ตอนที่ 71-2 จูบเบาๆ

ชายาเคียงหทัย

ท่านหมอเหอพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ข้าได้ใส่ตัวยาระงับปวดลงไปในเทียบยาแล้ว เพียงแต่พระชายาไม่เห็นด้วย ดังนั้นจึงได้…”

 

 

           ตอนนั้นเสิ่นหยางจึงได้สังเกตเห็นเยี่ยหลีที่ยืนเงียบอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง หากเยี่ยหลีต้องการ นางสามารถทำให้คนแทบไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของนาง ดังนั้นถึงแม้เขาจะรู้ว่าปีนี้ติ้งอ๋องแต่งงานมีพระชายา แต่เขาเข้ามาตั้งนานเช่นนี้แต่กลับไม่สังเกตเห็นเลยว่าพระชายาที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นหน้าตาท่าทางเป็นเช่นไร เขาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีแล้วเสิ่นหยางจึงเอ่ยชมว่า “พระชายาตัดสินใจได้ไม่เลวทีเดียว หากขาดตัวยาระงับปวดไป ท่านอ๋องอาจต้องรู้สึกทรมานขึ้นเล็กน้อย แต่จะไม่มีโรคแฝงที่ต้องตามมาจัดการทีหลัง อีกทั้งความเร็วในการออกฤทธิ์ของพิษก็จะช้ากว่าตอนที่ใช้ยาอีกด้วย ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าจึงยืนยันที่จะไม่ใช้ยาระงับอาการปวด ห้องห้องนี้สร้างได้ไม่เลว หากไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ท่านอ๋องทนต่อไปอีกสองสามปีก็จะไม่มีปัญหาอันใด”

 

 

           เขาพูดเช่นนี้ แต่คนในห้องกลับไม่มีสีหน้ายินดีเลยแม้แต่น้อย เพราะนั่นหมายความว่าที่เสิ่นหยางเดินทางไปทะเลตงไห่เพื่อตามหาหญ้าเฟิ่งหวงนั้นล้มเหลว หรืออาจเป็นหญ้าเฟิ่งหวงนั้นไม่มีผลต่อร่างกายของม่อซิวเหยา

 

 

           ท่านหมอเหอถามขึ้นอย่างมีความหวังว่า “ท่านเสิ่น แล้วหญ้าเฟิ่งหวง…”

 

 

           เสิ่นหยางส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “หญ้าเฟิ่งหวงมีฤทธิ์กับพิษธาตุเย็นก็จริง แต่จะส่งผลเสียอย่างมากต่อร่างกายของท่านอ๋อง ดังนั้น ไว้รอให้เม็ดบัวของบัวเลี่ยฮั่วสุกก่อนค่อยวางแผนอีกทีก็แล้วกัน แน่นอนว่า สองปีนี้ข้าจะคอยมองหาวิธีอื่นไว้ด้วย” ม่อซิวเหยาเอนหลังพิงกับหัวเตียง ก่อนถามด้วยความสงบนิ่งว่า “หญ้าเฟิ่งหวงมีผลข้างเคียงต่อร่างกายหรือ” เสิ่นหยางพยักหน้า “หญ้าเฟิ่งหวงสามารถทำให้ร่างกายของท่านอ๋องดีขึ้นก็จริง แต่ไม่สามารถขับพิษธาตุเย็นทั้งหมดออกไปจริงๆ ได้ อีกทั้งพิษธาตุร้อนในตัวมันจะตีกับพิษธาตุเย็น หากเสียการควบคุมเมื่อไร พิษเย็นในร่างกายท่านอ๋องนอกจากจะออกฤทธิ์มากขึ้นแล้ว จะยังมีพิษธาตุร้อนเข้าไปเพิ่มอีกด้วย ถึงตอนนั้น…ต่อให้มีเม็ดบัวเลี่ยฮั่วอยู่ในมือก็คงไม่อาจช่วยอันใดได้”

 

 

           ท่านหมอเหอนึกสงสัย “พิษร้อนกับพิษเย็นไม่ได้จะต้านกันได้พอดีหรือ”

 

 

