บทที่ 96 ตามหาจิ่งชุน

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 96

ตามหาจิ่งชุน

เจียงหวายเย่ก็ได้ป้อนยาถอนพิษให้หลินซีเหยียนด้วยปากของเขา ทำอยู่หลายหนจนยาในชามทั้งหมดก็ได้เข้าปากของหลินซีเหยียนไป ทำเอาเจียงหวายเย่หายใจหอบเล็กน้อย

หลังจากที่หลินซีเหยียนที่กินยาถอนพิษจนหมดแล้ว นางก็ได้ลืมตาขึ้นมาอย่างเงียบๆ นางลืมตาขึ้นมาและมองดูสภาพห้องที่ยุ่งเหยิงแล้ว นางไม่รู้ว่าจะดีใจที่นางกลับมามองเห็นได้แล้วดีหรือไม่

เทียนเอ๋อที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้อง ก็ได้รีบเข้าไป “ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ท่านแม่รู้ไหมว่าเมื่อคืนนี้อันตรายมากแค่ไหนน่ะ?”

“เทียนเอ๋อ เจียงหวายเย่ได้มาที่นี่หรือเปล่า?” หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของเจียงหวายเย่ในตอนที่นางหมดสติอยู่

เทียนเอ๋อนั้นอยากที่จะผงกหัว แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่า เจียงหวายเย่ได้สั่งเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะออกไปเมื่อคืนว่า อย่าบอกให้หลินซีเหยียนรู้ว่าเขามาที่นี่เด็ดขาด เทียนเอ๋อจึงได้ส่ายหัวแล้วกล่าว “ท่านอาจารย์ไม่ได้มาหรอกขอรับ”

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วจากนั้นก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ในเวลานี้จี๋เฟิงก็ได้กลับมาแล้ว เขาได้ทำการตรวจดูว่ายังมีคนร้ายเหลือรอดอยู่ในตำหนักอีกหรือไม่ และตรวจดูว่า หลินซีเหยียนนั้นเป็นอันตรายหรือไม่ ซึ่งหลังจากที่เขายืนยันความปลอดภัยเรียบร้อยเขาก็ได้ไปดูแลชิงอวี่ต่อ

“แล้วหลินหัวเยว่ตายหรือไม่?” หลินซีเหยียนนั้นได้ยินว่าเหล่าคนที่มาบุกในตำหนักเมื่อคืนนี้ถูกสังหารหมดแล้ว นางก็ได้รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา

เทียนเอ๋อก็ได้ส่ายหัวของเขา “ผู้หญิงไม่ดีคนนั้นได้สลบไปแล้วถูกโยนเข้าไปในโรงเก็บฟืนแล้วขอรับ”

หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมา ถึงแม้ว่านางนั้นอยากที่จะฆ่าหลินหัวเยว่มากแต่นางก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะชีวิตของหลินหัวเยว่นั้นเกี่ยวพันถึงชีวิตของจิ่งชุนและคนอื่นๆด้วย

ในคืนนั้น หลินซีเหยียนก็ได้ทำการตรวจชีพจรของนาง แล้วจากนั้นนางก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเมื่อพบว่าพิษในร่างกายของนางนั้นได้หายไปแล้ว ซึ่งทำให้นางรู้สึกสงสัยขึ้นมา

“เทียนเอ๋อ มีใครมาที่ตำหนักเชียนเหยียนหรือไม่?” หลินซีเหยียนจ้องไปที่เทียนเอ๋อและถามอีกครั้ง

ในขณะที่เทียนเอ่อกำลังจะส่ายหัวนั้นเอง หลินซีเหยียนก็ได้เผยรอยยิ้มยิงฟันออกมาแล้วกล่าว “เทียนเอ๋อ ถ้าเจ้ากล้าโกหกแม่ แม่จะยึดโรงเตี๊ยมซื่อฟางของเจ้าไป”

เทียนเอ๋อนั้นชอบเงินอย่างมาก เงินนั้นคือจุดอ่อนของเขา เทียนเอ๋อจึงได้ยอมแพ้และบอกนางว่าเจียงหวายเย่มาเมื่อคืนนี้โดยที่ไม่รู้สึกผิด

เมื่อหลินซีเหยียนได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนางก็ได้ครุ่นคิดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่านางนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วสุดท้ายนางก็ได้เปลี่ยนชุดและเตรียมที่จะเดินทางไปยังพระราชวังรัตติกาล

ณ พระราชวังรัตติกาล ข่าวเรื่องที่หลินซีเหยียนได้ปฏิเสธการแต่งงานนั้นได้รู้กันไปทั่วแล้ว และแม่นางเหลียนเอ๋อก็รู้สึกยินดีอย่างมากกับข่าวนี้

“หลินซีเหยียนเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ ถึงได้กล้าปฏิเสธท่านพี่เย่ของข้า ข้าคิดว่ามันควรจะเป็นท่านพี่เย่มากกว่าที่ไม่ต้องการเจ้า” เหลียนเอ๋อพูดดูถูกหลินซีเหยียน และคิดว่านางนั้นกล้าปฏิเสธการแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของนางได้อย่างไร

แล้วจากนั้นแววตาของนางก็สว่างวาบขึ้นมา แล้วนางก็ได้คิดหาวิธีที่จะไปขึ้นเตียงของลูกพี่ลูกน้องของนาง เพื่อที่นางจะได้สามารถอยู่ที่พระราชวังนี้ได้โดยสมบูรณ์และกลายมาเป็น องค์หญิงรัตติกาล

หลังจากที่คิดได้เช่นนั้นเหลียนเอ๋อก็ได้รีบลงมือทันที โดยก่อนอื่นนางได้ให้คนไปต้มซุปไก่เสียก่อนแล้วจากนั้นก็ได้ใส่ยาลงไป แล้วจากนั้นก็ได้นำไปเสิร์ฟให้เจียงหวายเย่ด้วยตัวเอง

เจียงหวายเย่ที่ยังไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังมาเยือนนั้น กำลังนั่งลงอยู่ที่โต๊ะทำงานและมองดูสิ่งของต่างๆในหอพันกลและข้อมูลที่เข้ารวบรวมมาได้จากกลุ่มต่างๆ ซึ่งในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นประตูก็ได้มีคนเคาะขึ้นมา

เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่เข้ม “เข้ามาได้”

เหลียนเอ๋อก็ได้เปิดประตูเข้า เมื่อเจียงหวายเย่พบว่าคนที่เข้ามานั้นคือเหลียนเอ๋อ ก็ได้กล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

ตำหนักของเจียงหวายเย่นั้นมีการคุ้มกันอยู่ และคนที่เขาไม่อนุญาตจะไม่สามารถเข้ามาได้ เขาจึงได้มองไปที่ เหลียนเอ๋อด้วยสายตาที่แหลมคม ราวกับกำลังสอบปากคำนางอย่างไม่ไยดี

เหลียนเอ๋อก็ได้หน้าซีดขึ้นมาเมื่อเข้าจ้องมาที่นาง แล้วนางก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ข้าบอกกับพวกยามไปว่าข้าแค่นำซุปไก่ให้ท่านพี่เย่เท่านั้นแล้วข้าก็จะไปทันที พวกเขาจึงให้ข้าเข้ามาได้เจ้าค่ะ”

เจียงหวายเย่ก็รู้สึกไม่เชื่อนางในใจ เขารู้ดีว่าคนคุ้มกันของเขานั้นเป็นเช่นไร ดังนั้นเหลียนเอ๋อนั้นจะต้องใช้วิธีการบางอย่างเป็นแน่ “เจ้าไปเสียเถอะ เห็นแก่หน้าพ่อของเจ้าข้าจะไม่เอาโทษเจ้าในคราวนี้”

แล้วที่มุมของดวงตาของเหลียนเอ๋อก็ได้แดงขึ้นมา แล้วนางก็ได้วางซุปไก่ที่นำมาวางลงตรงหน้าของเจียงหวายเย่ แล้วจากนั้นนางก็ได้ลงไปคุกเข่ากับพื้น

“เหลียนเอ๋อรู้ดีว่าองค์ชายนั้นช่วยเหลือข้าเพราะเห็นแก่หน้าของท่านพ่อของข้า เหลียนเอ๋อจึงได้อยากที่จะขอบคุณท่านก่อนที่เหลียนเอ๋อจะต้องออกจากเรือนไปในอีกไม่กี่วันนี้ ข้าหวังว่าท่านพี่เย่จะดูแลตัวเองด้วย”

คำพูดของนางนั้นกล่าวออกมาจริงใจมาก ซึ่งทำให้ เจียงหวายเย่นั้นมองไปที่นางอย่างใจอ่อนขึ้นมาบ้าง

“เปิ่นหวางนั้นจะคอยช่วยเหลือเจ้าอยู่เสมอ ดังนั้นเจ้าจะไม่ลำบากหลังจากที่ออกเรือนไปแล้ว” เจียงหวายเย่กล่าวรับรองอย่างจริงจัง

เหลียนเอ๋อก็ได้ยิ้มอย่างรู้ดี แล้วเดินไปที่โต๊ะของ เจียงหวายเย่แล้วรินซุปไก่ลงใส่ชามแล้วมอบให้กับเจียงหวายเย่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซุปไก่ร้อนๆเจ้าค่ะ”

เจียงหวายเย่ก็ได้รับชามซุปไก่มาแล้วดื่มภายใต้การมองดูของเหลียนเอ๋ออย่างกระตือรือร้น

