ตอนที่ 159 ยอมเดิมพัน + ตอนที่ 160 นายไสหัวไปได้ละ

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 159 ยอมเดิมพัน

“พี่เฉิน ฉันยอมเดิมพัน ให้นายแต่งงานก่อน เชิญนายก่อนเลย ส่วนครอบครัวฉีฉันค่อยดื่มกินตามนายไม่ได้เหรอ?” ฉีเซิงเทียนยิ้มและยืนขึ้น “พี่เฉินคงไม่ทอดทิ้งฉันใช่ไหม!”

จิ่งเป่ยเฉินปิดคอมพิวเตอร์ตรงหน้าและลุกขึ้นพร้อมหยิบกุญแจบนโต๊ะ “ถ้านายยอมอยู่ที่นี่ ฉันจะจ่ายเงินเดือนให้นายไปตลอดชีวิต”

“ไม่ได้ ถ้าถึงวัยเกษียณแล้ว ฉันยังอยากมีความสุขอีกสักปีสองปีนะ!” ฉีเซิงเทียนหยิบยาบนโต๊ะแล้วเดินตามจิ่งเป่ยเฉินออกไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

“ปีสองปีพอเหรอ? ความตั้งใจของนายคืออะไร?” จิ่งเป่ยเฉินถามอย่างเย็นชา

“ไม่พอ ไม่พอ!” ฉีเซิงเทียนยิ่งฟังยิ่งดูมีความสุข!

ในสถานการณ์สำคัญยังเป็นพี่น้องที่ห่วงใยกัน แต่เขาอยากที่จะพึ่งพาจิ่งเป่ยเฉินไปตลอด ชีวิตนี้จะได้กินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องกังวล

เมื่ออันโหรวมาถึงที่บริษัทในเช้าวันรุ่งขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะไปดูห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน

ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเขาได้กินยาหรือเปล่า ฉีเซิงเทียนน่าจะเอายาให้เขาแล้วนะ!

เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก เธอก็รีบหยิบเอกสารที่จะเซ็นชื่อเดินออกไปด้านนอกทันที เมื่อเห็นจิ่งเป่ยเฉินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เธอก็เดินไปตามหลังเขาอย่างเงียบ ๆ

ดูเหมือนว่าตัวเขาจะมีกลิ่นยาจาง ๆ หรือว่าไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าแล้ว?

เมื่อเดินถึงประตูหน้าห้องทำงาน เธอรีบผลักประตูเข้ามาด้านใน และจิ่งเป่ยก็เดินตามเข้ามา

เธอพลิกเอกสารไปหน้าสุดท้าย พลางกางออกและหยิบปากกาของจิ่งเป่ยเฉินวางลงตรงหน้าเขา “ประธานจิ่ง”

จิ่งเป่ยเฉินหยิบปากกามาเซ็นชื่อลงบนเอกสารอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโยนปากกาออกจากมือ และมันก็ตกไปที่ที่เสียบปากกาอย่างแม่นยำ

เธอหยิบเอกสารขึ้นมาและอยากถามว่าเขาได้กินยาไปแล้วหรือยัง แต่เธอกลับไม่ยอมพูดออกมา เธอรู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าเขา การไม่ถามเยอะนั้นดีที่สุด

ทันทีที่เธอหยิบเอกสารออกไป เธอกลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้งพร้อมกับถ้วยชา

แต่เมื่อเธอกลับมาพร้อมกับถ้วยชา จิ่งเป่ยเฉินกลับไม่ได้นั่งอยู่แล้ว เธอได้ยินแค่เสียงฝีเท้า แต่ไม่คิดว่าเขาจะหายไป

เธอวางถ้วยชาในมือลงอย่างระมัดระวัง มองไปที่ประตูห้องรับรองที่อยู่ด้านหลังเบาะเก้าอี้ เธอถอยหลังตามสัญชาตญาณ ฉากเมื่อเช้าวันก่อนยังคงติดตา เธอไม่อยากให้เรื่องซ้ำรอยอีก

