ตอนที่ 77 เสียหน้า

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ลมปะทะมาที่ใบหน้า ใจเต้นตึกตัก หายใจไม่ทันเล็กน้อย

 

 

โจวเสาจิ่นเป็นคนมาสองชาติภพ นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้วิ่งเช่นนี้

 

 

ป้าผู้เป็นบ่าวรับใช้ของเจียงซื่อตะโกนอย่างร้อนรนอยู่ด้านหลัง

 

 

เฉิงเจียส่งเสียงหัวเราะราวเสียงระฆังเงินออกมา

 

 

โจวเสาจิ่นมีความรู้สึกเบิกบานที่ได้กระทำเรื่องขัดคำสั่งหนึ่งอยู่

 

 

จากนั้น นางก็เห็นพานชิงกับเฉิงสวี่

 

 

ใต้ต้นไหวซู่ต้นใหญ่ที่อยู่ข้างทางนั้น พานชิงกำลังมองเฉิงสวี่อยู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขัดเขิน

 

 

เฉิงสวี่ที่อยู่ในชุดจื๋อตัวสีเขียวต้นไผ่นั้นหล่อเหลาและสูงสง่าราวกับต้นอวี้ซู่ท่ามกลางสายลม

 

 

ทั้งสองคนกำลังพูดคุยไปด้วยหัวเราะไปด้วยอย่างสนุกสนาน

 

 

เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หันมองมา ต่างก็แสดงอาการประหลาดใจออกมา

 

 

โจวเสาจิ่นเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

สวรรค์ต่างก็กำลังช่วยเหลือนางอยู่!

 

 

พานชิงมาหาเฉิงสวี่ตามที่คาดเอาไว้ และยังให้นางได้มีชัยที่เหนือกว่า กล่าวคือ พวกเขาพบกันตามลำพัง อยู่ห่างจากศาลาริมน้ำไม่เกินสามสิบก้าว ทั้งไม่ได้พาบ่าวชายหรือสาวใช้ติดตามมาด้วย

 

 

นางเพียงต้องกล่าวอย่างประหลาดใจสักประโยคว่า พี่สาวชิง เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ข้าเพิ่งจะบอกท่านไปไม่ใช่หรือว่า พวกพี่ชายสวี่อยู่ที่ศาลาริมน้ำแห่งนี้ บรรดาคนที่อยู่ล้อมรอบฮูหยินผู้ใหญ่เหมี่ยนเหล่านั้นก็จะเป็นพยานให้นางได้ ส่วนซือเซียงที่รั้งอยู่ที่ห้องโถงรับแขกนั้นก็สามารถใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่ป้าผู้เป็นบ่าวรับใช้ของเจียงซื่อไล่ตามนางกับเฉิงเจียนี้ ทำให้คนที่ห้องโถงรับแขกสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ทางด้านนี้ได้…ทีนี้ทุกคนก็จะ ทราบ ได้ว่า ที่แท้พานชิงทราบอยู่แล้วว่าเฉิงสวี่อยู่ที่ศาลาริมน้ำ เพราะฉะนั้นถึงได้หลบออกไปจากห้องโถงรับแขก และไปหาเฉิงสวี่ถึงที่ศาลาริมน้ำ…เป้าหมายของนางก็ถือว่าสำเร็จแล้ว!

 

 

ฝีเท้าของโจวเสาจิ่นก็ค่อยๆ หยุดลง

 

 

นางมองพานชิงกับเฉิงสวี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย และดึงเฉิงเจียเอาไว้

 

 

เฉิงเจียยืนหอบอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่น ดวงตาโตที่เบิกกว้างจนเห็นตาดำและขาวได้อย่างชัดเจนคู่นั้นมองพานชิงตาไม่กระพริบ

 

 

พานชิงมีแผนการลับอยู่ในใจ เมื่อถูกคนที่มักจะถูกนางกดทับเอาไว้จนเกือบตายอยู่ตลอดอย่างเฉิงเจียมองมาเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

ส่วนเฉิงสวี่รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

 

