ตอนที่ 78 ปลอบโยน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

สีหน้าเซื่องซึมบนใบหน้าของเฉิงเจียพลันสดใสขึ้นมา

 

 

นางจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น พลางกล่าว “จริงหรือ”

 

 

“ย่อมเป็นความจริงอย่างแน่นอน” โจวเสาจิ่นตอบอย่างหนักแน่นและมั่นใจ “เจ้าลองคิดดู ว่าที่ข้าพูดมานั้นมีเหตุผลหรือไม่”

 

 

เฉิงเจียจมเข้าไปอยู่ในภวังค์ความคิด

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “สรุปแล้ว หากไม่ใช่เพราะพานชิงทำเรื่องเช่นนี้ออกมา ท่านป้าเสียนจะโกรธจนเป็นลมล้มลงไปได้อย่างไร หากจะรู้สึกผิด ก็ควรจะเป็นพานชิงที่ต้องรู้สึกผิดถึงจะถูก การที่เจ้าดึงเอาทุกอย่างมาไว้ที่ตัวเองเช่นนี้ ไม่แน่ว่าจะเป็นการทำให้พานชิงสมปรารถนา และผลักความผิดมาให้เจ้าแทน หากเป็นความผิดของเจ้าก็คือความผิดของเจ้า พวกเราก็จะยอมรับผิด และปรับปรุงแก้ไขเสียก็ได้แล้ว แต่หากไม่ใช่ความผิดของพวกเรา เหตุใดพวกเราจะต้องยอมรับผิดด้วยเล่า และเหตุใดจะต้องถูกตำหนิแทนผู้อื่นด้วย”

 

 

คำพูดของโจวเสาจิ่นอาจจะไม่ถูกต้อง แต่เจตนาดีของโจวเสาจิ่นนั้น เฉิงเจียเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว

 

 

นางอดไม่ได้หยุดฝีเท้าลง จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นอย่างจริงจังว่า “เสาจิ่น ข้ารู้ดีว่าเจ้าคือคนที่ดีกับข้าที่สุด ข้าจะเชื่อฟังคำของเจ้า หากเป็นความผิดของข้า ข้ายินดีไปคุกเข่าสำนึกผิดที่หอบรรพชน และคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ แต่หากไม่ใช่ความผิดของข้า ข้าไม่อาจจะยอมรับผิดเช่นนี้ และให้ผู้อื่นตำหนิอย่างอยุติธรรมได้อีก!” นางยิ่งพูดก็ยิ่งพูดได้เร็วขึ้น ยิ่งพูดดวงตาก็ยิ่งสดใสขึ้น เมื่อกล่าวถึงท้ายประโยคแล้ว ก็หันไปหาโจวเสาจิ่นและหัวเราะขึ้นมา

 

 

ในใจของโจวเสาจิ่นเกิดความหม่นหมองหนึ่งขึ้นมา

 

 

ชาติก่อน นางดีกับเฉิงเจียยิ่งกว่าชาตินี้เสียอีก

 

 

เฉิงเจียจะเคยรับรู้ถึงความดีของนางเหมือนอย่างในตอนนี้เช่นเดียวกันใช่หรือไม่?

 

 

เฉิงเสียนเป็นลม นางดึงเอาความรับผิดชอบทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเอง ชาติก่อน ตนเองถูกนางล่อลวงไปที่โพรงหินแห่งนั้น หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว นางจะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ?