เพื่อความปลอดภัย เธอจึงตัดสินใจไปหาฉีเซิงเทียน

แต่ฉีเซิงเทียนยังไม่ได้เข้าบริษัท จริงสิ ที่บริษัทจิ่ง นอกจากจิ่งเป่ยเฉินที่ทำอะไรตามอำเภอใจ และเธอที่มักจะออกก่อนเวลางานเพื่อไปรับลูกแล้ว ก็ยังมีฉีเซิงเทียนที่ไม่ทำตามกฎของบริษัท เป็นความเคยชินของเขาที่เข้างานสายและออกก่อนเวลา

อันโหรวนะอันโหรว ไม่ช้าก็เร็วเธอก็ต้องเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่ควร

สุดท้ายเธอก็เปิดประตูเข้าไปในห้องรับรอง จิ่งเป่ยเฉินนอนอยู่บนเตียง ดูเหมือนเขาจะเพลียมาก แม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้ถอดออก

ใบหน้าที่เย็นชาดูเหนื่อยล้า ขนตายาวเรียงตามธรรมชาติ ภายในห้องดูเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจของเขา

เธอก้าวขาเดินเข้าไปด้านข้างลำตัวเขาอย่างเบา ๆ ดึงผ้านวมที่พับไว้มาห่มที่อกของเขา สายตาเหลือบไปมองที่รองเท้าของเขา ถอดหรือไม่ถอดดี?

หรือว่าเมื่อคืนทำงานจนดึก? งั้นเธอที่เป็นเลขาก็ดูละทิ้งหน้าที่มากไปหรือเปล่า?

รู้ว่าตัวเองบาดเจ็บก็ควรพักผ่อนให้ดีก่อน เรื่องงานเบาลงหน่อยไม่ได้หรือไง?

อันโหรวรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่ดูแลตัวเองให้ดีเลย น่าโมโหจริง ๆ

ในที่สุดเธอก็เดินไปปลายเตียงถอดรองเท้าของเขาออกอย่างเบามือ ขยับขาของเขาขึ้นไปบนเตียง ดึงผ้าห่มมาห่มที่ตัวเขาและเดินออกจากห้องไป

ก่อนออกจากห้อง เธอตบไปที่อกของเขาอย่างหวาดกลัว แม้ว่าเขาจะไม่ตื่น แต่ก็เป็นบททดสอบความอดทนสำหรับเขา

จนกระทั่งสิบเอ็ดโมงเช้า ฉีเซิงเทียนที่มาสายก็มาถึงและรีบตรงไปห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉินทันที อันโหรวได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบเดินเข้าไปขวางเขาทันที “ผู้จัดการฉี ประธานจิ่งกำลังพักผ่อนอยู่ค่ะ”

“พักผ่อน?” ฉีซิงเทียนยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย สายตาของเขามองไปที่ร่างกายของเธออย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเธอนี่มัน แต่เช้าเลยงั้นเหรอ!”

ใบหน้าของอันโหรวยังคงนิ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณเข้าใจฉันผิดนั้นไม่เป็นไร แต่มันไม่ถูกต้องที่คุณเข้าใจประธานจิ่งผิด!”

อย่างนั้นเหรอ! คนแบบนั้นทำเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน

“หรือว่าไม่จริง?” ไม่อย่างนั้นเขาจะมานอนพักแบบนี้ได้ยังไง นี่มันสิบเอ็ดโมงแล้วนะ มันไม่ใช่นิสัยของจิ่งเป่ยเฉินเลย

“เปล่าค่ะ” เธอส่ายหัวและพูดอย่างแน่วแน่ “ฉันคิดว่าเมื่อเช้าเขาไปโรงพยาบาล ยาน่าจะออกฤทธิ์ ผู้จัดการฉีรู้อาการบาดเจ็บที่แขนของประธานจิ่งไหมคะ?”

เธอสงสัยแต่กลับไม่กล้าถามจิ่งเป่ยเฉิน แต่ถึงถามไปเขาก็คงไม่บอก

ฉีเซิงเทียนหลบสายตาเลี่ยงคำถามของเธอและเดินไปเปิดประตู “เธอไปทำงานของเธอได้แล้ว!”

