บทที่ 104 พบท่านน้าเล็ก

แต่หารู้ไม่ หยางชุ่ยฮวากลับหยิบเงินมาและยัดใส่มือคนขับเกวียนเทียมวัว นางมองจางซิ่วเอ๋อแล้วเอ่ย “พอได้แล้ว มัวพิรี้พิไรอยู่ได้ รีบไปเถอะ เห็นพวกเจ้าแล้วรำคาญ!”

หยางชุ่ยฮวามีกิริยาไม่ดีนัก แต่เรื่องที่ทำไม่น่ารังเกียจเลย

หยางชุ่ยฮวาไตร่ตรองในใจแล้ว ก็แค่ต้องจับปลาเพิ่มอีกสักตัว ทุกคนสบายใจก็ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน

พวกจางซิ่วเอ๋อไม่แปลกใจนัก หยางชุ่ยฮวาไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริง ๆ ถึงแม้นิสัยเห็นแก่ผลประโยชน์จะยังแก้ไม่หาย แต่ก็ไม่ใช่พ่อไก่เหล็กที่ไม่ยอมทิ้งขนอีกแล้ว

ทว่าคนอื่น ๆ กลับอึ้งกันหมด

พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลย! นั่นหยางชุ่ยฮวาเหรอ? คุณพระ! นอกจากหยางชุ่ยฮวาจะไม่โวยวายแล้วยังเป็นฝ่ายให้เงินคนขับเกวียนเสียเองด้วย!

นี่มันฝนตกเป็นสีแดง พระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตกรึเปล่า

คนขับรถก็อึ้งเหมือนกัน แต่เขาไม่สนใจหรอกว่าใครเป็นคนจ่าย มีคนให้เงินก็พอ เขานั่งอยู่คานรถลาก สะบัดแส้ในมือ รถลากเคลื่อนออกไปช้า ๆ

“พวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อนนักนะ! ซิ่วเอ๋อ แม่เจ้าท้องอยู่ เจ้าช่วยดูแลระหว่างทางด้วยนะ” แม่เฒ่าโจวยังกำชับต่อ

“รู้แล้วเจ้าค่ะท่านยาย กลับกันไปเถอะ ไม่ต้องส่งแล้ว” จางซิ่วเอ๋อตะเบ็งเสียงตอบ

จางซิ่วเอ๋อรู้สึกเหมือนอยู่ในภวังค์ในขณะที่ถามตอบ ราวกับนางกลมกลืนไปกับยุคโบราณนี่แล้วจริง ๆ

จางชุนเถาแบกห่อผ้ามาด้วยห่อหนึ่ง ในนั้นเต็มไปด้วยซาลาเปาลูกใหญ่

จำนวนหนึ่งเอาไว้เป็นเสบียงให้พวกนางกินระหว่างทาง อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่าโจวฝากไปให้โจวเหวิน

ตอนนี้โจวเหวินไปฝากตัวเป็นศิษย์ช่างไม้อยู่ในตัวเมือง

ความเป็นอยู่ของโจวเหวินในเมืองนับว่าไม่สบายเท่าใดนัก การเป็นศิษย์นั้นไม่ได้ค่าจ้าง และโจวเหวินต้องทำงานทั้งงานหนักงานสัพเพเหระทุกอย่าง

ตอนนี้เขาอายุ 17 ปีแล้ว นับตามอายุก็น่าจะหมั้นหมายได้ แต่สภาพครอบครัวอย่างตระกูลโจวคงไม่มีใครอยากแต่งเข้ามาหรอก

กลัวว่าบุตรสาวตัวเองแต่งเข้ามาจะลำบากก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งต้องเลี้ยงน้องสามีที่แต่งไม่ออก แถมยังมีพี่สะใภ้ก้าวร้าวอีกด้วย

บุตรสาวบ้านดี ๆ ที่ไหนจะอยากดองกับตระกูลโจว?