 

เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นจะมาเห็นเขากับพานชิงพบกันตามลำพังเช่นนี้ ริมฝีปากของเขาประเดี๋ยวเปิดประเดี๋ยวปิด คล้ายอยากจะอธิบาย แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี

 

 

ทางด้านของห้องโถงรับแขก มีเสียงที่ค่อนข้างดังของซือเซียงดังเข้ามา “คุณหนูรอง คุณหนูเจีย พวกท่านอย่าวิ่งเลยเจ้าค่ะ! ระวังจะหกล้มนะเจ้าคะ”

 

 

มุมปากของโจวเสาจิ่นยกขึ้นเล็กน้อย ในตามีแววเยาะเย้ยสายหนึ่งวาบผ่าน

 

 

พานชิงตกใจ กำลังจะเอ่ยคำจา แต่คิดไม่ถึงว่าเฉิงเจียกลับกระโดดโหยงออกมาเสียก่อน

 

 

“พานชิง ทั้งๆ ที่เจ้าก็รู้ดีว่าพวกพี่ชายสืออยู่ที่ศาลาริมน้ำ เจ้าก็ยังจะวิ่งมาจนถึงศาลาริมน้ำฝั่งนี้อย่างนั้นหรือ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” อาจจะเป็นเพราะถูกพานชิงกดทับมาเป็นเวลานาน หรืออาจจะเป็นเพราะคำพูดนี้อยู่ในใจของนางมาเป็นเวลานาน นางดูกระวนกระวายเล็กน้อย เส้นเลือดตรงบริเวณด้านข้างจอนหูปรากฏเด่นชัดออกมา “นี่ไม่ใช่การประลองพิณในวันนั้น ที่ทุกคนต่างก็เป็นพี่ชายน้องชายจากภายในตระกูล แต่วันนี้เป็นวันเกิดของนายหญิงผู้เฒ่าจวนสี่ นอกจากพี่ชายน้องชายของตระกูลเฉิงแล้ว ก็ยังมีบุรุษจากภายนอกด้วย เหตุใดเจ้าถึงวิ่งออกมาโดยที่ไม่พาใครมาด้วยเลยได้อย่างไร เจ้าอย่าลืมว่าเจ้ามาอยู่ที่ตระกูลเฉิงในฐานะแขก! ถึงแม้ว่าตระกูลเฉิงของพวกเราจะตามใจบุตรสาว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ซึ่งกฎระเบียบ…”

 

 

โจวเสาจิ่นอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

 

 

นางลืมนิสัยของเฉิงเจียไปได้อย่างไร…รู้ตั้งแต่แรกว่าไม่ควรดึงเฉิงเจียเข้ามามีส่วนร่วมด้วย! แต่หากไม่ยืมตัวเฉิงเจีย คนของเจียงซื่อจะไล่ตามออกมาด้วยได้อย่างไร แล้วนางจะสามารถดึงความสนใจของคนที่ห้องโถงรับแขกได้อย่างไร…

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกผิดอยู่ในใจ

 

 

เจียงซื่อรีบตามเข้ามา

 

 

“หุบปากเสีย!” ใบหน้าที่ขาวเนียนละเอียดของนางในเวลานี้กลับดำทะมึนราวกับท้องฟ้าที่ก่อตัวมืดครึ้มก่อนพายุฝน “ในที่นี้มีที่ให้เจ้าได้พูดที่ไหนกัน! น้องสาวชิงของเจ้าเพียงพบกับพี่ชายสวี่ของเจ้าโดยบังเอิญเท่านั้น เจ้าจะตกใจด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้ไปเพื่ออันใด นางเป็นน้องสาวของเจ้า แต่เจ้ากลับไม่มีลักษณะของคนที่เป็นพี่สาวพึงมีเลยสักนิด!”