“งั้นฉันไปก่อนนะคะ” เธอหันมองย้อนกลับไปอย่างใจจดใจจ่อ หวังว่าความกังวลของเธอจะมากพอ

ฉีเซิงเทียนผลักประตูเข้าไปในห้อง จิ่งเป่ยเฉินนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา ท่าทางที่ดูอ่อนแอ? อันอีหานเห็นเป็นภาพหลอนไปหรือเปล่า?

“ประธานจิ่ง เมื่อครู่เลขาอันบอกว่านายหลับไปตั้งแต่เช้า เมื่อคืนไปทำอะไรมา?” เขาเดินเข้าไปหาด้วยความสนใจ มองดูทรงผมของเขาที่ดูเหมือนเพิ่งลุกออกจากเตียง

“ยุ่ง!” แม้จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่น้ำเสียงที่แหลมคมของเขาแสดงถึงอารมณ์ที่ไม่พอใจ

“ฉันยุ่งหรือเลขาอันที่ยุ่ง?” ฉีเซิงเทียนนั่งลงอย่างไม่สนใจ มองไปที่มือซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อวานยังพันด้วยผ้าพันแผล ตอนนี้ถูกซ่อนด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว ทำให้ดูปกปิดแผลขนาดเล็กนั้นได้

เขาจำได้ว่าเมื่อวานเป็นแค่รอยแผลเล็ก ๆ ผ้าพันแผลนี่ดูใหญ่เกินไปจริง ๆ

จิ่งเป่ยเฉินโยนแฟ้มเอกสารใส่เขา “นาย”

ฉีเซิงเทียนยักไหล่และแกล้งเงยหน้าขึ้นมองเครื่องปรับอากาศในห้องทำงาน “อุณหภูมิในห้องต่ำลง? ทำไมถึงหนาวแบบนี้!”

จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้ามองเขา ดวงตาสีดำสนิทของเขาทำเอาหนาวเข้ากระดูก

“ประธานจิ่ง พี่เฉินบอกฉันที! ใครมันยั่วโมโหพี่?” ฉีเซิงเทียนหยิบเอกสารขึ้นมาและถามอย่างจริงจัง

ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรใหญ่โตหรอก วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นวันเกิดของอันโหรว เข้าใช้เวลาคิดอยู่ทั้งคืนว่าจะทำอย่างไรให้เธอยอมรับตัวตนของเธอเสียที

เมื่อฟ้าสางเขาก็ไปทำแผลที่โรงพยาบาล แม้จะมีความสุขที่เธอป้อนข้าวให้ แต่ก็ไม่สะดวกสำหรับเขา พอถึงบริษัทก็รู้สึกง่วงขึ้นมาทันทีเลยเผลอหลับไป

ฉีเซิงเทียนมองเขาอย่างไม่กะพริบตา คาดหวังคำพูดที่ดูน่าตกใจ แต่เขากลับพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ตื่นตระหนก “ให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดดีนะ?”

“พี่เฉิน วันชาติจีนเขาให้ของขวัญกันด้วยเหรอ!” ฉีเซิงเทียนหัวเราะเยาะ แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เย็นชาของเขาจึงรีบหุบยิ้มในทันที เขายิ้มมุมปากและพูด “ประธานจิ่ง คุณถามถูกคนแล้ว”

จิ่งเป่ยเฉินเบื่อที่จะเห็นเขาหัวเราะเยาะต่อไป “พูดเร็ว!”

“ความมุ่งมั่นปรารถนาในวันชาติจีนที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ให้อะไรก็ดูขี้เหนียวไปหมด ไม่งั้นลูกพี่ก็ห่อตัวเองลงไป ส่งเป็นของขวัญซะสิ!” เป็นของขวัญที่ดีที่สุด ฉีเซิงเทียนเตรียมหัวเราะเยาะเพียงพริบตาที่สบตากับเขา พวกเขาเริ่มคุยเล่นกัน “ผู้หญิงทุกคนไม่ได้ชอบของแบบนั้นหรอกเหรอ เครื่องประดับ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง น้ำหอม บ้าน และรถยนต์ แล้วก็ยังมีพี่ชายสุดหล่ออย่างประธานจิ่ง!”

