ตอนที่ 161 ดูแลลูกค้า
จิ่งเป่ยเฉินเห็นเธอยืนตัวตรงก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและพูดว่า “ไป!”
อันโหรวจนปัญญา ได้แต่ตามเขาออกไป ทำงานล่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่บริษัท หรือจะออกไปพบลูกค้ากันนะ?
ทั้งสองคนเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอกำลังเดินตรงไปที่รถสีแดง จิ่งเป่ยเฉินก็เดินนำหน้าเธอราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “มาขับรถ”
“ค่ะ ประธานจิ่ง” เธอเดินไปที่รถของจิ่งเป่ยเฉินและเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ
เมื่อปิดประตูรถและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว ก็หันหน้าไปมองเขาและถามว่า “ประธานจิ่งจะไปไหนเหรอคะ?”
“นั่วเทียน”
ไปโรงแรมตอนกลางวันแสก ๆ เนี่ยนะ?
ถึงแม้ว่าในใจเธอจะสงสัย แต่ก็ยังคงขับรถไปที่โรงแรมนั่วเทียนอยู่ดี เมื่อถึงนั่วเทียนก็ยังไม่ถึงสิบโมง จิ่งเป่ยเฉินเดินลงจากรถโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว จึงมีลูกค้าและนักท่องเที่ยวมากมายที่เข้ามาพักที่โรงแรมนั่วเทียน ที่นี่เป็นโรงแรมที่มีแขกมาค่อนข้างเยอะ
แต่จิ่งเป่ยเฉินนั้นเป็นใคร เป็นหัวหน้าใหญ่สุดของที่นี่ เมื่อพวกเขาเข้ามาก็ย่อมได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทันที จิ่งเป่ยเฉินเดินไปหาพวกเขาโดยอดไม่ได้ที่จะโปรยรอยยิ้มให้กับพนักงานของโรงแรม เห็นแบบนั้น เมื่อหัวหน้าใหญ่ลงมาใกล้ชิด พวกเขาก็รู้สึกดีใจไม่ใช่น้อย
ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคนในลิฟต์ ในที่สุดเธอก็ได้รวบรวมความกล้าและถามไปว่า “ประธานจิ่ง พวกเรามาที่โรงแรมนี้ทำไมเหรอคะ?”
“คุณว่าปกติแล้วมาโรงแรมเพื่อทำอะไร?” จิ่งเป่ยเฉินมองเธอด้วยรอยยิ้ม
“ลูกน้องไม่กล้าคิดหรอกค่ะว่าความหมายของประธานจิ่งคืออะไร” เธอคงไม่กล้าเหยียบเข้ามาที่นี่ง่าย ๆ แน่ แม้จะมีเงินเดือนยี่สิบเท่าก็ตาม เธอก็คงไม่กล้า
อย่าโทษที่เธอคิดอะไรแปลก ๆ แบบนี้เลย จิ่งเป่ยเฉินก่อนหน้านั้นก็มีประวัติอยู่ที่โรงแรมนี้ ครั้งที่แล้วก็ห้องพักโรงแรม ครั้งนั้นก็โรงแรมไค่ฮั่ว ถ้านั่วเทียนจำไม่ผิดละก็ เขาอยู่ชั้นที่สิบแปด
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกราวกับว่าขนลุกชันไปทั่วร่าง คล้ายกับว่าสัมผัสได้ถึงไอเย็นบางอย่าง
“ในฐานะที่คุณเป็นเลขาของผม แม้แต่ความคิดของผม คุณก็เดาไม่ออก ถ้าหากผมเข้าใจไม่ผิด แสดงว่าแบบนี้คุณคงทำงานไม่ดีใช่ไหม?” จิ่งเป่ยเฉินก้มหน้าลงเล็กน้อย พลางยิ้มที่มุมปากและสบตากับเธอ
