ตอนที่ 163 เขาอยากอุ้มเธอ
“อะ…….” เธอถูกอุ้มขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะใช้มือโอบคอของเขาไว้ทันที ถ้าหากเธอรู้แต่แรกว่าเขาจะอุ้มเธอแบบนี้ เธอคงยอมเดินเข้าไปแต่โดยดีและดูแบบมีมารยาทเสียมากกว่า
ซึ่งเธอเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เธอรู้สึกว่าหูของตัวเองแดงขึ้นจริง ๆ แต่ว่า….
ทันทีที่จิ่งเป่ยเฉินปล่อยเธอลง เธอก็ยืนตัวตรง ก่อนจะนั่งลงพลางมองไปที่เขาและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ประธานจิ่ง คุณเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม คุณเคยทำแบบนี้ให้พนักงานบริษัทจิ่งสักกี่คนกัน?”
“ไม่ใช่พนักงานทุกคนที่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้” จิ่งเป่ยเฉินนั่งลงตรงข้ามกับเธอ ก่อนจะมองเธอผ่านแสงไฟอันอบอุ่น “มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้น”
“จริงเหรอ…..รู้สึกปลื้มใจจริง ๆ ค่ะ” เธอหันไปมองดอกกุหลาบที่อยู่บนโต๊ะโดยไม่ได้มองไปที่ดวงตาของเขา
เธอไม่ต้องการอะไรแบบนี้จริง ๆ!
“คุณชอบมันก็ดีแล้ว” จิ่งเป่ยเฉินขยิบตาให้บริกรที่อยู่ข้าง ๆ เขา และบริกรที่อยู่รออยู่ด้านนอกประตูก็ได้เริ่มเสิร์ฟอาหารทีละจาน
เธอบอกตอนไหนกันว่าชอบ? บิ๊กบอสของเธอไปฟังหรือนึกมโนภาพเอาเองกันแน่?
เมื่อเห็นอาหารที่สวยงามอยู่ตรงหน้า และก็ฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ด้านหน้าเธอก็บีบบังคับแบบนั้น เธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“ประธานจิ่ง อันที่จริงแล้ววันเกิดของฉันไม่ค่อยชอบของที่มันเสียเปล่าแบบนี้ แต่ความอบอุ่นเล็กน้อย ๆ แบบนี้ ฉันคิดว่าฉันคงต้องกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว ประธานจิ่งเป็นคนฉลาด คุณไม่คิดอยากให้ฉันกลับบ้านเหรอคะ? หน่วนหน่วนที่น่ารักขนาดนั้น คุณจะไม่ให้ฉันกลับไปหาลูกเหรอคะ” เธอพูดอะไรไปก็ล้วนไม่เป็นประโยชน์ จึงเอ่ยถึงหน่วนหน่วนออกมา
“คุณพูดแบบนี้มา….ก็ดูสมเหตุสมผลดีนะ” จิ่งเป่ยเฉินหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา ดวงตาสีดำสนิทที่มองไม่เห็นก้นบึ้งสบตากับเธอและพูดว่า “คุณว่าผมควรส่งคนไปรับพวกเขามาที่นี่เลยดีไหม หรือว่าพวกเราสองคนจะกลับไปด้วยกันดี?”