 

 

ต่อมา พวกนางทั้งสองคนต่างก็ถูกคนจากตระกูลเฉิงคอยกำกับดูแล จึงไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย

 

 

นางอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดี ก็ป่วยและเสียชีวิตไป

 

 

ทิ้งบุตรชายวัยทารกเอาไว้คนหนึ่ง

 

 

เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองคนแล้ว เฉิงเจียยังน่าสงสารยิ่งกว่านางเสียอีก

 

 

นางนั้นมึนๆ งงๆ รู้จักคนไม่ถ่องแท้ ทว่าเฉิงเจียกลับเสมือนกับสัตว์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ที่ในยามปกติจะถูกเลี้ยงดูและเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่เมื่อตกอยู่ในยามคับขัน นางกลับถูกเอาออกไปเหยียบย่ำอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด…

 

 

โจวเสาจิ่นกอดแขนของเฉิงเจียเอาไว้แน่น อดกระซิบเสียงเบาออกมาไม่ได้ว่า “ขอให้พวกเรามีชีวิตที่ดีในชาติภพนี้ด้วยเถิด!”

 

 

พอไร้ซึ่งเมฆหมอกเฉิงเจียก็กลายเป็นคนคิดไร้สาระขึ้นมา

 

 

“พวกเราย่อมต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน!” นางกล่าวยิ้มๆ หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็หันไปสำรวจรอบๆ ทั้งสี่ด้านครั้งหนึ่งอย่างมีเลศนัย และกระซิบกล่าวที่ข้างหูของโจวเสาจิ่นว่า “ถึงเวลานั้นพวกเราก็แต่งงานออกไปพร้อมกัน หรือไม่ก็แต่งเข้าไปยังตระกูลเดียวกัน ไปมาหาสู่กันเช่นเดิมอย่างในตอนนี้…หากข้าให้กำเนิดบุตรชาย ก็จะไปสู่ขอบุตรสาวของเจ้า หากเจ้าให้กำเนิดบุตรชาย ก็มาสู่ขอบุตรสาวของข้า…พวกเราแก่ตัวไปก็จะได้เกี่ยวดองเป็นครอบครัวเดียวกันด้วยบุตรชายบุตรสาว!”

 

 

“อา!” โจวเสาจิ่นตกตะลึง

 

 

เฉิงเจียเห็นแล้วก็รู้สึกน่าขบขันยิ่งนัก หัวเราะคิกพลางวิ่งออกไป

 

 

ฝีเท้าของนางนิ่มนวลสง่างาม ราวกับลูกกวางน้อยกลางป่า ที่กระโดดโลดเต้นอย่างเบิกบานและมีความสุข!

 

 

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา

 

 

ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า หากตนเองจำไม่ผิด หลี่จิ้งผู้เป็นสามีของเฉิงเจียในชาติก่อนนั้น จะมาเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของบิดาในอีกไม่นานนี้

 

 

เขาตกหลุมรักเฉิงเจียตั้งแต่แรกพบ

 

 

เจียงซื่อกลับไม่ชอบที่เขาเป็นเพียงพ่อค้าผู้หนึ่ง ไม่ยินยอมให้เฉิงเจียแต่งให้กับหลี่จิ้ง

 

 

ในเวลานั้น นางรู้สึกว่าเจียงซื่อช่างเป็นมารดาที่ดีผู้หนึ่ง ที่คิดแทนเฉิงเจียในทุกด้าน

 

 

แต่พอมองจากในตอนนี้แล้ว เฉิงเจียกลับเป็นเพียงสินค้าที่รอขายในราคาที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งเท่านั้น

 

 

ชาติก่อน พอเฉิงเจียเกิดเรื่อง หลังจากที่หลี่จิ้งทราบข่าวแล้ว ก็รีบเร่งมาจากลั่วหยางกว่าพันหลี่ ใช้เงินกว่าห้าหมื่นเหลี่ยงเป็นสินสอดสู่ขอเฉิงเจีย ต่อมาหลังจากที่เฉิงเจียเสียชีวิตแล้ว เขาก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ รับเอาสาวใช้ข้างกายผู้หนึ่งของเฉิงเจียมาเป็นอนุ ให้ดูแลหน้าที่ต่างๆ ของภรรยาภายในจวน ส่วนเขานั้นนำบุตรชายที่เฉิงเจียให้กำเนิดนั้นมาติดตามอยู่ข้างกาย เลี้ยงดูเอาใจใส่ด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นการออกจากบ้านไปเพื่อทำการค้า ก็จะพาบุตรชายล่องเรือหรือไม่ก็นั่งรถม้าไปด้วยกัน ไม่กล้าที่จะทิ้งบุตรชายเอาไว้กับผู้อื่น ด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะข่มเหงรังแกเขา ที่กลัวยิ่งกว่านั้นก็คือกลัวว่าผู้อื่นจะเลี้ยงเขาจนเสียคน…