“ประธานจิ่งคะ คำพูดของคุณดูร้ายแรงไปหน่อยนะ ฉันไม่ใช่จิตแพทย์ที่ต้องมาเดาใจลูกค้านะ ไม่ใช่อะไรจะเข้าใจได้หมดเลย ไม่มีทางที่จะเดาความคิดของคุณได้หรอกค่ะ” เธอตอบกลับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่ร่างกายกลับถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว
เธอจะไม่ยอม ไม่ยอมให้โอกาสใด ๆ เกิดขึ้น พอถอยไปหนึ่งก้าวจิ่งเป่ยเฉินก็อดไม่ได้ที่จะขังเธอไว้อย่างแน่นหนา
ทันใดนั้นเองกลิ่นอายของผู้ชายก็ลอยเข้ามาใกล้ ทำให้แผ่นหลังของเธอแนบชิดติดกับผนังลิฟต์ที่เย็นยะเยือก สายตาเหลือบมองไปยังตัวเลขสิบสี่ “ประธานจิ่งคะ ชั้นสิบ สิบห้าถึงแล้วค่ะ”
“จำไว้นะ เงินเดือนยี่สิบเท่า ถ้าวิ่งหนีก็เท่ากับหาย” จิ่งเป่ยเฉินบอกก่อนจะเดินออกไป
เมื่อเธอออกมาก็ตบที่หน้าอกของตัวเองเบา ๆ ด้วยความหวาดกลัวและนึกเสียใจ เธอไม่คิดอยากจะได้เงินเดือนยี่สิบเท่าหรอก ขอแค่เพียงได้กลับบ้านก็พอ
แต่น้ำเสียงของบิ๊กบอสที่สั่งในวันนั้น ต่อให้เธอได้รับเงินเดือนสามเท่า เธอก็มีแต่ต้องทำตามที่เขาสั่ง!
เมื่อคิดว่านี่ไม่ใช่ชั้นสิบแปดของเขา ในใจของเธอก็สงบนิ่งขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามหลังเขาไป
ทั้งสองมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่งห้าศูนย์ห้า เธอกดกริ่งทันที เสียงฝีเท้าที่อยู่ข้างในก็รีบเดินออกมาเปิดประตูออกด้วยความรวดเร็ว
คนที่เปิดประตูออกเป็นชายต่างชาติคนหนึ่ง เขายิ้มทักทายจิ่งเป่ยเฉิน เนื่องจากอยู่ต่างประเทศมาหลายปี ภาษาอังกฤษของเธอก็เปรียบเหมือนภาษาแม่ เธอสามารถเข้าใจบทสนทนาระหว่างพวกเขาสองคนได้อย่างง่ายดาย
ที่แท้จิ่งเป่ยเฉินก็มาทำธุรกิจจริง ๆ เมื่อครู่เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ มันดูไร้สาระมาก เธอคิดว่าจิ่งเป่ยเฉินจะทำตัวไม่ดีกับเธอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกผิดเล็กน้อยกับเขา มันรู้สึกผิดจริง ๆ
ผู้ชายคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำไวน์ที่ต่างประเทศ แม้บริษัทจิ่งจะเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมไวน์ แต่ผู้นำไม่ได้หมายความว่าจะไม่พัฒนาต่อ เขาต้องการที่จะพัฒนาและขยายการตลาดไปยังต่างประเทศ เรื่องนี่นับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขามาก ๆ
เมื่อพวกเขาเข้าไป ชายคนนั้นก็เทไวน์ใส่แก้ว แก้วหนึ่งส่งให้จิ่งเป่ยเฉิน ส่วนอีกแก้วส่งให้กับเธอ สายตาของเขามองไปที่จิ่งเป่ยเฉิน และพูดว่า “เฉิน นี่คือเลขาคุณเหรอ?”