“ไม่เป็นไรค่ะ มันไม่ได้จำเป็นจริง ๆ อันที่จริงฉันคิดว่าการฉลองวันเกิดแบบนี้เป็นครั้งคราวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โอเคเหมือนกัน” เธอก้มหน้าก้มตา ก่อนจะรีบหยิบมีดกับส้อมที่อยู่ตรงหน้ามาจัดการกับอาหารทันที
“ไม่จำเป็นจริง ๆ เหรอ?” เมื่อเห็นเธอก้มหน้าก้มตากินขนาดนั้น เขาจึงวางโทรศัพท์ลง
“ประธานจิ่ง รีบกินเข้าเถอะค่ะ! กินเสร็จฉันจะได้รีบกลับบ้าน” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจของเธอนั้นคิดอยากจะเอามีดและส้อมแทงเข้าไปที่ตัวของเขาจริง ๆ
แต่ทำไมเธอกลับเห็นคนตรงข้ามเธอทำท่าแบบนี้ เขาควรที่จะกินเร็ว ๆ สิ ไม่ใช่กินช้าแบบนั้น เธอรู้สึกว่าดอกกุหลาบบนโต๊ะนั้นเหี่ยวเฉาเร็วกว่าการกินของเขาเสียอีก
ยิ่งเห็นท่าทางอันสง่างามที่เขากินแล้ว เธอเองก็รู้สึกโกรธจนทนไม่ไหว
“ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ ประธานจิ่งกินช้า ๆ ได้เลย” เธอลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอและเดินออกไปข้างนอกทันที
ถึงแม้ว่าท่าทางการกินของเขาน่าจะรื่นรมย์มากแค่ไหน แต่ในใจของเธอกลับคิดถึงหยางหยางและหน่วนหน่วนจนไม่มีอารมณ์ที่จะมาชื่นชมการกินอาหารของเขาจริง ๆ ถึงได้ออกไปที่ห้องน้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ แม้ห้องน้ำจะไม่ได้มีบรรยากาศเหมาะสมเท่าไรก็ตาม
ทันทีที่เธอเดินออกไป จิ่งเป่ยเฉินก็วางมีดและส้อมในมือลง เพื่อรอให้เธอกลับมาค่อยกินต่อ
ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังมาจากฝั่งตรงข้าม เขามองไปที่ประตู ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางฝั่งตรงข้าม
เธอวางโทรศัพท์เอาไว้ก่อนที่จะออกไป เขามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ขึ้นชื่อว่า ‘หยางหยาง’ สองคำที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น
หยางหยางโทรมา เขาจะรับดีไหม?
ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าพวกเขาควรจะพูดตัวต่อตัวเป็นครั้งแรกที่พบหน้า แต่สถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนว่ายังคงไม่เหมาะสม
นิ้วเรียวยาวของเขาปัดหน้าจอเพื่อรับสาย โทรศัพท์ที่เย็น ๆ สัมผัสแนบชิดกับหูของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ลังเลที่จะพูดคุยเจรจา แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าจะเอ่ยประโยคแรกยังไงดี เขาควรพูดอะไรที่จะทำให้เกิดความประทับใจครั้งแรก
“แม่จ๋า แม่จะกลับมาตอนไหน? หรือว่าถูกคุณลุงนิสัยไม่ดีคนนั้นรังแกอีกแล้ว?” น้ำเสียงของหยางหยางที่ยังดูอ่อนเยาว์ แต่กลับเผยให้เห็นถึงความกล้าที่เทียบเท่ากับเด็กหนุ่ม
เขาคือคุณลุงนิสัยไม่ดีเหรอ? เขารังแกเธอ?
ดีจริง อันโหรวเธอสอนลูกได้ดีมาก ๆ รอให้เธอเล่นเกมให้สนุกจนเบื่อก่อนเถอะ บัญชีนี้พวกเราจะเคลียร์กันให้ชัดเจนไปเลย
“แม่จ๋าของเราคืนนี้ไม่กลับหรอก ทำงานล่วงเวลา” เขายิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังต่อสู้ พวกเขาทั้งสองคนล้วนแล้วไม่อาจเอาชนะได้
“คุณลุงนิสัยไม่ดี วันนี้เป็นวันเกิดของแม่ ทำไมถึงยังปล่อยให้แม่ทำงานล่วงเวลาอีก? พวกเรากำลังรอแม่กลับมาอยู่นะ!” หยางหยางโกรธมาก แม่ของพวกเขายังไม่กลับบ้านในวันเกิดแบบนี้ได้ยังไงกัน?