………………………….

ตอนที่ 160 นายไสหัวไปได้ละ

“นายไสหัวไปได้ละ” จิ่งเป่ยเฉินกล่าว

“โอเค ๆ ฉันไปเดี๋ยวนี้แหละ!” ฉีเซิงเทียนลุกขึ้นยืน ก่อนจะรีบออกจากห้องทำงานไปทันที และไม่ลืมที่จะเตือนอันอีหานว่าจิ่งเป่ยเฉินตื่นแล้ว

ทันทีที่ฉีเซิงเทียนออกไป เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจในการทำงานแล้ว อันโหรวเคยเป็นลูกสาวที่มีชื่อเสียงในอดีต ฉีเซิงเทียนพูดไปแบบนั้นเธอคงจะไม่ชอบเป็นแน่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาพูดตรงประเด็น

เครื่องสำอาง ให้เครื่องสำอางเป็นของขวัญเธอจะใช้ไหม?

เขานิ่งคิดไปชั่วครู่ เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เขาหยุดคิด ใบหน้ากลับมาจริงจังทันที “เข้ามา!”

อันโหรวเปิดประตูเข้ามาตามที่เขาคาดการณ์ไว้ รีบปลุกบิ๊กบอสลุกขึ้นจากเตียงทันที

ดูเหมือนสีหน้าของเขาจะดูดีขึ้น ดูมีชีวิตชีวา เมื่อครู่น่าจะเป็นอาหารเสริมการนอนหลับ?

เขาหมดคำพูดเลยจริง ๆ!

“ประธานจิ่ง คุณต้องดูเอกสารนี้” เธอวางเอกสารในมือลงตรงหน้าเขา พลางยืนด้วยท่าทีเคารพ

จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่เอกสารตรงหน้า เปิดไปหน้าแรกและพูดอย่างสบายใจว่า “วันที่ 1 ตุลาคมหาเวลาว่างไว้ด้วย”

“ประธานจิ่ง นั่นคือวันหยุดประจำชาติ ฉันไม่ทำงานล่วงเวลา” ยิ่งไปกว่านั้นเป็นวันเกิดของเธอ เธอจำได้อย่างชัดเจน คนตรงหน้าใช้วันเกิดเธอตั้งเป็นรหัสผ่านด้วยซ้ำ

เธอดูไม่เห็นด้วย เธออดกลั้นต่อความโกรธในใจ เขาจึงพูดอย่างเฉยเมยว่า “เงินเดือนสิบเท่า”

“เรื่องเงินเดือนไม่สำคัญ วันนั้นฉันต้องดูเดินสวนสนามที่บ้าน ไม่มีเวลาทำงานล่วงเวลา” เธอส่ายหน้าพลางพูดอย่างจริงจังราวกับว่าเธออยากดูเดินสวนสนามนั้นจริง ๆ

หลังจากที่มีหยางหยางและหน่วนหน่วน เธอก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเด็ก ๆ ในวันเกิดของเธอ ปีนี้เธอไม่อยากอยู่กับจิ่งเป่ยเฉิน

“ยี่สิบเท่า”

“ไม่ได้!”

เธอปฏิเสธไวเกินไปหรือเปล่า?

จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอ ท่าทางที่ดูน่าเคารพ ดูมีคุณสมบัติครบถ้วนในหน้าที่เลขา หนำซ้ำยังดูไม่สามารถจับผิดอะไรได้

เขากวาดสายตาที่เย็นชาและพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันแค่บอกเธอ ไม่ได้ถามความคิดเห็นของเธอ”

ลักษณะท่าทางของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว

เธอสะดุ้งและถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “งั้นเงินเดือนยี่สิบเท่าตามนั้นใช่ไหมคะ?”

นี่เขาชอบผู้หญิงแบบไหนกันนะ ไม่คิดว่าจะถามคำถามนี้

ดังนั้นเขาเกือบจะกัดฟันและตะโกนเรียกชื่อเธอโดยไม่หันหน้าไปทางอื่นอย่างสงบนิ่ง “อันอีหาน!”