           เสิ่นหยางตอบว่า “เย็นกับร้อนต้านกันนั้นไม่ผิด แต่ไม่ใช่ว่ายาที่มีฤทธิ์ต้านกันทุกตัวจะสามารถทำให้พิษอีกตัวหนึ่งหายไปได้ อันที่จริงพิษโดยมากสามารถอยู่ร่วมกันได้ ทั้งยังอาจทำให้เกิดพิษที่ยากจะคาดเดาได้อีกด้วย” ม่อซิวเหยาพยักหน้า “เช่นนั้นครั้งนี้ลำบากท่านเสิ่นแล้ว ในเมื่อผ่านมาได้ตั้งหลายปีเช่นนี้แล้ว จะรอไปอีกสองปีก็ไม่เห็นไร ท่านเสิ่นเพิ่งกลับมาก็ต้องลำบากเช่นนี้ กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” เสิ่นหยางมองม่อซิวเหยาที่สงบนิ่งดังเช่นปกติด้วยสายตาชื่นชมแล้วจึงพยักหน้า “ท่านอ๋องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง คนเช่นนี้ข้าน้อยเพิ่งเคยพบท่านเป็นคนแรก ท่านอ๋องและพระชายาโปรดวางใจ ถึงแม้เสิ่นหยางจะไม่เก่งกาจด้านการแพทย์ไม่สามารถถอนพิษให้ท่านอ๋องได้ แต่ก่อนที่บัวเลี่ยฮั่วจะสุกนั้น เสิ่นหยางสามารถรับประกันความปลอดภัยของท่านอ๋องได้ พรุ่งนี้ข้าน้อยจะจัดยาให้ท่านอ๋องใหม่อีกครั้ง ปีนี้ร่างกายของท่านอ๋องไม่ได้เลวร้ายลงจนเกินไปนัก ไว้อากาศอบอุ่นขึ้นก็คงจะไม่เป็นอันใดมากแล้ว”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “ลำบากท่านเสิ่นแล้ว หัวหน้าพ่อบ้านม่อ พาท่านเสิ่นไปพักที่ห้องแขกเถิด”

 

 

           หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยรับคำ ก่อนเดินมาเชิญให้เสิ่นหยางและท่านหมอเหอออกไปพร้อมกัน

 

 

           ภายในห้องเงียบลง ม่อซิวเหยาเงยหน้ามองเยี่ยหลีที่กำลังมองดูตนอย่างเหม่อลอย แล้วจึงยิ้มน้อยๆ “อาหลี เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากพิษธาตุเย็นสามารถรักษาได้ง่ายๆ เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องรอมานานหลายปีเช่นนี้ เดิมทีข้าก็ไม่ได้มีความหวังอันใดมากมายอยู่แล้ว” เยี่ยหลีนั่งลงที่ข้างเตียง มองเขาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างใช่หรือไม่”

 

 

           ม่อซิวเหยาอึ้งไปเล็กน้อย มองเยี่ยหลีอยู่เป็นนานจึงได้ฝืนยิ้มออกมา “ชัดเจนเช่นนั้นเชียวหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีไม่ได้ตอบอันใด ม่อซิวเหยายื่นมือออกไปดึงเยี่ยหลีเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เยี่ยหลีคิดอยากจะผลักออกด้วยเพราะไม่คุ้นชิน แต่ก็สลัดความคิดนั้นออกไปโดยทันที เอนตัวตามแรงม่อซิวเหยาให้เขาโอบรัดตนไว้กับอกเงียบๆ ม่อซิวเหยากอดนางไว้แน่น ก่อนซบหน้าลงกับเรือนผมที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ “อาหลี…ข้าไม่สบายใจ…” น้ำเสียงของม่อซิวเหยาขาดห้วงและฟังดูสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เยี่ยหลีย่นคิ้วน้อยๆ ยกมือขึ้นประคองหัวไหล่ของม่อซิวเหยาไว้ นางรู้ดีว่าม่อซิวเหยาไม่ได้ไร้ความรู้สึกดังเช่นที่แสดงออกมาโดยตลอด หากเขาสามารถทำใจให้สงบได้จริง เช่นนั้นเขาก็คงไม่ใช่ติ้งอ๋องที่ต้องวางแผนการรบแม้ตัวจะนอนอยู่บนเตียงเช่นทุกวันนี้ แต่คงจะใกล้เคียงเทพเข้าไปทุกทีเสียมากกว่า

 

 