มือขวาของจิ่งเป่ยเฉินที่ถือโทรศัพท์กำแน่นมากขึ้น ฟังออกว่าเขาเป็นห่วงมากแค่ไหน ทำท่าราวกับจะร้องไห้แบบนี้ เขาได้ยินก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย บางทีเขาควรปล่อยให้เธอกลับบ้าน
ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “เดี๋ยวคุณลุงจะพาแม่จ๋ากลับบ้านเอง เมื่อกี้แค่ล้อเล่นเท่านั้นนะ”
“จริงเหรอ?” หยางหยางไม่อยากจะเชื่อ
“แน่นอนสิ” เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกชาย การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เพียงแต่ต้องกำจัดภาพคุณลุงไม่ดีนั่นออกไปก่อน
อันโหรวดูเหมือนพวกเราคงมีอะไรต้องเคลียร์กันอีกเยอะเลย!
“ถ้าอย่างนั้นคุณลุงลาก่อน” หยางหยางรีบวางสายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะอธิบายสถานการณ์ให้หน่วนหน่วนและถังซั่วรับทราบ
ส่วนทางด้านจิ่งเป่ยเฉินที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้น เขากำลังรู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมาและวางโทรศัพท์ลงที่เดิม ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมของตน
เมื่อมองไปยังเค้กผลไม้สามชั้นที่ดูละเอียดอ่อนและสวยงามอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนคืนนี้เธอคงไม่ต้องการมันแล้ว
แต่ดอกกุหลาบอีกช่อหนึ่งก็ดูเหมือนน่าจะเป็นของขวัญชิ้นเล็กน้อยที่เขาได้ตระเตรียมไว้ให้กับตัวเธอ
อันโหรวที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ในห้องน้ำ เธอกำลังเปิดก๊อกน้ำล้างมือ เมื่อมองไปยังกระจกก็เห็นใบหน้าปลอม ๆ ของตัวเอง ในหัวก็พลันนึกถึงจิ่งเป่ยเฉินขึ้นมา
นอกจากตอนที่เขาเมาเมื่อคืนนั้น เขาก็ไม่เคยแสดงสิ่งที่ตัวเองเป็นจริง ๆ ออกมาเลย นี่เขาจะมั่นใจได้ยังไง?
หรือว่าจะเป็นพวก TE? หรือว่าจะเป็นคำพูดไร้สาระของเห่อฮวาฮุย หรือเพราะเธอไม่ได้ใส่คอนแทกเลนส์ ดวงตาเลยสามารถแยกแยะคนคนหนึ่งออกมาได้อย่างนั้นเหรอ?
เธอคิดมากจนเกินไป กระทั่งเหลียวเว่ยเดินเข้ามาในห้องน้ำตอนไหน เธอก็ยังไม่ทราบ จนได้ยินเสียงของเธอที่เอ่ยขึ้นถึงได้รู้สึกตัว “คุณอัน”
“คุณนายโอวหยาง” เธอปิดก๊อกน้ำและยิ้มแปลก ๆ ให้
เหลียวเว่ยมองไปที่เธอที่ดึงกระดาษทิชชูออกมา สายตาก็เหลือบจับจ้องไปที่มือของเธอ สีผิวตรงมือนั้นแตกต่างกับหน้าของเธอมากนัก