 

 

โจวเสาจิ่นหมุนตัวกลับไป

 

 

เห็นเฉิงเสียนอยู่ด้านหลังของเจียงซื่อ

 

 

นางกัดริมฝีปาก หน้าซีดเล็กน้อย แววตาคลุมเครือ

 

 

ส่วนหยวนซื่อติดตามอยู่ด้านหลังของเฉิงเสียน

 

 

ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มแย้ม ทว่าแววตากลับเสมือนกับมีดที่อาบด้วยยาพิษ มองไปที่พานชิงด้วยลำแสงของแววตาที่วาวโรจน์ไปด้วยความมืดครึ้มและเย็นชา

 

 

ซือเซียง กั่วเอ๋อร์และคนอื่นๆ ติดตามอยู่ด้านหลังของหยวนซื่อด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

 

 

ส่วนทางด้านของห้องโถงรับแขก ก็มีคนกลุ่มหนึ่งยืนแออัดอยู่บริเวณใต้โถงทางเดิน

 

 

โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจยาวครั้งหนึ่ง ในมือเต็มไปด้วยเหงื่อ

 

 

ในที่สุดก็สำเร็จลงไปอย่างราบรื่น…ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น…

 

 

ซือเซียงวิ่งเข้ามา กระซิบเสียงเบาหนึ่งว่า “คุณหนูรอง”

 

 

น้ำเสียงสั่นเทาของนางเผยให้เห็นความกระวายกระวายและความกลัวของนางในเวลานี้

 

 

โจวเสาจิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ ลมหายใจหนึ่ง หันไปยิ้มพลางพยักหน้าให้นาง

 

 

สีหน้าของซือเซียงสงบลงเล็กน้อย

 

 

เฉิงเจียที่ถูกมารดาสั่งสอนต่อหน้าทุกคนครั้งแล้วครั้งเล่ากลับรู้สึกเสียใจและผิดหวังเป็นอย่างมาก

 

 

ถึงเวลานี้แล้ว มารดาก็ยังจะปกป้องพานชิงอยู่…นางต่างหากที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของนางไม่ใช่หรือ!

 

 

หยาดน้ำตาพลันร่วงหล่นลงมา เฉิงเจียสะอื้นพลางกล่าว “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงได้เอาแต่ปกป้องน้องสาวชิงหรือเจ้าคะ เรื่องที่นางทำได้ดีกว่าข้า ยามท่านต่อว่าข้า ข้าไม่มีคำแก้ตัวใดๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของนาง เหตุใดท่านก็ยังปกป้องนางอยู่เช่นเดิม หรือเป็นนางที่เป็นคุณหนูของตระกูลเฉิง ส่วนข้าก็เป็นเพียงคนที่ถูกเก็บกลับมาจากข้างทางเท่านั้น? ครั้งก่อนที่มีการประลองพิณกันก็เป็นเช่นนี้ พิณ หวงหมิง ชิ้นนั้นเป็นพี่ชายสวี่ทำขึ้นมาด้วยตัวเอง ถึงแม้จะกล่าวว่าเป็นของรางวัลการประลอง แต่พี่ชายสือต่างก็ทราบดีว่าหากเป็นพวกข้าผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงสักคนชนะขึ้นมา จี้หยกที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเคยให้เขาเอาไว้ชิ้นนั้นก็จะไม่เหมาะสมจะเป็นของรางวัล ด้วยเหตุนี้ถึงได้ให้พี่ชายสวี่ไปหยิบพิณออกมา…ท่านมักจะพูดอยู่เสมอว่าน้องสาวชิงนั้นเป็นผู้ที่รู้ความ แต่หากนางเป็นผู้ที่รู้ความจริงๆ ก็ควรจะแลกเปลี่ยนของรางวัลกับพี่สาวชูจิ่นในวันนั้น ไม่ใช่รับพิณมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด จากนั้นก็บรรเลงพิณอยู่ในเรือนทุกวันเช่นนั้น…”

 

 

มีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากของโจวเสาจิ่น

 

 

เฉิงเจีย ยามที่ไม่อยากพูดก็ไม่เอ่ยคำจาใดๆ แต่พอได้พูดขึ้นมาแล้ว กลับสามารถทำร้ายคนให้แหลกเป็นชิ้นๆ ไปทั้งร่างได้

 

 

ไม่ว่าใครพวกเขาต่างก็คิดเผื่อเอาไว้แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนที่จะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงได้นั้นจะเป็นเฉิงเจีย!