“อันอีหาน” จิ่งเป่ยเฉินแนะนำสั้น ๆ
“สวัสดีค่ะ!” เธอยิ้มพลางกล่าวทักทาย ก่อนจะยื่นมือออกไป
ลีออนพยักหน้าให้จิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะยื่นมือไปจับกับเธอเบา ๆ และยื่นแก้วไวน์เข้าไปตรงหน้าเธอเพื่อหวังจะชนแก้ว “ลีออนครับ”
หลังคำทักทายสั้น ๆ พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันและเกี่ยวกับแผนพัฒนางานในอนาคต
เธอไม่ได้เข้าใจในด้านอุตสาหกรรมไวน์เลยไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เธอกลับได้กลิ่นหอมของมัน เธอค่อย ๆ จิบมันทีละนิด ลิ้มรสชาติของไวน์ในยามเที่ยงหลังกินข้าว จากจิบทีละนิดก็กลายเป็นดื่มจนหมด
หลังจากที่รับประทานอาหารที่โรงแรมนั่วเทียน ทั้งสองคนก็ได้ไปเล่นกอล์ฟในร่ม แถมยังไม่ต้องการให้เธอเป็นแคนดี้อีก กลับกันเธอกลายเป็นแค่ผู้ชมที่ไม่รู้จะทำอะไร ทันใดนั้นระหว่างดูพวกเขาก็แอบคิดถึงหยางหยางและหน่วนหน่วน ไม่รู้เลยว่าพวกเด็ก ๆ กำลังทำอะไรกันอยู่
เธอมองไปที่พวกเขาสองคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ระยะไกล เธอจึงหยิบมือถือออกมา ก่อนจะเดินไปหาสถานที่เงียบ ๆ เพื่อโทรไปยังบ้าน
ขณะฟังเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์บ้าน เธอก็รู้สึกมีความสุข เพราะอีกเดี๋ยวน่าจะได้ยินเสียงของหยางหยางกับหน่วนหน่วนแล้ว
แต่เมื่อเงี่ยหูรอฟังเสียงโทรศัพท์จนในที่สุดก็ไม่มีใครรับ เธอเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้น ก่อนจะรีบโทรไปยังเบอร์มือถือของหยางหยาง
เธอเอามือซ้ายตบไปที่หน้าอกเบา ๆ และคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก บางทีพวกเขาอาจจะเล่นกันอยู่ในห้อง ไม่ก็ด้านนอกตรงชุมชนเล็ก ๆ
ถึงแม้จะปลอบใจตัวเองไม่หยุด แต่ในใจของเธอที่ไม่ได้ยินใครรับโทรศัพท์ก็เริ่มที่จะเป็นห่วงมากขึ้น เธอเดินไปมาด้วยท่าทีกระวนกระวาย ในที่สุดโทรศัพท์ก็ถูกรับ หัวใจที่กระวนกระวายของเธอแทบจะเต้นออกมา
“หยางหยาง!” เธอรู้สึกตื่นเต้นจนเกินไป จึงไม่ทันได้สังเกตถึงระดับเสียงที่ตัวเองเพิ่มขึ้นมาแต่อย่างใด
จิ่งเป่ยเฉินที่กำลังแกว่งไม้กอล์ฟไปมาได้ยินเสียงของเธอ ก่อนจะพูดกับลีออนสักครู่ แล้วก็เดินมาหาเธอ นี่มันหรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน? เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในจุดนี้ ตัวของเขาก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเริ่มตึงเครียดมากขึ้น
ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเห็นเขามาก่อนก็ตาม แต่เบื้องหน้าของเขาก็คืออันโหรว ส่วนหยางหยางคนนี้ก็ต้องเป็นลูกชายของเขาแน่ ๆ ย่อมไม่อยากให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดแต่อย่างใด
อันโหรวที่กำลังพูดกับหยางหยางอยู่ เธอไม่ทันรู้สึกตัวว่าจิ่งเป่ยเฉินเดินเข้ามาใกล้ เมื่อได้ยินว่าเขาไม่เป็นอะไร หัวใจเธอก็พลอยโล่งอกไปด้วย
“แม่จ๋า พวกเรากับลุงถังมาซื้อข้าวของกันที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เดี๋ยวคืนนี้ก็น่าจะกลับเร็วหน่อย คุณลุงถังได้เตรียมเค้กวันเกิดให้แม่ด้วยนะ!” เสียงของหยางหยางแฝงไปด้วยความสุข ปกติแล้วหยางหยางนั้นมักมีท่าทางที่ดูเย็นชา ดูท่าเขาคงคิดภาพว่าตัวเธอกับถังซั่วอยู่ด้วยกันไปแล้ว
เมื่อนึกถึงภาพของจิ่งเป่ยเฉินในสายตาของเขา เธอเองก็รู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย เพราะลูกคนนี้กลับทำตัวไม่ดีต่อพ่อแท้ ๆ ของเขาแบบนี้?