 

 

โจวเสาจิ่นเดินเข้าในห้องโถงรับแขกอย่างลังเล

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จับมือของเฉิงเจียเอาไว้ กล่าวขึ้นด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาทั้งคู่ว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดถึงได้เลินเล่อเช่นนี้ หากอาของเจ้าเกิดโชคร้ายมีอันเป็นไปขึ้นมา เจ้าจะให้ข้าอยู่อย่างไร…”

 

 

จึงได้รู้ว่าจวนสามจะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปไว้ที่เฉิงเจีย ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กๆ ไปเสีย!

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงเจียยู่ปากอย่างขุ่นเคือง พร้อมด้วยท่าทางที่ต้องการจะกล่าวแย้งฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ นางจึงรีบก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินผู้เฒ่ากวน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่และคนอื่นๆ

 

 

“กลับมาแล้วหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่าพลางกล่าว “เอาล่ะ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้น ทำให้พวกข้าตกใจกันเสียยกใหญ่ไปครั้งหนึ่ง”

 

 

ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ถาม โจวเสาจิ่นก็ต้องหาโอกาสอธิบายให้ได้สักครั้งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นผู้อื่นก็จะเข้าใจว่าเป็นความตั้งใจของนางกับเฉิงเจียได้

 

 

“ท่านป้าใหญ่หลูกลัวว่าพี่สาวเจียจะวิ่งเล่นไปทั่ว” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างขัดเขิน “ก็เลยให้มามาผู้หนึ่งคอยจับตาดูพวกข้าเอาไว้ ไม่ให้พวกข้าวิ่งเล่นไปทั่ว แต่พวกข้านั่งนิ่งๆ ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เพราะฉะนั้นก็เลย….”

 

 

มีคนหัวเราะขึ้นมาจากด้านข้าง

 

 

โจวชูจิ่นที่ยืนอย่างกระวนกระวายอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเองก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน

 

 

บรรยากาศจึงผ่อนคลายขึ้นมา

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปครั้งหนึ่ง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าว “เช่นนั้นป้าเสียนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่รั้งอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยดูแลป้าเสียนของเจ้าเสียก่อน”

 

 

“ท่านป้าเสียนไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “ดูเหมือนว่าเป็นเพราะอากาศร้อนจนเกินไป พอท่านป้าเสียนเดินอย่างรีบเร่ง ก็เลยอาจจะเป็นลมได้เจ้าค่ะ ท่านป้าใหญ่จิงกล่าวว่าทางด้านนั้นมีคนมากแล้ว พวกข้าทั้งสองคนอายุยังน้อย ยังไม่รู้เรื่องอะไรนัก มีแต่จะช่วยให้เรื่องยิ่งยุ่งมากขึ้น ก็เลยให้พวกข้ากลับมาก่อน มารายงานให้ท่านและผู้อาวุโสทุกท่านได้ทราบ เพื่อจะได้ไม่ทำให้ผู้อาวุโสทุกท่านต้องเป็นกังวลใจเจ้าค่ะ”

 

 

ภายในห้องโถงรับแขกเงียบเชียบยิ่งนัก แม้เข็มหล่นก็ยังสามารถได้ยินเสียง

 

 

เห็นได้ชัดว่าทุกคนกำลังเงี่ยหูฟังว่าโจวเสาจิ่นพูดอะไรบ้างอย่างตั้งใจ

 

 

โจวเสาจิ่นตอบได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่มีจุดบกพร่อง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้าน้อยๆ อย่างพึงพอใจ

 

 

ตอนแรกเฉิงเจียยังกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะเผยความลับออกมา

 

 

เรื่องของพานชิง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ล้วนแต่เป็นเรื่องตลกน่าขายหน้าของตระกูลเฉิง จึงไม่อาจปล่อยให้ตนเองเปิดเผยความลับของตนเองออกไปหรอกกระมัง?