 

 

เจียงซื่อโกรธจนแทบจะกระอักเลือด อยากจะก้าวออกไปจับบุตรสาวที่โง่งมผู้นี้ของตนมาตบให้รู้สึกตัวตื่นสักฝ่ามือหนึ่ง

 

 

แต่เฉิงเจียกลับไม่รู้อะไรเลย ยังคงกล่าวต่อไปว่า “ท่านแม่ ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงได้คอยสนใจน้องสาวชิง ก็เพราะในวันนั้นน้องสาวชิงเดินเล่นไปจนถึงทะเลสาบชิงซี และที่นั่นก็ได้พบกับพี่ชายสวี่ที่เดินผ่านทางมาทางนั้น…”

 

 

พานชิงดวงตาเบิกกว้างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ถึงได้ตระหนักว่าเหตุการณ์บานปลายใหญ่โตขึ้นแล้ว!

 

 

นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหยวนซื่อ

 

 

แววตาของหยวนซื่อราวกับมีดที่อาบเอาไว้ด้วยยาพิษ และแทงเข้าไปที่ส่วนลึกของหัวใจนาง

 

 

พานชิงตัวสั่นเทาด้วยความกลัว

 

 

ดวงตาทั้งคู่ของเฉิงเสียนกลับปิดลง ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง สั่นระริก และกำลังจะ ล้ม ลงไป

 

 

ไม่อาจปล่อยให้เฉิงเจียกล่าวต่อไปได้…คิดไม่ถึงว่านางจะรู้มากขนาดนี้…เหตุใดถึงไม่ได้ระวังคนโง่เขลาอย่างเฉิงเจียเอาไว้ตั้งแต่แรก…ยังมีเจียงซื่ออีกคน ในยามปกติออกจะมีความสามารถถึงเพียงนั้น เหตุใดในยามนี้ถึงไม่สามารถออกไปปิดปากเฉิงเจียได้อย่างทันท่วงที ควบคุมไม่ให้นางพูดจาไร้สาระ!

 

 

นาง อ่อนเปลี้ย ล้มลงไปที่พื้น

 

 

“กูไท่ไท่!”

 

 

เจียงซื่อรีบไปประคองเฉิงเสียนเอาไว้

 

 

เฉิงสวี่ก้าวออกมาสองก้าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของมารดาแล้ว เขาก็ถอยกลับไปอย่างขุ่นเคือง

 

 

กลับเป็นพานชิงผู้มีใบหน้าขาวซีดราวผ้าไหมดิบ ที่วิ่งเข้าไปอยู่ข้างๆ มารดาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ๆ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ท่านอย่าทำให้ข้ากลัว!”

 

 

บ่าวรับใช้ของจวนสามก็วิ่งเข้ามา

 

 

อาจเป็นไปได้ว่าเพราะได้ยินเสียงโหวกเหวก บุรุษหลายคนในศาลาริมน้ำจึงเดินออกมา

 

 

พวกเขาเดินไปด้วย และเอ่ยถามเสียงดังขึ้นด้วยว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

 

 

ชั่วขณะหนึ่งเหตุการณ์ตรงหน้าเปลี่ยนเป็นวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

เฉิงเจียไม่คิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เฉิงเสียน เป็นลม ไปเช่นนี้

 

 

นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเลื่อนลอย

 

 

โจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปกอดแขนของนางเอาไว้ กระซิบปลอบโยนนางเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร กูไท่ไท่ไม่น่าจะเป็นอะไร อาจเป็นไปได้ว่านางไม่ทราบเรื่องของพานชิงมาก่อน พอมาได้ยินเข้าอย่างกะทันหัน ก็เลยยังรับไม่ค่อยได้ รอให้อาการทุเลาก็ดีขึ้นเอง”