“คะ?!”

จิ่งเป่ยเฉินกัดริมฝีปากของตัวเอง มองเธอด้วยสายตาที่ดูเหมือนตะปูตอกเธอเข้ากับผนังอย่างแน่น “ตาม…นั้น”

“งั้นโอเคค่ะ ฉันตกลง” ดูเหมือนว่าจะสละเงินยี่สิบเท่าของเงินเดือนในตอนเช้าไม่ได้ อย่างไรซะตอนเย็นก็ได้ฉลองวันเกิด

“คุณต้องการให้ผมขอบคุณไหม?” น้ำเสียงแบบนั้น สีหน้าแบบนั้นดูไม่เต็มใจเกินไป

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ประธานจิ่งอย่าลืมบอกแผนกบุคคลเรื่องเงินเดือนยี่สิบเท่านะคะ!” เธอยื่นนิ้วชูเลข ‘สอง’ ตรงหน้าเขา

จิ่งเป่ยเฉินยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสาย “วันที่ 1 ตุลาคมจ่ายเงินเดือนให้อันอีหานยี่สิบเท่า”

เมื่อได้ยินคำตอบจากอีกฝ่าย เขาก็วางสายโทรศัพท์ไป พลางเลิกคิ้วมองไปที่เธอ “พอใจแล้วหรือยัง?”

“พอใจแล้วค่ะ” เธอพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยิ้มเผยให้เห็นฟันสีขาวที่เรียงสวย

จะไม่พอใจได้ยังไง? ยี่สิบเท่าเลยนะ!

ในชั่วพริบตาก็เป็นวันที่ 1 ตุลาคม เป็นเช้าที่มีแดดส่องจ้า แต่เมื่ออันโหรวคิดว่าต้องไปทำงานก็ไม่อยากลุกออกจากที่นอน

นี่มันวันเกิดเธอนะ!

”แม่จ๋า สุขสันต์วันเกิดค่ะ!” หยางหยางและหน่วนหน่วนปลุกเธอตั้งแต่เช้าบนเตียงนอน ประสานเสียงปลุกเธออย่างพร้อมเพรียง

เธอลุกขึ้นจากเตียงนอนและจูบที่แก้มลูก ๆ ของเธอ “ขอบคุณนะคะเด็กน้อย”

”แม่จ๋า ของขวัญ!” หน่วนหน่วนหยิบภาพวาดออกมาให้เธอดูด้วยรอยยิ้ม “แม่จ๋าชอบไหมคะ?”

อันโหรวควบคุมสติตัวเอง ต้องยับยั้งชั่งใจตัวเองห้ามไม่ให้เด็กน้อยทั้งคู่รู้เด็ดขาด

“แม่จ๋าไม่ชอบเหรอคะ?” หน่วนหน่วนมองเธอที่นิ่งไป และถามอย่างสงสัย

“ชอบสิคะ แม่จ๋าชอบที่สุดเลย!” เธอรับภาพวาดจากมือของหน่วนหน่วนมามองดูอย่างจริงจัง

เดิมทีตรงกลางของรูปภาพต้องเป็นเธอที่ยืนจูงมือหยางหยางและหน่วนหน่วน แม้จิตรกรตัวน้อยวาดมันอย่างตั้งใจ แต่เธอกลับไม่ชอบภาพของเด็ก ๆ เลยสักนิด

ว่าแต่ทำไมด้านข้างของหน่วนหน่วนถึงมีผู้ชายจูงมืออยู่ ด้านข้างหยางหยางก็ด้วย

สองสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?