“มือของคุณอันนี่คงดูแลเป็นอย่างดีเลยสินะ? ทำไมถึงไม่ดูแลใบหน้าให้ดีด้วยคะ? สิ่งที่ทุกคนเห็นเป็นครั้งแรกคือใบหน้านะไม่ใช่มือ” เหลียวเว่ยมองไปที่เธอที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ความสงสัยในใจของเธอกลับขยายใหญ่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงคิดว่ามันมีอะไรผิดปกติ เธอรู้สึกได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่อันอีหาน แต่เป็นอันโหรว
แต่หลายปีผ่านไปก็ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เหรอ? ก่อนหน้านั้นแม้จะเคยถูกเรียกว่าดอกไม้บริสุทธิ์ประจำโรงเรียน ผิวขาวที่เหมือนกับไขมันแพะ ใบหน้าที่ยิ้มราวกับดอกไม้ ยิ้มแย้มแจ่มใสเสียจนผู้ชายกี่คนต่อกี่คนต่างก็ตกหลุมรัก
ในตอนนั้นโอวหยางลี่หลงใหลเธออย่างมาก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงจำไม่เคยลืม
แม้เขาจะมีผู้หญิงกี่คนต่อกี่คนที่อยู่ข้างนอก แต่ภายในใจของเขานั้นก็มีผู้หญิงคนเดียวที่เขาโปรดปราน นั่นก็คืออันโหรว
ซึ่งเรื่องนี้เธอเองก็เห็นได้ชัดเจน
อันโหรวเมื่อเห็นเธอจ้องมองมาแบบนี้ก็ยิ้มใส่และหันหลังเดินออกไป
ทันใดนั้นข้อมือของเธอก็ถูกจับไว้ ก่อนที่จะเหลือบมองไปที่เหลียวเว่ยด้วยท่าทางเย็นชา “คุณนายโอวหยาง นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”
เหลียวเว่ยมองเข้าไปที่ดวงตาของเธอ ดวงตาที่เย้ายวนและดูงดงาม เหมือนกับเธอคนนั้นจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกไปว่า “อันโหรว!”
………………
ตอนที่ 164 อายุมากขึ้น
“อา คุณนายโอวหยางก็ยังเด็กอยู่เลยนะคะ ทำไมดูแก่ขึ้นไวขนาดนี้ ดวงตาทั้งสองเริ่มพร่ามัว หากคุณไม่มีเงินละก็ ฉันออกค่าแว่นสายตาให้ก็ได้นะ เงินแค่นี้ฉันให้ได้” เธอขยับตัวเองออก
ข้อมือที่ถูกจับไว้แน่น ทำให้เริ่มมีรอยแดงขึ้นมาเล็กน้อย เธอได้รับการดูแลทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก ผิวสีขาวที่เรียบเนียนเป็นธรรมชาติของเธอ หากใช้แรงบีบก็จะเกิดรอยแดงได้ไม่ยาก
“อันโหรว เธอคืออันโหรว!” เหลียวเว่ยมองที่ข้อมือของเธอเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิด
หากเธอไม่ใช่อันโหรว ทำไมจิ่งเป่ยเฉินถึงปกป้องเธอขนาดนี้ ตอนงานแต่งของพวกเขา จิ่งเป่ยเฉินก็อุ้มเธอออกไป ทุกคนที่มาร่วมงานแต่งต่างก็เห็นเธอ
“ฉันไม่รู้ว่าอันโหรวที่คุณพูดนั้นหมายถึงใคร ฉันคิดว่าคุณคงสายตาพร่ามัวแล้ว ดูเหมือนว่าจะต้องไปพบจิตแพทย์ด้วยนะคะ” เธอก้าวขาเดินออกไปด้านนอกโดยไม่สนใจเหลียวเว่ย
แต่เหลียวเว่ยกลับเดินตามเธอออกไปอย่างไม่พอใจ “บอกมา เธอเป็นใครกันแน่?”