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเสาจิ่นแล้ว นางจึงลอบหันไปยกนิ้วโป้งให้โจวเสาจิ่นอย่างเงียบๆ

 

 

โจวเสาจิ่นเพียงทำเสมือนกับว่ามองไม่เห็น

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น เฉิงเสียนก็เดินเข้ามาอย่างอ่อนแรงโดยมีพานชิงและเจียงซื่อช่วยประคองเอาไว้

 

 

“ท่านอาสะใภ้สี่” ใบหน้าของเฉิงเสียนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หยาดน้ำตาคลอไปมาอยู่ที่ขอบตาของนาง “ต้องขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ วันเกิดของท่าน แต่ข้ากลับเสมือนกับว่าต้องลมแดดเข้าเสียแล้วอย่างไรอย่างนั้น…”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนร้อง ไอหยา เสียงหนึ่ง รีบกล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้ายังไม่รีบกลับไปพักผ่อนอีก! วันเกิดของข้ามีปีไหนที่ไม่ได้ฉลองบ้างกัน? เจ้าอย่าปล่อยให้ตัวเองต้องล้มป่วยลงได้!” เอ่ยถามเจียงซื่ออีกด้วยว่า “เชิญท่านหมอมาหรือยัง เจ้ารีบพานางกลับไปก่อนเถิด! อีกสักประเดี๋ยวข้าจะไปเยี่ยมนาง!”

 

 

เฉิงเสียนเองก็ไม่มีหน้าจะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว จึงกล่าวทักทายกับคนในห้องอีกสักสองสามประโยค จากนั้นนางก็กลับไปที่เรือนรับรองแขกของจวนสามโดยมีเจียงซื่อ และพานชิงกับพานจ้าวสองพี่น้องติดตามไปด้วย

 

 

เฉิงเจียแสร้งถอนหายใจลึกๆ อย่างโล่งอก ลอบกล่าวกับโจวเสาจิ่นเบาๆ ว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าทั่วทั้งร่างได้ผ่อนคลายลงไม่น้อยแล้ว!”

 

 

“เจ้าระวังเอาไว้เถิด พอดีใจมากๆ แล้วจะมีเรื่องเสียใจตามมา!” โจวเสาจิ่นเตือนนาง “ในงานเลี้ยงนี้มีแขกเหรื่ออยู่ด้วย รอให้เจ้ากลับถึงจวนสามเสียก่อน ดูว่าท่านป้าใหญ่หลูจะจัดการกับเจ้าอย่างไรบ้าง!”

 

 

สีหน้าของเฉิงเจียพลันเจื่อนลงในทันที

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกขึ้นมา

 

 

มามาผู้เป็นแม่บ้านเข้ามาแจ้งว่าถึงเวลาฤกษ์งามยามดีแล้ว

 

 

สตรีหลบไปอยู่ด้านหลังฉากกั้น หลังจากที่เฉิงเหมี่ยนพาบุรุษกล่าวอวยพรวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเสร็จแล้ว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็พาสตรีทั้งหลายไปกล่าวอวยพรวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากวน

 

 

บรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็เริ่มนำอาหารขึ้นโต๊ะ

 

 