แต่โชคดีที่โจวเหวินเป็นคนเอาถ่าน เขาคิดไว้แล้วว่าจะเหน็ดเหนื่อยลำบากแค่ไหนก็ต้องทน รอให้เรียนจนสำเร็จวิชาช่างไม้ก่อน เขาจะได้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ถึงตอนนั้นชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้านจะได้ดีขึ้น

พอมาถึงตัวเมือง จางซิ่วเอ๋อก็ฝากตะกร้าไผ่ไว้ที่จุดจ้างรถลาก ตรงนี้มีคนรอรับลูกค้าไม่น้อย อยากให้พวกจางซิ่วเอ๋อจ้างรถของพวกเขากลับแทบแย่ แค่ช่วยเฝ้าของให้ใครจะไม่ทำบ้าง

อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ของมีค่าอะไร ผักนิดหน่อยบ้านไหน ๆ ก็มี จางซิ่วเอ๋อไม่กลัวโดนขโมยหรอก

ฝากของเสร็จแล้วจึงเดินตัวเบาไปยังที่ที่โจวเหวินฝากตัวเป็นศิษย์

สถานที่นั้นหาง่ายมาก ถามไถ่ครู่เดียวก็รู้ เป็นหน้าร้านไม่เล็กไม่ใหญ่ มีโต๊ะเก้าอี้ที่ต่อเสร็จแล้วมากมายอยู่ด้านนอก

โจวเหวินกำลังผ่าไม้ท่อนหนึ่งอยู่หน้าประตู

แม่โจวเห็นโจวเหวินแต่ไกลจึงร้องเรียก “เหวินเอ๋อร์!”

“พี่หญิงรอง! ท่านเองเหรอ!” โจวเหวินรู้ตัวทันที มองแม่โจวอย่างตื้นตัน

หลายวันก่อนตอนหยางชุ่ยฮวามาขายปลา นางก็ได้เล่าเรื่องแม่โจวกลับมาให้โจวเหวินฟังแล้ว โจวเหวินจึงไม่แปลกใจสักนิดที่เจอแม่โจว

โจวเหวินเช็ดมือพลางกล่าว “พี่หญิง รอข้าเดี๋ยวนะ”

หลังจากที่โจวเหวินเข้าไปแล้วก็ขอลากับเถ้าแก่ “ท่านอาจารย์ พี่สาวข้ามา ข้าอยากขอตัวออกไปสักหนึ่งชั่วยาม……”

“ครึ่งชั่วยามพอ นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว รีบไปรีบกลับ! อย่าทำให้ข้าเสียเรื่อง!” เถ้าแก่พูดอย่างไม่เต็มใจ

โจวเหวินรีบรับคำยิ้ม ๆ “ขอรับ!”

ฝ่ายจางซิ่วเอ๋อเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ เราไปนั่งที่ร้านเกี๊ยวน้ำกันเถอะ ออกมาตอนเช้าเราไม่ค่อยได้กินอะไรเลย กินซาลาเปากับเกี๊ยวน้ำ จะได้คุยกับท่านน้าเล็กด้วย”

“นี่ซิ่วเอ๋อใช่ไหม? โตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย! โจวเหวินมองจางซิ่วเอ๋อยิ้ม ๆ

โจวเหวินไม่ได้โตไปกว่าจางซิ่วเอ๋อเท่าไหร่ ไม่เจอกัน 5 ปี ทั้งสองมีความเปลี่ยนแปลงไปทั้งคู่

แม่โจวบอกยิ้ม ๆ “ก็ใช่น่ะสิ นี่ชุนเถาและซานหยา สวัสดีท่านน้าเล็กเร็ว”

“สวัสดีเจ้าค่ะท่านน้าเล็ก” ชุนเถาและซานหยาเรียกอย่างมีมารยาท

โจวเหวินหัวเราะ เขาตากแดดจนผิวคล้ำ ยิ้มทีเผยให้เห็นเขี้ยว หน้าตาไม่ได้หล่อเหลานัก แต่ถือว่าเป็นชายหนุ่มสดใสร่าเริงคนหนึ่ง