“เอาแบบนี้แล้วกัน ไม่ว่าฉันจะเป็นใคร ฉันจะไม่แย่งโอวหยางลี่ของคุณ คางคกสามขาหาได้ยากในโลกใบนี้ มีผู้ชายสองขามากมายเยอะแยะ และยิ่งไปกว่านั้นฉันไม่ใช่สเปกของประธานโอวหยางลี่ คุณว่างั้นไหมคะ?” แม้เธอจะยิ้มและหัวเราะ แต่ก็เป็นคำเยาะเย้ยที่นิ่งเฉย
“เธอก็รู้อยู่แก่ใจดี!” เหลียวเว่ยได้ยินแบบนั้นก็คิดว่าเธอรู้สถานะของตัวเอง จึงอดไม่ได้ที่จะเชยคางขึ้นอย่างพอใจ
“คุณนายโอวหยางกับฉันต่างกันตรงไหน? เขาไม่ได้สนใจฉัน แล้วเขาสนใจคุณหรือเปล่า?” เธอใช้น้ำเสียงเรียบเฉยและยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี
ช่วงวันเกิดยังมีคนส่งของขวัญที่น่าทุกข์ใจมาให้ถึงที่ ไม่ตำหนิเธอหรอก และที่มากไปกว่านั้นเหลียวเว่ยดูมีความสุขกับการเป็นมือที่สาม เธอจึงไม่ยอมให้พวกเขามีความสุข ถือว่าโอวหยางลี่เป็นผู้ชายเฮงซวยที่เธอไม่ต้องการก็แล้วกัน
“นี่เธอ……” เหลียวเว่ยชี้ไปที่ด้านหลังเธอ พลางตะโกนร้องด้วยความโมโห “อันอีหาน เธอพูดว่าอะไรนะ! ฉันมีหน้าตาที่ดีกว่า รูปร่างที่ดีกว่า และมีฐานะครอบครัวที่ดีกว่า ใครจะไปเหมือนเธอ! หญิงแก่หน้าตาซีดเซียวที่ดูน่าเกลียดจะมาเทียบอะไรกับฉันได้!”
“ผู้หญิงของฉันทำไมต้องไปเทียบกับคุณด้วย รองเท้าของเธอยังดูสะอาดเสียกว่าตัวคุณอีก” จิ่งเป่ยเฉินเดินเข้ามาหา เมื่อได้ยินคำพูดของเหลียวเว่ย สีหน้าของเขาก็มืดมนทันที ก่อนจะเผยกลิ่นอายที่ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ มันดูเย็นชาราวกับลมฤดูหนาวที่พัดผ่าน
อันโหรวมองจิ่งเป่ยเฉินที่กำลังเดินเข้ามาหา สิ่งที่เขาพูดเหมือนว่าเป็นฉากซ้ำ เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา รู้สึกอยากจะเข้าไปกอดเขาไว้
และเธอเองก็ยังไม่เอ่ยความจริงออกไป จิ่งเป่ยเฉินเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างตัวเธอ ก่อนจะโอบไปที่เอวของเธอ ทว่าการเคลื่อนไหวของมือนั้นกลับดูนุ่มนวลและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
เพียงแต่ว่าเสื้อเชิ้ตของเธอนั้นบางอยู่แล้ว จึงสามารถสัมผัสได้ถึงมืออุ่น ๆ ที่จับเข้าไปที่เอวอย่างช้า ๆ
“คำพูดของประธานจิ่งดูเหมือนออกจะเกินไปหน่อยนะคะ” เหลียวเว่ยบังคับให้ตัวเองประคองสติไว้ แต่สายตาของเธอนั้นกลับยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลก
“หึ” จิ่งเป่ยเฉินแค่นเสียงที่เย็นชาออกมา แววตาที่มองเธอนั้นดูเฉยเมยมากขึ้นเรื่อย ๆ “เหมือนคำพูดจะผิดไปจริง ๆ คุณไม่สมควรเป็นรองเท้าของเธอด้วยซ้ำไป”
อันโหรวอยากจะเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยถามบิ๊กบอสของเธอรู้ใช่ไหมว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร?
เขามีสภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? ก็ไม่น่าจะรู้สิว่าเป็นใคร เล่นพูดกับผู้หญิงตามสบายแบบนี้ดูเหมือนปฏิบัติกับเขาอย่างไร้ค่าเลย
เพียงแต่ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าของเธอเริ่มมีความกังวลมากขึ้น ไม่กล้าที่จะแสดงออกมากไปกว่านี้ มันก็เลยทำให้เธอรู้สึกดีใจ
ความจริงแม้ว่าจิ่งเป่ยเฉินจะไม่ออกมา เธอก็ยังมั่นใจว่าถ้าเป็นเรื่องคำพูดเธอไม่แพ้แน่ ๆ
เนื่องจากเหลียวเว่ยพูดค่อนข้างเสียงดัง จึงทำให้ผู้คนจำนวนมากที่อยู่รอบ ๆ เริ่มมองมายังพวกเขา และตอนนี้เป็นเพราะว่าจิ่งเป่ยเฉินเข้ามา เลยกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันที
“ประธานจิ่ง คุณต้องลืมตามองดูความจริงเสียบ้างนะ ฉันได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนี้มีลูกสองคนแล้ว ประธานจิ่งคงไม่ได้ชื่นชอบผู้หญิงแบบนี้หรอกใช่ไหม มีผู้หญิงมากมายในเมืองที่ดูเหมาะสมกับประธานจิ่ง ถ้าหากประธานจิ่งอยากลิ้มลองจะหาผู้หญิงที่สวย ๆ กว่านี้หน่อยก็ยังได้ แต่เธอคนนี้ใบหน้าซีดเหลือง ทั้งยังมีลูกอีกสองคน ดูท่าคงไม่เหมาะกับคุณหรอก” เหลียวเว่ยเงยหน้าขึ้นมองไปที่เขา ถึงแม้ว่าจะมีเหงื่อเย็น ๆ ไหลออกมาที่ฝ่ามือก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่าตัวเธอรู้สึกประหม่าและกังวลมาก เพราะฝ่ายตรงข้ามคือจิ่งเป่ยเฉิน
“อย่างน้อยนั่นก็เป็นเพราะว่าฉันให้กำเนิดได้ โอวหยางลี่กับคุณนายแต่งงานกันมาตั้งห้าปี มีลูกชายสักคนบ้างหรือยัง ลูกสาวล่ะ?” อันโหรวมองเธอด้วยสายตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะทำท่าเบิกตากว้างประหลาดใจและพูดว่า “อุ๊ย ลืมไป ประธานโอวหยางดูเหมือนจะไม่ได้สนใจคุณแล้วนี่ ไม่นานมานี้รู้สึกจะมีคนถูกคุณนายทุบตีจนซี่โครงหักด้วย คุณชายโอวหยางจะรู้ไหมนะว่าคุณนายโอวหยางโหดร้ายขนาดนี้?”
ทันทีที่เธอได้ยินเสียงฝีเท้าที่รีบเดินมาจากด้านหลัง พวกเขาทั้งสองคนเดินมาด้วยกันเมื่อตอนนั้น ตอนนี้เหลียวเว่ยก็กำลังยืนอยู่ตรงนี้ ดังนั้นก็คงเป็นเสียงฝีเท้าของโอวหยางลี่แน่ ๆ
“เธอพูดอะไรไร้สาระ!” เหลียวเว่ยเริ่มรู้สึกโมโหและเป็นกังวล ความจริงแล้วการที่เธอไม่มีลูกมันเป็นอะไรที่จี้ปมเธอมาก ๆ
แม่ของโอวหยางลี่เองก็เคยพูดกับเธออยู่หลายครั้งหลายหน เธอเองก็อยากจะตั้งท้องเหมือนกัน แต่พวกเขาแทบไม่ได้หลับนอนด้วยกัน แล้วจะตั้งท้องได้ยังไง?
“เหลียวเว่ยที่เธอพูดเป็นความจริงเหรอ?” โอวหยางลี่เดินหลีกทางจากฝูงชนเข้ามา พลางมองเธอด้วยท่าทีจริงจัง
เหลียวเว่ยไม่ได้หวาดกลัวเขา จึงเงยหน้าขึ้นไปมองเขาตรง ๆ และพูดขึ้นว่า “อะไร คุณรู้สึกเจ็บใจยังงั้นเหรอ? ฉันถูกคนอื่นมาว่าแบบนี้ ทั้งยังถูกขัดขาอะไรแบบนี้อีก คุณคงลืมไปแล้วสินะว่าฉันยังเป็นภรรยาของคุณอยู่!”