ความสนุกสนานดำเนินต่อไปจนกระทั่งพระจันทร์โผล่พ้นขึ้นมาบนยอดไม้ ฉากดอกไม้สดของโจวเสาจิ่น โคมไฟแปดเหลี่ยมสีแดงขนาดใหญ่ก็ถูกนำออกมาแขวนเอาไว้ ภายในลานจึงล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สด โคมไฟที่สว่างไสว คลอด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุยไม่ขาดสาย ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมีความสุขจนไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้ กระทั่งถึงเวลาตีฆ้องบอกเวลายามสาม ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวนดูเหนื่อยล้า โจวเสาจิ่นและพี่สาวจึงปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากวนล้างหน้าล้างตา รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากวนยังไม่เหือดหายไปจากบนใบหน้า ระหว่างที่อยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัวนั้นยังให้เงินรางวัลแก่พวกนางพี่น้องคนละหนึ่งตำลึงเงินอีกด้วย

 

 

วันต่อมา จวนสี่ต่างวุ่นอยู่กับการจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ใช้ในงานเลี้ยงวันเกิดที่ผ่านมา

 

 

เฉิงเจียถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหน ยิ่งไปกว่านั้นคือคำสั่งห้ามนั้นกินเวลากว่าสามเดือน รวมทั้งไม่อนุญาตให้ใครไปเยี่ยมด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่านี่ก็เป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้

 

 

โจวเสาจิ่นหยิบกระดาษเฉิงซินออกมาสองแผ่น นำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ หลายๆ แผ่น จากนั้นให้ซือเซียงนำไปมอบให้เฉิงเจีย “ให้นางเอาไว้ใช้เขียนกลอนและวาดภาพเพื่อฆ่าเวลาในยามที่ไม่มีอะไรทำ”

 

 

ณ เรือนหานปี้ซาน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไล่คนรับใช้ข้างกายออกไป เพื่อคุยกับหยวนซื่อเป็นการส่วนตัว “…ข้าเห็นว่าเรื่องงานแต่งของคุณชายใหญ่คงจะต้องกำหนดให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อยเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นพอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวก็จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาได้อีก ซึ่งจะสร้างความขุ่นเคืองต่อญาติพี่น้อง และง่ายต่อการเกิดความเกลียดชังกัน”

 

 

หยวนซื่อยิ้มอย่างขมขื่น พลางกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่คิดเจ้าค่ะ แต่ตามความปรารถนาของตระกูลหมิ่นแล้ว ต้องการจะเจรจาเรื่องงานแต่งหลังจากที่สวี่เอ๋อร์สอบได้จวี่เหรินแล้ว…เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาของบุตรของทั้งสองตระกูลเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแสยะยิ้มเย็น พลางกล่าว “ข้าว่าพวกเขากลัวว่าจะทำให้บุตรของตระกูลตนเองเสียเวลามากกว่ากระมัง เรื่องนี้เจ้าต้องคิดให้ดี อย่าให้ผู้อื่นมาเจาะรูและจูงจมูกเดินได้ และผลสุดท้ายปรากฏว่าผู้ที่สู่ขอเข้ามานั้นยังสู้ไม่ได้กับหญิงสาวที่มาจากตระกูลทั่วไป นี่หากว่าสะใภ้ที่แต่งเข้ามาไม่ได้เรื่อง มันจะส่งผลกระทบต่อคนกี่รุ่นบ้าง! เจ้าดูสะใภ้ของอาสามของเจ้า ในปีนั้นก็เป็นบุตรสาวจากตระกูลเจ้ากรม แล้วผลเป็นอย่างไร กลับกลายเป็นว่าเหมือนกับมารดาผู้ไม่รู้หนังสือของนางผู้นั้น แม้สักประโยคก็ยังไม่สามารถพูดออกมาให้เข้าใจได้ บุตรชายที่คลอดออกมาก็เหมือนกับนางยิ่งนัก เป็นเพราะบิดาของอารองของเจ้าให้การสั่งสอนเขาด้วยตัวเอง ด้วยความยากลำบากถึงได้สอบได้เป็นซิ่วไฉผู้หนึ่งจนสำเร็จ…”

 

 