“อืม ๆ งั้นพวกลูกก็เล่นสนุกกันไปก่อนละกันนะ!” เธอวางสายอย่างไม่เต็มใจ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับถังซั่วที่เตรียมเค้กวันเกิดให้เธอนั้น เธอไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
หยางหยางและหน่วนหน่วนไม่ได้เป็นอะไร ใบหน้าของเธอจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอถือโทรศัพท์และหมุนตัวกลับก่อนจะพุ่งไปชนหน้าอกแข็งแรง ยังไม่ทันตั้งตัว มือทั้งสองของเขาก็โอบกอดเธอไว้อย่างแน่นเสียแล้ว
นี่มันโยนเข้ามาในอ้อมกอดยังงั้นเหรอ?
“ประ….ประธานจิ่ง ช่วยปล่อยฉันด้วยค่ะ” เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย ขยับออกจากหน้าอกที่แข็งแรงของเขา พลางถอนหายใจออกมา เมื่อครู่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าจิ่งเป่ยเฉินนั้นมาอยู่ข้าง ๆ เธอตั้งแต่ตอนไหน
มือทั้งสองข้างของเขาค่อย ๆ คลายออก อันโหรวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ภายในอ้อมกอดที่ว่างเปล่า หัวใจของเขานั้นก็เริ่มรู้สึกโหวงเหวงทันที
แต่เมื่อมองไปยังใบหูของเธอที่แดงขึ้นเล็กน้อย หัวใจของเขาก็กลับมาเต้นอย่างมีความสุขอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า “หยางหยางกับหน่วนหน่วนไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
นี่เขาได้ยินอะไรกันแน่? ดูเหมือนเธอไม่ควรพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดใช่ไหม?
………………………………….
ตอนที่ 162 พวกเขาสบายดี
ก่อนที่เธอจะได้คิดมากอะไร เธอก็ยิ้มและตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นอะไร พวกเขาสบายดี ขอบคุณที่ประธานจิ่งเป็นห่วงนะคะ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะสันนิษฐานว่าเพื่อนของเธอคงไปอยู่กับพวกเขาแน่ ๆ
เพราะถ้ามีปัญหาอะไรละก็ พวกเขาจะรีบกลับไปทันที ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว แบบนี้เธอก็ยังอยู่กับเขาได้ และยังคงทำตามแผนเดิมต่อไป
เมื่อเห็นจิ่งเป่ยเฉินนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อพักผ่อนอยู่ข้าง ๆ เธอก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปนั่งอย่างสบาย แม้ว่าหยางหยางกับหน่วนหน่วนจะไม่เป็นอะไร แต่ในใจของเธอกลับกังวลเป็นอย่างมาก
รูปพวกนั้น! ให้ตายสิเด็ก ๆ อย่าได้เอาไปให้ถังซั่วดูเชียวนะ!
ถึงแม้ว่าดูแล้วจะไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอเหมือนกำลังติดอยู่ในเรือสองแคม!