 

 

นอกจากโจวเสาจิ่นแล้ว ก็ไม่มีใครสนใจนาง

 

 

เฉิงเจียราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ นางจับมือของโจวเสาจิ่นที่อยู่บนแขนของนางเอาไว้แน่น

 

 

โจวเสาจิ่นดึงเฉิงเจียหลบไปอยู่ข้างๆ ทว่ากลับลอบสวดภาวนาอยู่ในใจ ให้เฉิงเสียนอย่าเป็นอะไรไป ไม่เช่นนั้นคำครหาว่า ไม่เชื่อฟังบิดามารดา ก็จะเป็นดังหมวกที่ถูกสวมเอาไว้บนศีรษะของเฉิงเจีย ชีวิตของนางในชาตินี้ก็ถือเป็นอันจบกัน

 

 

ไม่รู้ว่าเฉิงสวี่เดินมาอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่นตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “น้องสาวเสาจิ่น น้องสาวชิงมาหาข้าเพราะอยากให้ข้าช่วยนางเรื่องหนึ่ง ให้ท่านย่าช่วยแนะนำการคัดลายมือให้กับนาง ข้าเห็นว่าอักษรของนางคัดได้ไม่เลวนัก เพียงขาดพละกำลังเล็กน้อยเท่านั้น หากได้เรียนการคัดลายมือกับท่านย่า ก็น่าจะเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ถึงได้…พบกัน…ข้าเห็นว่าทุกคนต่างก็อยู่ที่ศาลาริมน้ำ ข้าไม่อยากให้ยุ่งยาก ก็เลยไม่ได้พาบ่าวรับใช้มาด้วย…ใครจะรู้ว่าน้องสาวชิงก็ไม่ได้พามาด้วยเช่นกัน…”

 

 

เจ้ามาบอกเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม เจ้าดูท่าทางของมารดาเจ้า ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะไปอธิบายกับนางก่อนหรือ อย่าให้ถึงเวลาแล้วนำเอาเพลิงโทสะมาลงที่ตัวข้า ข้าคงไม่อาจยืนให้ผู้อื่นขูดรีดอยู่ตรงนั้นได้…

 

 

โจวเสาจิ่นลอบถากถางอยู่ในใจ

 

 

มีคนผลักกั่วเอ๋อร์ไปด้านข้าง และกล่าวขึ้นอย่างตกใจว่า “ท่านแม่ๆ นี่ท่านเป็นอะไรไปหรือ”

 

 

เป็นพานจ้าว

 

 

เขาเดินออกมาจากศาลาริมน้ำเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก

 

 

โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น

 

 

เฉิงลู่กับเฉิงสือยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านข้างของศาลาริมน้ำ คนหนึ่งมองไปที่เฉิงสวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ นางอย่างเหม่อลอย ส่วนอีกคนมองไปที่เฉิงเสียนผู้ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนอย่างเอาใจใส่

 

 

โจวเสาจิ่นหันหน้ากลับไป

 

 

สายตาของเฉิงลู่กลับตกไปอยู่บนร่างของนาง

 

 

หวังมามาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มร่า “ใกล้จะถึงเวลากล่าวคำอวยพรแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าจึงให้ข้ามาเชิญทุกท่านกลับไปที่ห้องโถงรับแขกเจ้าค่ะ” จากนั้นสีหน้าของนางก็เคร่งขึ้น ร้อง ไอหยา คำหนึ่ง และกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “นี่กูไท่ไท่เป็นอะไรไปหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

 

 

“ไม่มีอะไรๆ” รอยยิ้มของเจียงซื่อไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก “กูไท่ไท่ไม่ค่อยสบายเพียงชั่วครู่เท่านั้น…”

 

 

หวังมามาเองก็ไม่ถามให้มากความ รีบสั่งให้สาวใช้ที่ติดตามมาด้วยไปหยิบยาอมช่วยให้สดชื่น และตักน้ำบ่อเข้ามาด้วยสักเล็กน้อย

 

 

โจวเสาจิ่นก้าวออกไปทำความเคารพผู้อาวุโสหลายท่านเหล่านั้น และกล่าวเสียงเบาว่า “อีกสักครู่คนจากทางด้านศาลาริมน้ำก็ไปกล่าวอวยพรท่านยายแล้ว เช่นนั้นข้ากับพี่สาวเจียจะกลับไปที่ห้องโถงรับแขกก่อนนะเจ้าคะ!”