“ข้าจะระวังเอาไว้เจ้าค่ะ” ดวงตาของหยวนซื่อฉายแววเย็นชา พลางกล่าว “ข้าได้ส่งคนไปที่ฝูเจี้ยนแล้ว ทางบ้านของหญิงสาวเป็นอย่างไรบ้างนั้น ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า พลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเยี่ยมเฉิงเสียนดูสักหน่อยเถิด! นี่ก็เป็นเหมือนกับมารดายิ่งนัก เป็นถึงคุณหนูใหญ่จากตระกูลขุนนาง ทว่าแม้แต่สามีจากตระกูลยากจนผู้หนึ่งก็ควบคุมเอาไว้ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังจะทำเรื่องไร้สาระตามคำของสามีอีก ดูว่าจะมีหลุมฝังศพบรรพชนของตระกูลใดที่ฝังผิดที่ แล้วมาดองกับตระกูลของพวกเขากัน…”

 

 

หยวนซื่อรังเกียจเฉิงเสียนยิ่งนัก ไม่อยากจะกล่าวอะไรมาก จึงยิ้มพลางขานรับ เจ้าค่ะ จากนั้นให้สาวใช้ข้างกายนำยาและเครื่องบำรุงเล็กน้อยไปเยี่ยมเฉิงเสียนที่จวนสาม

 

 

เมื่อถึงช่วงบ่าย โจวเสาจิ่นก็มาถึง พร้อมกับนำแตงหวานสองสามลูกมาให้พวกสาวใช้ที่เรือนหานปี้ซานด้วย

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นใบหน้าเล็กที่แดงเรื่อของนางแล้ว ก็หยิบพัดที่อยู่ใกล้มือโบกพัดให้นาง และถามนางยิ้มๆ ว่า “งานต่างๆ ที่จวนล้วนจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมากไปครั้งหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโบกพัดให้นางกัน จึงรีบรับพัดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมา ยิ้มพลางกล่าวว่า “มีพี่สาวอยู่ด้วย ไหนเลยจะมีเรื่องอะไรให้ข้าได้ทำเจ้าคะ? ข้าเพียงสร้างความวุ่นวายอยู่ข้างๆ เท่านั้นเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ

 

 

เจินจูถือแตงหวานที่หั่นเรียบร้อยแล้วเข้ามา

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “กินแตงหวานสักหน่อยแล้วค่อยไปคัดพระธรรมเถอะ”

 

 

โจวเสาจิ่นทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอายุมากแล้ว จึงไม่ทานของหวานๆ พวกนี้ จึงขานรับยิ้มๆ และนั่งทานแตงหวานอยู่บนตั่งตัวเล็กข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

ปี้อวี้เข้ามา ยิ้มพลางกล่าว “พ่อบ้านใหญ่ฉินมาเจ้าค่ะ กล่าวว่ามีธุระต้องการขอพบเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นรีบลุกยืนขึ้นมา

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นว่าตรงมุมปากของนางยังมีน้ำแตงหวานอยู่ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ากินแตงของเจ้าไปเถอะ ปีนี้พ่อบ้านฉินก็อายุมากกว่าหกสิบปีแล้ว”

 

 

อีกนัยหนึ่งก็คือ นางไม่จำเป็นต้องหลบออกไปนั่นเอง

 

 

โจวเสาจิ่นจำต้องนั่งลงมาอีกครั้งหนึ่ง

 

 

ปี้อวี้ออกไปนำฉินโส่วเยว์เข้ามา

 

 

นี่นับเป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นได้พบกับฉินโส่วเยว์

 

 

เขามีรูปร่างสูงปานกลาง ใบหน้าแดงสุขภาพดี เส้นผมสีดำขลับ และหลังยังคงตั้งตรง สวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมสีม่วงอมน้ำเงินลายเมฆตัวหนึ่ง ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก ดูราวกับว่าอ่อนวัยกว่าอายุจริงไปสิบกว่าปี

 

 

………………………………………………………..