ที่เห็นได้ชัดว่าเธอเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
การแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของอันโหรวอยู่ในสายตาของจิ่งเป่ยเฉิน เห็นได้ชัดว่าใบหน้าซีดเซียวเหลือง แต่ตัวเขากลับมองเห็นเป็นอันโหรว หัวใจรู้สึกสับสนเล็กน้อย ก่อนจะชำเลืองมองเธออีกครั้ง จ้องมองยังไงก็ยังดูน่ารักเหมือนวันวาน
เขานั่งต่อไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงอดไม่ได้แน่ที่จะกระโจนเข้าไปหาตัวเธอ
อันโหรวรู้สึกโล่งใจเมื่อเธอรู้สึกถึงร่างที่เพิ่งเดินออกไป เธอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีที่เป็นถังซั่วไม่ใช่จิ่งเป่ยเฉิน แต่ถังซั่วหากมองดูแล้วก็ย่อมดีกว่าจิ่งเป่ยเฉินมากนัก เมื่อเธอคิดแบบนี้ หัวใจของเธอก็พลอยรู้สึกโล่งใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เธอนั่งปลอบใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลาที่จิ่งเป่ยเฉินเรียกเธอให้ออกมา หัวใจของเธอก็เริ่มเด็ดเดี่ยวเหมือนตอนที่เข้ามาตอนแรก
เพียงแต่ว่าจิ่งเป่ยเฉินนั้นก็ยังคงมีวิธีที่เอาชนะตัวเธออยู่ เหมือนกับเมื่อห้าปีก่อนหน้านั้น
เขาเดินมาหาตัวเธอ ดวงตาที่ดำคล้ำเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดสองคำออกมาว่า “กินข้าว”
หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เธอเห็นแค่แผ่นหลังที่สง่างามและรูปขาที่เรียวยาว เขารีบเดินออกไปโดยที่เธอยังไม่ได้ตอบตกลงอะไรเลยสักคำ
ตลอดทางที่วิ่งตามเขาไป แม้จะมีอาการเหนื่อยหอบบ้าง แต่ก็ยังตามติดเขาอยู่ “ประธานจิ่ง นี่เวลาเลิกงานแล้ว ฉันขอเลิกงานก่อนนะคะ”
เมื่อเขาได้ยินก็เริ่มเดินช้าลง แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ก่อนจะพูดว่า “ทำงานล่วงเวลา”
“ทำงานล่วงเวลาก็สามารถเลิกงานได้นะคะ! และตอนนี้ก็หกโมงกว่าแล้ว!” ถ้าหากเป็นเวลาปกติ เวลาห้าโมงก็ถือว่าเลิกงานแล้ว
“แน่นอนว่าการทำงานล่วงเวลานับว่าเป็นสิ่งที่ฉันคิด แต่ถ้าหากคุณอยากได้สิ่งที่ตัวเองคิดละก็ นอกเสียจาก… ” จิ่งเป่ยเฉินเม้มปากไม่ยอมพูด แต่อันโหรวกลับเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าตัวของเขานั้นมีความสุขมากขนาดไหน
“นอกเสียจากอะไรคะ?” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย
“นอกเสียจาก……คุณจะเป็นคุณนายจิ่ง”
“แค่ก แค่ก แค่ก……” เธอถึงชะลอฝีเท้าลงทันที ในใจกลับปลอบตัวเองไม่หยุด เมื่อครู่เหมือนเธอฟังอะไรบางอย่างแว่ว ๆ คำพูดพวกนั้นคงไม่ได้ออกมาจากปากจิ่งเป่ยเฉินหรอกใช่ไหม
เพียงแต่ว่าตอนนี้เมื่อเห็นเขาแล้ว ใบหน้าที่เย็นชาของเขากลับเผยรอยยิ้มที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ บิ๊กบอสคนนี้เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีขึ้นมาก
เขาดูเหมือนจะมั่นใจว่าตัวเธอคืออันโหรว เขาไปได้ข้อสรุปพวกนี้มาจากที่ไหนกันแน่ สงสัยเธอต้องกลับบ้านไปตรวจสอบดูตัวเองเสียหน่อยแล้วว่ามีจุดไหนที่พลาดไปหรือเปล่า
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไปในลิฟต์ เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าลีออนยังอยู่ที่นี่ แต่พวกเขากลับไม่คิดจะรอเขาแต่อย่างใด
“ประธานจิ่ง ดูเหมือนคุณจะลืมใครหรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยเตือนเขาอย่างอ่อนโยน และลีออนเองก็น่าจะเห็นพวกเขาที่เดินออกมาโดยไม่รอเขา กลัวว่าเขาจะคิดว่าทำไมถึงไม่รอให้เขามากับพวกเขาด้วย
“แค่ไม่ได้ลืมคุณก็เพียงพอแล้ว จะเป็นห่วงคนอื่นเขาทำไมกัน” จิ่งเป่ยเฉินตอบไปอย่างไม่สนใจ
ถ้าเขาจะฉลองวันเกิดให้เธอ จะให้คนอื่นเข้ามาดูทำไม?