“แม่จ๋า รูปนี้คือหนูกับพี่ชายวาดด้วยกัน ตรงกลางคือแม่จ๋า คนที่จูงมือหนูคือคุณลุงจิ่ง ส่วนคนที่จูงมือพี่ชายอยู่คือคุณลุงถัง พี่ชายวาดลุงถังลงไปก่อน หนูเลยวาดคุณลุงจิ่งเข้าไปด้วย เหมือนไหมคะแม่?” นิ้วน่ารัก ๆ ของหน่วนหน่วนชี้ไปที่รูป จิ่งเป่ยเฉิน ใบหน้าเฝ้ารอคำตอบจากเธอ

“เหมือนจ้ะเหมือน!” บนใบหน้าจมูกและดวงตาทั้งสองที่เหมือน ปากและใบหูดูไม่รู้เลยว่าเป็นจิ่งเป่ยเฉิน แต่ดูแล้วเหมือนสัตว์ประหลาดมากกว่า

แต่ว่าหยางหยางวาดดีกว่านะ อย่างน้อยวันนั้นที่ถังซั่วใส่ต่างหูและสวมเสื้อสีฟ้าก็ทำให้ดูออกว่าเป็นถังซั่ว

รูปภาพนี้เธอทิ้งมันไปได้ไหม? มันดูเละเทะไปหมด!

ไม่อยากจะคิดหากมีใครคนใดคนหนึ่งเห็น เธอได้ตายอย่างอนาถแน่!

“หยางหยาง หน่วนหน่วน วันนี้แม่จ๋าต้องไปทำงาน ตอนเย็นจะรีบกลับมาอยู่กับลูก ๆ ดีไหมคะ?”

เธอถามด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพับภาพไว้ในมือ

“แม่จ๋าต้องไปทำงานเหรอ?” หยางหยางดูเย็นชาและไม่มีความสุข

เขาได้นัดลุงถังซั่วมาฉลองวันเกิดแม่จ๋า ไม่คิดว่าแม่ต้องไปทำงาน หัวหน้าดูแย่จริง ๆ ขโมยเวลาพักผ่อนของแม่จ๋าไป ทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันเกิดของแม่จ๋าแท้ ๆ

“แม่จ๋าจะกลับมาให้เร็วที่สุดนะคะ อยู่บ้านดูแลน้องดี ๆ นะ!” เธอลุกขึ้นออกจากเตียง “แม่จ๋าไปทำงานสายแล้ว”

“พี่ชาย แม่จ๋าจะไม่อยู่บ้านกับพวกเราเหรอ?” หน่วนหน่วนเพิ่งรู้สึกตัวว่าแม่จ๋าจะไม่อยู่กับพวกเขา

“แม่จ๋าจะกลับมาตอนเย็นนะคะ” หยางหยางดึงหน่วนหน่วนออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เด็กผู้ชายห้ามดูแม่จ๋าเปลี่ยนเสื้อผ้า

  

……

อันโหรวขับรถไปที่บริษัท เมื่อเดินไปที่ในล็อบบี้กลับรู้สึกเหมือนโดนหลอก นอกจากพนักงานต้อนรับก็ไม่เห็นแม้แต่เงาใครสักคน ไม่ยอมบอกว่ามีแค่เธอต้องมาทำงานล่วงเวลา

ทันทีที่ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน เธอก็ตรงไปห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน เคาะประตูห้องสองครั้งก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำมาจากด้านใน “เข้ามา”

เธอรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เพราะภาพวาดเมื่อเช้าแท้ ๆ ถ้าหน่วนหน่วนไม่พูดเธอก็ไม่คิดว่าสัตว์ประหลาดนั่นจะเป็นจิ่งเป่ยเฉิน แถมยังจูงมือหน่วนหน่วนอีก

ไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นของขวัญวันเกิดเธอ แต่เมื่อพิจารณาความปลอดภัยในอนาคต เธอจะต้องทิ้งมันไป

หลังจากที่ปรับอารมณ์ได้ เธอก็ผลักประตูเข้าไปในห้องทำงาน จิ่งเป่ยเฉินนั่งงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ ไม่ได้ทำงานเลย เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาเขาจึงลืมตาขึ้น

เมื่อเห็นแววตาคู่นั้นจ้องมองมาเหมือนหยางหยาง เธอก็แทบจะหยุดอยู่ตรงนั้น มันเกินไปแล้ว เขาต้องการอะไรกันแน่!

ในที่สุดเธอก็เดินไปหยุดตรงหน้าเขา ก่อนจะถามด้วยความเคารพว่า “ประธานจิ่งต้องการให้ฉันทำอะไรคะ?”