           “หากท่านพ่อและพี่ใหญ่ยังอยู่…ขอเพียงให้เวลาข้าห้าปี ข้าสามารถกวาดล้างแคว้นซีหลิงได้ และอย่างมากสิบปี ข้าสามารถไล่ต้อนแคว้นเป่ยหรงให้ไปอยู่ยังดินแดนอันทุรกันดารทางตอนเหนือให้หมด ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีศัตรูที่จะเข้ามาคุกคามความสงบสุขของต้าฉู่ได้อีก และต้าฉู่ก็จะได้กลายเป็นราชวงศ์ที่รุ่งเรืองกว่าราชวงศ์ก่อนอย่างแท้จริง ซึ่งนี่เป็นความหวังที่ตำหนักติ้งอ๋องยึดมั่นต่อกันมาทุกรุ่น และเป็นความตั้งใจของปฐมกษัตริย์ด้วยเช่นกัน เหตุใดพวกเขา…เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ อาหลี…เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อเจ็ดปีก่อนตอนที่ข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ…ข้าเจ็บแค้นจนอยากจะฆ่าพวกเขาทิ้งเสียให้หมดตั้งแต่ตอนนั้น! พวกเขากล้า…พวกเขากล้าทำเช่นนั้นกับพี่ใหญ่ได้อย่างไร” ม่อซิวเหยากอดเยี่ยหลีไว้แน่น น้ำเสียงต่ำเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ท่านพ่อเคยพูดว่าจะปกป้องประชาชนของต้าฉู่ พี่ใหญ่เองก็เคยพูดไว้ว่าสำหรับตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ความสงบสุขของต้าฉู่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่ดูว่าพวกมันทำกับเราอย่างไร ตอนนั้นข้าบอกตัวเองว่า…ต่อให้ข้ายืนขึ้นไม่ได้อีกตลอดชีวิต ข้าก็จะต้องฆ่าพวกมันให้ได้!”

 

 

           “แต่ท่านก็ไม่ได้ลงมือฆ่าพวกเขามิใช่หรือ” เยี่ยหลีเอนตัวเข้าหาเขาพร้อมเอ่ยเสียงเบาขึ้น ด้วยความแข็งแกร่งของตำหนักติ้งอ๋อง หากจะลุกขึ้นมาต่อต้านทหารของทั้งต้าฉู่ด้วยสถานการณ์อย่างในตอนนั้นอาจเป็นไปไม่ได้ แต่หากจะตัดสินใจฆ่าคนบางคนขึ้นมาจริงๆ นั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่แม้ในตอนที่ม่อซิวเหยาโกรธถึงขีดสุด เขาก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น

 

 

           ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าทำไม่ได้…ทหารในกองทัพตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีต่างเป็นทหารที่รักษาดูแลความสงบทางชายแดนมาทุกยุคทุกสมัย ข้าไม่อาจให้พวกเขาแบกรับความผิดจากการทรยศแคว้นของตนเองได้ หากเป็นเช่นนั้น…ความเสียสละทุ่มเทและความเด็ดเดี่ยวที่ตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อได้ทำมาเป็นร้อยปีจะทำไปเพื่ออันใด” เยี่ยหลีนิ่งเงียบ บางทีนี่คงเป็นความเจ็บปวดที่แท้จริงของม่อซิวเหยา ความฉลาดของเขากับความแข็งแกร่งของตำหนักติ้งอ๋องทำให้เขาไม่อาจแม้แต่จะนึกสงสัยว่าศัตรูคู่แค้นของเขาเป็นใคร เขาเกลียดผู้ที่ปกครองแคว้นนี้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นเขาเกลียดแคว้นนี้ แต่เขากลับไม่อาจทำลายพวกเขาลงอย่างที่ใจอยากได้ ซ้ำร้ายเขายังต้องคอยปกป้องพวกเขาอีก ปกป้องคนที่ตัวเขาแค้นที่สุด…ไม่ว่าสำหรับใครก็ตาม การที่ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ถือเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง

 

 

           “อาหลี ต้องมีสักวัน…ที่ข้าจะได้ฆ่าพวกมัน เจ้า…จะนึกกลัวข้าหรือไม่” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบาพร้อมกับซบลงบนไหล่ของเยี่ยหลี

 

 

           เยี่ยหลีหลุบตาลง มองผ้าคลุมเตียงที่อยู่ด้านหลังม่อซิวเหยา ก่อนตอบเสียงเบาว่า “ท่านไม่ได้รู้ตั้งนานแล้วหรือว่าข้าไม่ใช่คนใจเสาะ”

 

 