ลิฟต์ไม่ได้มุ่งตรงไปยังชั้นอาหาร แต่กลับเปิดออกมาสู่ด้านนอก เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบเห็นผู้คนที่อยู่ด้านนอก
เพียงแต่ว่าช่วงเวลานั้นเอง เอวของเธอก็ถูกมือใหญ่ ๆ โอบกอดเธอไว้ใกล้กับร่างกายของเขา ท่วงท่าที่มีเหมือนกับปกป้องและแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ในที
ต่อให้ฝั่งตรงข้ามจะเป็นโอวหยางลี่และเหลียวเว่ยก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะเกลียดเขามากแค่ไหน แต่เธอก็ยังคงสามารถซุกซ่อนอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้
โอวหยางลี่ยืนอยู่ข้าง ๆ ประตูลิฟต์ที่เปิดอยู่ ทั้งสองคนไม่ได้แสดงท่าทีที่สนิทสนมกันขนาดนั้น ตอนแรกที่เห็นพวกเขา เหลียวเว่ยก็รีบให้โอวหยางลี่แสดงบทบาทความเป็นเจ้าของขึ้นมาบ้าง
“ประธานจิ่ง คุณอัน บังเอิญจังเลยนะ!” เหลียวเว่ยยิ้มและเดินเข้ามา แต่สายตาของเธอกลับจับจ้องไปที่โอวหยางลี่
เขามองไปที่หญิงชราคนนี้อีกแล้ว เธอมีดีอะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าแค่มีแซ่เดียวกันก็ทำให้เขาเสียสติไปเลยหรอกนะ
เมื่อถูกดวงตาของโอวหยางลี่จับจ้องเป็นประกาย อันโหรวก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ก่อนจะมีรอยยิ้มเยาะที่มุมปากของเธอปรากฏขึ้น
“ไม่บังเอิญหรอก โรงแรมนั่วเทียนเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งของบริษัทจิ่ง” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยคำพูดที่เย็นชา เขาไม่แสดงคำพูดที่ดูอ่อนโยนเหมือนเมื่อครู่นี้ที่ใช้พูดกับเธอ
เหลียวเว่ยเมื่อได้ยินก็นิ่งเงียบ จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้แยแสพวกเขา แม้แต่ในอดีตของอันโหรวที่เคยเกริ่นกล่าวไปว่าพวกเขานั้นเป็นคู่แข่งที่ชอบเยาะเย้ยกันและกัน
แต่สำหรับผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ ที่ชื่ออันอีหาน เขาค่อนข้างที่จะพิเศษมากนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยากจะรู้ว่าเธอเป็นใคร มันชวนน่าสงสัยมาก เธอมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ที่ทำให้จิ่งเป่ยเฉินปฏิบัติกับเธอแตกต่างจากคนอื่นแบบนี้ แม้แต่โอวหยางลี่เองก็เหมือนกัน
แม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันมาหลายปี นอนอยู่ข้าง ๆ กันเพียงไม่กี่ครั้ง มันก็เหมือนกับไม้ประดับที่ถูกวางแขวนเอาไว้ ต่อให้อันโหรวกลับมา อันโหรวเองก็ไม่น่าจะต้องการเขาแน่
ภายในใจของเธอตีความหมายอะไรได้อยู่อีก เนื่องจากอันโหรวเองก็เกลียดโอวหยางลี่มาก อีกทั้งยังมีเธออยู่อีกด้วย
แต่จากมุมของโอวหยางลี่ที่เห็นภาพพวกนี้ ทั้งสองคนกำลังกอดกันแน่น อีกทั้งตัวเธอเหมือนจะเอนพิงไปยังหน้าอกของจิ่งเป่ยเฉินอีก ราวกับนกน้อยที่เคยอยู่ในใจของเขาถูกแย่งชิงไป มันทำให้เขาเกิดไฟของความโมโหราวกับถูกแย่งของรักไป เขาอยากจะก้าวไปข้างหน้าและแยกพวกเขาออกจากกันจริง ๆ