รู้สึกได้ว่าถึงแม้ชีวิตของโจวเหวินจะลำบาก แต่เขามองโลกในแง่ดีมาก

คนแบบนี้ไม่ค่อยโชคร้ายนักหรอก

อย่างเถ้าแก่ร้านไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องเข้มงวดไม่มีเหตุผล แต่เวลาอยู่กับโจวเหวินก็ใจดีกว่าปกติ

เพราะทุกครั้งที่เขาสั่งให้โจวเหวินทำอะไร โจวเหวินไม่เคยโอดครวญว่าเหนื่อยว่าลำบาก มีแต่ยิ้มรับ

ต่อให้เถ้าแก่จะจิตใจเย็นชาเพียงใด ก็ต้องอ่อนลงบ้าง จึงไม่ใจร้ายกับโจวเหวินมากนัก

อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ เมื่อก่อนก็มีคนเป็นศิษย์ที่ร้าน แต่นอกจากโจวเหวินไม่มีใครขอลาครึ่งชั่วยามได้

ทั้งหมดมาถึงร้านเกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวน้ำถ้วยละ 10 เหรียญ จางซิ่วเอ๋อสั่งมา 5 ถ้วยพร้อมรอยยิ้ม

โจวเหวินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่มีเงินติดตัว ถ้ากินข้าวตอนนี้ก็ต้องให้แม่โจวจ่ายให้ เขาไม่อยากใช้เงินของแม่โจว

จางซิ่วเอ๋อดูออกว่าโจวเหวินลังเล นางจ่ายเงินไปพลางกล่าวยิ้ม ๆ “ท่านน้าเล็ก นั่งเร็วเจ้าค่ะ เราจะกินไปด้วยคุยไปด้วย”

โจวเหวินเอ่ยเสียงทุ้ม ๆ “ได้”

จางซิ่วเอ๋อกังวลว่าชายหนุ่มผู้นี้จะไม่สบายใจ จึงบอกยิ้ม ๆ “ท่านน้าเล็ก ท่านเรียนเสร็จเมื่อไหร่ต้องทำเก้าอี้ให้ข้าสองตัวนะ แล้วก็พวกตู้เก็บของด้วย ตอนนี้บ้านข้าไม่มีข้าวของอะไรเลย”

โจวเหวินได้ฟังก็ตาเป็นประกาย “เก้าอี้ข้าทำได้เลย อีกสักสองสามวันตอนอาจารย์ให้ข้ากลับบ้าน ไว้ข้าจะทำให้นะ”

จางซิ่วเอ๋อได้ฟังก็หัวเราะ “รบกวนท่านน้าเล็กด้วยนะเจ้าคะ”

พอรู้ว่าตัวเองมีประโยชน์ โจวเหวินก็เลิกเกรงใจ

ทั้งหมดกินเกี๊ยวน้ำกับซาลาเปาที่ยังไม่เย็น สุดท้ายไม่ลืมซดน้ำแกงด้วย

เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปไวมาก ไม่นานนักโจวเหวินก็เอ่ยขึ้น “ข้าต้องกลับไปแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะไม่พอใจเอา”

แม่โจวไม่ได้เจอโจวเหวินนานมาก เวลานี้ยังอยากคุยกับโจวเหวินอยู่ แต่ก็คิดว่าจะให้โจวเหวินโดนด่าไม่ได้ จึงเอาซาลาเปาอีกครึ่งที่เหลือมาห่อและยื่นให้โจวเหวินเก็บไว้กินตอนกลางคืน

โจวเหวินรับซาลาเปาไว้และเดินกลับไป

พอมาถึงร้าน โจวเหวินก็ทำการแบ่งซาลาเปา เขาเก็บไว้เองสองลูก สี่ห้าลูกที่เหลือเขาเอาไปให้เถ้าแก่

“ท่านนอาจารย์ พี่หญิงรองข้ามาเยี่ยม เอาของกินมาให้ข้าด้วย ถึงจะไม่ใช่แป้งขาวล้วนแต่เป็นไส้เนื้อนะ อาจารย์โปรดอย่ารังเกียจเลยขอรับ” โจวเหวินยื่นซาลาเปาให้พลางกล่าว

………………………………………