“กลับไปค่อยคุย” โอวหยางลี่คว้าเอวของเธอ ก่อนจะเดินลดศีรษะลงและเข้ามาใกล้ตัวเธอ “จิ่งเป่ยเฉินปกป้องเธอขนาดนั้น คุณก็ยังหูหนวกตาบอดอยู่อีกนะ!”
เหลียวเว่ยยังคงพูดต่อไม่มีหยุด แต่เมื่อได้ยินคำพูดของโอวหยางลี่ เธอก็ต้องยอมเดินตามเขาไปอย่างเงียบ ๆ
โอวหยางลี่หันกลับไปมองทั้งสองคนที่กำลังยืนกอดกันอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไป
เรื่องของเขานั้นมันไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่มันอาจจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัทโอวหยาง เหลียวเว่ยนี่เป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักคิดเอาเสียเลย
เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาไม่เข้าใจที่สุดก็คือ จิ่งเป่ยเฉินชอบผู้หญิงคนนั้นมากเลยเหรอ ดวงตาของเธอนั้นเหมือนโหรวโหรว ไม่ใช่ว่าเขาหิวหาที่ลงไม่ได้ จนต้องมองดวงตาแล้วเปรียบเทียบเอาแบบนั้นหรอกใช่ไหม?
“ไปกันเถอะ เอากระเป๋าแล้วก็กลับบ้าน หยางหยางกับหน่วนหน่วนกำลังรอคุณอยู่” จิ่งเป่ยเฉินมองดูพวกเขาก่อนจะก้มลงมากระซิบข้าง ๆ หูเธอ
เธอหันกลับมาในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินไป “ประธานจิ่ง…..นี่คุณพูด พูดอะไร?”
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นหยางหยางหรือหน่วนหน่วนที่โทรเข้ามา แต่พวกเขาก็ไม่น่าจะพูดอะไรไร้สาระนี่ หรือว่าเพราะเมื่อครู่เธอไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย ความผิดพลาดหลังจากนี้เธอคงไม่หวังว่าจะทำผิดอีกครั้งแล้ว
“ดูคุณประหม่าเกินไปหน่อยนะ?” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่จิตใจของเขากลับไม่สงบนิ่งตาม หยางหยางเอ่ยคำพูดว่า ‘คุณลุงนิสัยไม่ดี’ ซึ่งเขาเองก็จำมันไว้อย่างขึ้นใจ
บัญชีนี้ดูเหมือนว่าเขาคงต้องหาโอกาสเหมาะ ๆ เคลียร์กับเธออย่างชัดเจนสักหน่อยแล้ว
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่ตื่นเต้นไปหน่อย เมื่อครู่นี้ประธานจิ่งหล่อมากเลยค่ะ เท่มากด้วย ขอบคุณประธานจิ่งที่ช่วยพูดแทนฉันนะคะ” เธอเร่งฝีเท้าเพื่อเดินหนีจากตรงนั้น ก่อนจะหันหน้าไปมองเขาและพูดว่า “ประธานจิ่ง งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ คืนนี้เกิดเรื่องวุ่นวาย ขอบคุณคุณจริง ๆ ค่ะ”
ทันใดนั้นเองที่ด้านข้างของเขาก็ดูว่างเปล่า เขายังคงยิ้มอย่างจาง ๆ ก่อนจะเดินตามเธอไปอย่างช้า ๆ และพูดว่า “ถ้าคิดจะเอ่ยคำขอบคุณ สองคำอะไรพวกนั้นผมไม่ต้องการหรอก”
“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ!” เธอเปลี่ยนคำพูดให้ดูมากขึ้น
ใบหน้าของจิ่งเป่ยเฉินนิ่งไปเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้……..