เพียงแต่ว่าความคิดของโอวหยางลี่ยังไม่ทันได้เริ่มลงมือ ประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออก พวกเขาทั้งสองคนจึงเดินออกไป ก่อนที่จะปล่อยให้จิ่งเป่ยเฉินและอันโหรวเดินสบาย ๆ อยู่ที่ด้านหลัง
“นี่คุณคิดอะไรอยู่! หรือว่าคุณชอบผู้หญิงแก่คนนั้นกัน? ไม่ใช่ว่าคุณชอบเด็กมหาวิทยาลัยที่บริสุทธิ์หรอกเหรอ? รสนิยมเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้เชียว!” เหลียวเว่ยมองเขาอย่างเย้ยหยัน แต่ในมือของเธอนั้นกำหมัดแน่น
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ! ทำตัวเองให้ดีก่อนเถอะ” โอวหยางลี่เหลือบมองเธอด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้น
“พวกเขาขโมยอะไรมา ทำท่าวิ่งซะเร็วเลย?” อันโหรวเหลือบมองไปที่ด้านหลังของโอวหยางลี่ ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“กล้าขโมยของในนั่วเทียน จับตัวพวกเขาเลยดีไหม และปล่อยให้คุณทำตามอำเภอใจดีไหม?” จิ่งเป่ยเฉินหลับตาก่อนจะมองมาที่เธอ เมื่อครู่พวกเขากอดกันอย่างสนิทสนมในลิฟต์ แต่หลังจากออกมาก็ไม่ได้แยกออกจากกัน
มันเลยเป็นความรู้สึกที่งดงามอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันขอไม่แย่งงานจากคุณตำรวจก็แล้วกันนะคะ” เธอเบ้ปากพูด ยิ่งไปกว่านั้นเธอแค่เอ่ยคำพูดล้อเล่น ใครจะรู้ว่าเขาจริงจังขนาดนั้น
“อืม เด็กดี”
“ประ….ประธานจิ่ง คุณจะปล่อยฉันได้หรือยังคะ?” เธอเกือบจะพูดคำว่า ‘จิ่งเป่ยเฉิน’ สามคำออกมา
แต่ต่อให้โพล่งเผลอหลุดคำพูด ก็คงไม่น่าแปลกสำหรับเธอเท่าไร ใครใช้ให้เขาพูดจาว่าเด็กดีแบบนั้นออกมากัน ตอนนี้เธอเป็นแม่ที่มีลูกสองคนแล้วนะ
“มีคนอยู่เยอะกำลังมองดูอยู่ ไว้หน้าผมหน่อยละกัน” จิ่งเป่ยเฉินเผยน้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ นี่เขาเป็นอะไรไปเนี่ย?
อันโหรวเริ่มรู้สึกหวาดกลัวแปลก ๆ แต่ก็หลุดไม่พ้นกับความจริงที่เขาโอบมาแบบนี้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลยให้เขาพาไปยังห้องส่วนตัว
ทันทีที่เธอเดินเข้าไป เธอก็แทบอยากจะก้าวถอยหลังกลับทันที แต่ประตูด้านหลังกลับปิดลงซะแล้ว เธอจึงไม่สามารถออกไปได้ ดังนั้นฝีเท้าของเธอจึงหยุดอยู่กับที่
“อาหารค่ำใต้แสงเทียน พร้อมกุหลาบแดง เค้กวันเกิด และกล่องของขวัญ ประธานจิ่งคุณไม่คิดจะให้คำอธิบายกับฉันหน่อยเหรอคะ?” เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองไปยังจิ่งเป่ยเฉิน เธอมองไปยังดอกกุหลาบสีแดงที่งดงามซึ่งวางอยู่ตรงกลางโต๊ะอาหาร
ก่อนหน้านั้นโอวหยางลี่ส่งดอกกุหลาบสีแดงให้เธอจำนวนไม่ใช่น้อย แต่กุหลาบแดงพวกนั้นเมื่อเทียบกับช่อดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว มันดูต่างกันมาก คนคนนี้แม้แต่ช่อกุหลาบแดงก็ยังต้องการเหนือกว่าคนอื่น ฆ่าคนอื่นในพริบตา นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?
“สวัสดิการวันเกิดของพนักงานบริษัทจิ่ง” จิ่งเป่ยเฉินมองเห็นเธอไม่ยอมเดินไป จึงดึงมือของเธอเพื่อพาไปดูใกล้ ๆ แต่ฝ่าเท้าของเธอเหมือนกับถูกตะปูตอกเอาไว้ ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ เขาเองก็ไม่อยากจะใช้แรงดึงมากเพราะกลัวเธอจะเจ็บ