           “แต่ข้ารู้ดีว่าอาหลีเป็นคนใจอ่อน” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบา “หากวันใดวันหนึ่งที่อาหลีได้รู้ว่าข้าไม่ใช่คนดี ให้ข้าบอกเจ้าก่อนเสียยังดีกว่า” เยี่ยหลีประหลาดใจเล็กน้อย นางฝืนตัวออกมามองแววตาของม่อซิวเหยาที่มองตนด้วยสายตาแน่วแน่และอบอุ่น “ข้าคิดว่าท่านเป็นคนดีหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญมากหรือ”

 

 

           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นลูบเส้นผมหลังใบหูนางอย่างอ่อนโยน “แน่นอน เพราะอาหลีเป็นชายาของข้า…ต่อให้วันหนึ่งอาหลีรู้ว่าข้าเป็นคนไม่ดี ข้าก็…จะไม่ปล่อยให้เจ้าไปไหน” ม่อซิวเหยาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและสดใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะทำอันใดไม่ถูก รับรู้เพียงริมฝีปากซีดที่มีความอุ่นอยู่น้อยๆ ประทับลงเบาๆ บนริมผีปากของตนเท่านั้น เบามากๆ ดูเหมือนเขาจะหน่วงเวลาไว้พักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยได้ยินเสียงของม่อซิเหยาดังขึ้นที่ข้างหู “อาหลี ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”

 

 

           ข้างริมฝีปากนางยังรู้สึกชาอยู่น้อยๆ เยี่ยหลีรู้สึกว่าความสามารถในการตอบสนองที่นางนึกภาคภูมิใจมาตลอดดูจะหมดลงอย่างไรอย่างนั้น เดี๋ยวก่อน ข้ารับปากแล้วหรือ

 

 

           “เรียนพระชายา คุณหนูมู่หรงมาขอพบเพคะ” ชิงหลวนเอ่ยรายงานเสียงใสมาจากหน้าประตู

 

 

           เยี่ยหลีดีดตัวลุกขึ้น มองม่อซิวเหยาที่อมยิ้มมองนางก่อนจะถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วจึงหันไปพูดตอบด้านนอกว่า “เชิญแม่นางมู่หรงให้ไปรอที่โถงดอกไม้ก่อน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ชิงหลวนรับคำก่อนเดินจากไป เยี่ยหลีส่งเสียเหอะเบาๆ ก่อนหมุนตัวจะเดินจากไป แต่ถูกมือของม่อซิวเหยายื่นมาจับไว้ เมื่อสบตาเข้ากับเยี่ยหลีที่มีแววโกรธซ่อนอยู่ ม่อซิวเหยาจึงได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “อาหลี เปลี่ยนชุดเสียก่อนแล้วค่อยออกไปเถิด” เยี่ยหลีมองชุดที่ตนใส่อยู่ด้วยความไม่เข้าใจ ถึงแม้จะดูสบายๆ ไปบ้าง แต่หากใส่ออกไปพบมู่หรงคงไม่ถือเป็นการเสียมารยาทหรอกกระมัง ม่อซิวเหยาพูดต่อว่า “เหลิ่งเอ้อร์จะต้องมากับคุณหนูมู่หรงด้วยเป็นแน่ ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าออกไปพบเขาแทนข้าทีเถิด” เยี่ยหลีเห็นสีหน้าของม่อซิวเหยาดูเหนื่อยอ่อนจริงๆ จึงนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เสิ่นหยางมาถึง เขาก็อดทนมานานพอดู ถึงแม้ดูภายนอกม่อซิวเหยาอาจดูเหมือนไม่เป็นไร แต่ภายในใจคงรู้สึกไม่สงบและผิดหวังบ้างเป็นธรรมดา ใจนางอดที่จะอ่อนลงไม่ได้จึงหันไปพูดกับเขาเสียงอ่อนว่า “ข้าออกไปพบเขาเอง ท่านนอนพักเถิด”

 

 

           นางประคองม่อซิวเหยาให้นอนลง พร้อมห่มผ้าห่มให้เขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงได้หมุนตัวเดินเข้าห้องด้านในไปเปลี่ยนชุด ม่อซิวเหยานอนมองร่างที่เดินจากไปของเยี่ยหลีอยู่บนเตียง มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่ อาหลี เจ้าใจอ่อนจนทำให้ข้าไม่อาจปล่อยมือได้ ดังนั้น…ต่อให้เจ้าไม่ชอบข้า ข้าก็จะไม่ให้โอกาสเจ้าได้นึกเสียใจหรอก