เมื่อเหลียนเอ๋อพบว่าเจียงหวายเย่ดื่มลงไปแล้วนั้น ก็ปรากฏแววตาที่ตื่นเต้นขึ้นมาในดวงตาของนาง “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เหลียนเอ๋อก็ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

เหลียนเอ๋อเดินออกมาข้างนอกอย่างช้าๆและคอยนับเวลาอยู่ในใจ เมื่อนางนับได้ถึง 7 ก็พบว่ามีเสียงมาจากข้างใน เหลียนเอ๋อจึงได้แอบเข้าไปแต่นางก็พบกับดวงตาสีดำทมิฬที่กำลังเกรี้ยวกราดคู่นั้นอยู่ตรงหน้านาง

“ทะ….ท่านพี่เย่” เหลียนเอ๋อกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึก “ทำไม….ท่านถึงได้….”

“เจ้าคงอยากจะถามว่าทำไมเปิ่นหวางถึงไม่หมดสติไปสินะ?” เจียงหวายเย่มองไปที่เหลียนเอ๋ออย่างผิดหวัง “เดิมทีเปิ่นหวางนั้นคิดว่าเจ้าจะสำนึกผิดจริงๆแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเปิ่นหวางนั้นจะมองเจ้าผิดไปจริงๆ”

“ท่านพี่เย่ ได้โปรดฟังข้าอธิบายก่อน” เหลียนเอ๋อลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้นขอความเมตตา

“เจ้าไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว เจ้าไปเตรียมใจออกเรือนเสียเถอะ!” หลังจากที่เจียงหวายเย่กล่าวจบ เขาก็ได้สั่งให้อันอี้ลากตัวนางออกไปทันที

เจียงหวายเย่ก็ได้อ่านเอกสารต่ออีกสักพักหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ได้เตรียมที่จะนอน

จนกระทั่งกลางดึก หลินซีเหยียนก็ได้มาถึงที่หน้าประตูห้องนอนของเจียงหวายเย่ นางนั้นคิดในใจว่าทำไมการป้องกันของพระราชวังนี้ถึงได้หละหลวมขนาดนี้ แต่จริงๆแล้วนางหารู้ไม่ว่าตั้งแต่นางเข้ามาเหยียบในพระราชวัง เหล่าผู้คุมกันพระราชวังก็ได้ล่วงรู้การมาของนางแล้ว

แต่ทว่าเจียงหวายเย่ได้สั่งพวกเขาไว้แล้วว่า หลินซีเหยียนนั้นคือว่าที่พระชายา ดังนั้นจึงได้ปล่อยให้นางเข้ามาได้ง่ายๆ

หลินซีเหยียนก็ได้มายืนอยู่ที่ประตูและแอบฟังเสียงด้านใน หลังจากที่นางมั่นใจว่าเจียงหวายเย่นั้นหลับสนิทไปแล้ว นางก็ได้แอบเปิดประตูเข้ามาข้างใน

ในห้องนั้นมืดมาก ซึ่งหากตั้งใจฟังดีๆแล้วจะได้ยินเสียงหายใจของเจียงหวายเย่อยู่

หลินซีเหยียนก็ได้เดินตรงเข้าไปหาและนั่งลงข้างๆ เจียงหวายเย่ นางนั้นอยากที่จะจับชีพจรของเจียงหวายเย่ แต่เพราะท่านนอนของเจียงหวายเย่นั้น ทำให้หลินซีเหยียนต้องเอนตัวไปหาเขาเพื่อเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือของเขา และเริ่มจับชีพจรของเขาอย่างตั้งใจ แล้วผลที่ออกมาก็ได้ทำให้นางประหลาดใจ “พิษยังไม่หายไป?”

เป็นไปได้อย่างไร?

ในขณะที่นางไม่ทันระวังตัว เจียงหวายเย่ก็ได้หันกลับมาแล้วคว้าหลินซีเหยียนไว้ในอ้อมกอดของเขา

หลินซีเหยียนนั้นมือไวปิดปากของตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะอุทานออกมา แล้วนางนั้นก็ได้พยายามขัดขืนแต่กำลังแขนของเจียงหวายเย่นั้นมันมากเกินไปสำหรับหญิงสาวอย่างนาง ไม่ว่านางจะพยายามดิ้นรนมากเพียงใดก็ไม่เป็นผลเลย

ในท้ายที่สุดนางก็ได้ปลดปล่อยความโกรธของนางไปจนหมดและยอมแพ้ต่อโชคชะตาอยู่ในอ้อมกอดของเจียงหวายเย่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปพักหนึ่งหลินซีเหยียนก็ได้ผล็อยหลับไป….

ในค่ำคืนที่มืดมิดนั้น เจียงหวายเย่ก็ได้ลืมตาขึ้นมาและมองไปที่หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยน “เป็นเจ้าที่กลับมาเองนะ อย่าได้โทษข้าที่ไม่ปล่อยเจ้ากลับไป”