 

 

เจียงซื่อกลัวใจบุตรสาวคนนี้เสียจริงๆ หากว่านางกล่าวอะไรที่ทำให้เรื่องยุ่งเหยิงขึ้นมาอีก ก็คงจะยิ่งไม่ได้การ

 

 

นางไม่รอให้คนอื่นๆ ได้เอ่ยปาก ก็กล่าวขึ้นมาก่อนว่า “เสาจิ่น ท่านป้าเสียนของเจ้าทางด้านนี้ยังต้องการคนคอยช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นวันเกิดของนายหญิงผู้เฒ่า เจ้าคงจะยุ่งเป็นอย่างมาก เช่นนั้นเจ้ากลับไปที่ห้องโถงรับแขกก่อนเถิด! อีกสักครู่ลูกเจียค่อยกลับไปพร้อมกับข้า”

 

 

พวกท่านขายเฉิงเจียไปแล้วก็ยังจะให้เฉิงเจียช่วยพวกท่านนับเงินอีกหรือ…

 

 

โจวเสาจิ่นไม่อยากให้เฉิงเจียรั้งอยู่ที่นี่อีก

 

 

นางยืนกรานให้เฉิงเจียกลับไปที่ห้องโถงรับแขกพร้อมกัน “มีบ่าวรับใช้อยู่ที่นี่แล้วไม่น้อย อีกอย่างพี่สาวเจียก็กำลังเสียใจ เกรงว่าอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากเจ้าค่ะ”

 

 

หยวนซื่อที่ไม่กล่าวอะไรมาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้นว่า “ให้พวกนางกลับไปก่อนเถิด! เด็กสาวตัวเล็กๆ สองคน ต่อให้รั้งอยู่ที่นี่ก็จะช่วยอะไรได้?”

 

 

อย่างไรเสียก็เป็นบุตรสาวของตนเอง เจียงซื่อมองเฉิงเจียที่มีท่าทางเซื่องซึมนั้นแล้ว ลอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ ครั้งหนึ่ง แล้วพยักหน้า

 

 

โจวเสาจิ่นจึงลากเฉิงเจียออกไปจากวังวนแห่งความถูกผิดนี้

 

 

ระหว่างทาง นางเอ่ยถามเฉิงเจียว่า “เจ้ารู้สึกว่าที่ท่านป้าเสียนเป็นลมนั้นเป็นเพราะเจ้า เพราะเหตุนี้เจ้าก็เลยรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากใช่หรือไม่”

 

 

เฉิงเจียที่กำลังอยู่ในอาการมึนงงไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา ทว่าน้ำตากลับยิ่งร่วงหล่นลงมาหนักยิ่งขึ้น

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “เรื่องนี้จะมากล่าวโทษเจ้าได้อย่างไร หากจะให้พูดว่าเป็นความผิดของผู้ใดแล้ว ก็กล่าวได้ว่าเป็นความผิดของท่านป้าเสียนกับพี่สาวชิง กล่าวคือ ท่านป้าเสียนเป็นมารดาของพี่สาวชิง แต่พี่สาวชิงทำอะไรเอาไว้บ้างท่านป้าเสียนกลับไม่ทราบเรื่อง เป็นไปได้หรือที่เวลาเจ้าไปทำอะไรแล้วท่านป้าใหญ่หลูเองก็ไม่ทราบเรื่องด้วย? ในทางตรงกันข้าม หากข้าไปทำอะไรไว้ ย่อมไม่อาจปิดบังเอาไว้จากพี่สาวของข้าได้อย่างแน่นอน”

 

 

……………………………………………………….