า

 

 

           “ท่านอ๋องบอกว่ายาที่ให้เมื่อปีที่แล้วไม่เห็นผลแล้วอย่างนั้นหรือ” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น

 

 

           ท่านหมอเหอที่รักษาอาการให้ม่อซิวเหยาเป็นประจำก็ยืนอยู่ด้วย เขาพูดเสริมว่า “ใช่แล้ว ยาที่ให้เมื่อปีที่แล้ว พอเข้าหน้าหนาวกลับไม่เห็นผลใดๆ เลย ท่านเสิ่น อาการป่วยของท่านอ๋อง…” ชายวัยกลางคนผู้นั้น ก็คือท่านหมอมือฉมังจากซิ่งหลินแห่งต้าฉู่ นามเสิ่นหยาง เขาขมวดคิ้วตอบว่า “เอาเทียบยามาให้ข้าดูที” ท่านหมอเหอรีบหยิบเทียบยาที่ช่วงนี้เขาสั่งให้ม่อซิวเหยากินมาส่งให้ เสิ่นหยางไล่ดูโดยละเอียดก่อนเลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “เทียบยานี้…ก็ใช้การได้ เพียงแต่ที่เจ้าไม่ใส่ตัวยาระงับความปวดลงไปด้วยนั้นทำให้ข้าประหลาดใจมาก” ตั้งแต่รับรักษาอาการม่อซิวเหยา เสิ่นหยางก็คุ้นเคยกับท่านหมอเหอที่เป็นอดีตหมอทหารคนนี้เป็นอย่างดี และย่อมเข้าใจถึงวิธีการใช้ยาของเขา อาการป่วยของม่อซิวเหยาหากกำเริบขึ้นมาแล้วจะปวดมากเพียงใดนั้นนอกจากม่อซิวเหยาแล้ว ก็ไม่มีใครที่รู้ดีกว่าท่านหมอเหออีก ท่านหมอเหอใจอ่อนกว่าเขามาก การที่เขาทนไม่ใส่ยาระงับอาการปวดลงไปในยานั้นทำให้เสิ่นหยางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย