บทที่ 105 ซื้อป้ายวิญญาณ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 105 ซื้อป้ายวิญญาณ

เถ้าแก่มองโจวเหวินและรับซาลาเปามา

เขารู้ว่าบ้านโจวเหวินเป็นอย่างไร และยิ่งรู้ว่าสำหรับโจวเหวินแล้วซาลาเปานี่ใช่ว่าได้มาง่าย ๆ แถมสองวันก่อนตระกูลโจวยังแวะเอาปลาตัวใหญ่มาให้เขาด้วย เขาจึงไม่เห็นว่าโจวเหวินขัดหูขัดตา เถ้าแก่รับซาลาเปามาและกล่าว “เอาล่ะ ครั้งหน้าถ้าที่บ้านเจ้ามีคนมาหาอีกข้าก็ให้ออกไปอยู่ดีแหละ”

โจวเหวินกล่าวยิ้ม ๆ “อาจารย์ ท่านนี่เป็นคนดีจริง ๆ! ขอบคุณนะขอรับ!”

เถ้าแก่ผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องใจดำ ตอนนี้ได้ยินโจวเหวินเอ่ยชมจึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่น้อย

เขากระแอมเบา ๆ “ยอข้าน้อย ๆ ทำงานเยอะ ๆ! ข้าก็พอใจแล้ว!”

โจวเหวินรีบบอกยิ้ม ๆ “ขอรับ ข้าจะไปทำงานเดี๋ยวนี้!”

หลังจากส่งโจวเหวินเสร็จ จางซิ่วเอ๋อก็คิดไตร่ตรองก่อนจะไปร้านขายโลงศพ

ทุกคนต่างอึ้งไปเมื่อเห็นจางซิ่วเอ๋อมาร้านขายสินค้าสำหรับคนตาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจางซิ่วเอ๋อจะทำอะไร

จางซิ่วเอ๋อจึงอธิบาย “ข้าจะตั้งป้ายวิญญาณให้คุณชายเนี่ย”

แม่โจวได้ยินก็มีสีหน้าเศร้าสลด “ก็สมควรอยู่ ต่อให้คนตระกูลเนี่ยไม่ดีขนาดไหน ตอนนี้เจ้าก็เป็นลูกสะใภ้ตระกูลเนี่ย เจ้าเป็นเด็กมีคุณธรรม วันหน้าใครได้แต่งงานกับเจ้าต้องโชคดีแน่ ๆ”

จางซิ่วเอ๋อไม่กล้าบอกแม่โจวว่าที่ตัวเองตั้งป้ายวิญญาณให้เพราะตั้งใจจะแอบอ้างชื่อเสียง

ที่นี่มีป้ายวิญญาณว่างมากมาย หากใครจะซื้อเถ้าแก่ก็จะหยิบชาดแดงมาเขียนให้

“พี่สาวคนนี้จะตั้งป้ายวิญญาณให้ใครในบ้านรึ?” เถ้าแก่เห็นแม่โจวอายุเยอะสุดจึงเอ่ยถาม

จางซิ่วเอ๋อกล่าว “ตั้งป้ายวิญญาณให้สามีข้า”

เถ้าแก่มองจางซิ่วเอ๋ออย่างพินิจ เห็นว่าจางซิ่วเอ๋ออายุไม่มาก ทรงผมก็ดูไม่ออกว่าแต่งงานแล้ว

หากจางซิ่วเอ๋อไม่พูดออกมาเอง เถ้าแก่คนนี้คงนึกว่าจางซิ่วเอ๋อยังไม่ออกเรือน

เถ้าแก่ร้านโลงศพเห็นจางซิ่วเอ๋อเป็นแม่ม่ายตั้งแต่อายุยังน้อยก็นึกสงสาร เขาถามเสียงนุ่มนวล “ไม่ทราบว่าสามีที่ตายไปของเจ้าชื่ออะไรรึ?”

พอเถ้าแก่ร้านโลงศพถาม จางซิ่วเอ๋อก็ตอบไม่ได้

นางพยายามนึก ไอ้คนขี้โรคตายไวนั่นชื่ออะไรนะ? มาถึงตอนนี้จางซิ่วเอ๋อเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองรู้เพียงว่าเขาแซ่เนี่ย เรื่องอื่นนั้นไม่รู้อะไรเลย

บางทีจางซิ่วเอ๋อเจ้าของร่างอาจจะรู้ แต่ไม่ได้ทิ้งความทรงจำส่วนนี้ไว้ให้นาง

บางทีเมื่อก่อนนางอาจจะจำได้ แต่รู้สึกว่าเป็นคนไม่สำคัญจึงลืมในภายหลัง

เมื่อก่อนจางซิ่วเอ๋อไม่คิดว่าตัวเองมีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณชายเนี่ย จึงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้

จางซิ่วเอ๋อเอ่ยเสียงเบา “ข้าอ่านหนังสือไม่ออก ไม่รู้ว่าอักษรพวกนั้นเขียนอย่างไร…..”

จางชุนเถาที่อยู่ข้าง ๆ พลันเอ่ยขึ้น “ข้ารู้”

จางซิ่วเอ๋อมองจางชุนเถาอย่างแปลกใจระคนดีใจ ตอนแรกนางคิดจะบอกว่าตัวเองจะตั้งป้ายวิญญาณให้ลูกชายเจ้าของที่ตระกูลเนี่ย บางทีเถ้าแก่คนนี้อาจจะรู้ว่าคุณชายเนี่ยชื่ออะไร

อย่างไรเสียเจ้าของที่ตระกูลเนี่ยก็เป็นคนมีชื่อเสียงในละแวกนี้

จางชุนเถาเอ่ยขึ้น “หย่วน ที่มาจากสงบจิตสงบใจจึงจะทำตามฝันอันกว้างไกลได้ เฉียว ที่มาจากนกที่บินจากหุบเขาไปบนยอดไม้ได้แต่ยังไม่ลืมเพื่อนฝูง”

จางซิ่วเอ๋อมองจางชุนเถาตาโต คิดไม่ถึงเลยว่าจางชุนเถาจะพูดประโยคที่ลึกล้ำขนาดนี้ได้

จางชุนเถาเองก็อ่านหนังสือไม่ออกนะ

สัมผัสได้ถึงความกังขาจากจางซิ่วเอ๋อ จางชุนเถาเอ่ยเสียงค่อย “ตอนแม่สื่ออ้วนมาสู่ขอพี่ที่บ้านเรา นางพูดประโยคมงคลไว้เยอะ นางอธิบายความหมายในชื่อของคุณชายเนี่ยให้ฟังด้วย บอกว่าพี่สองคนเหมาะสมกันทั้งจากชื่อหรือแผนผังพลังชี่……”

พูดมาถึงตรงนี้จางชุนเถาชะงัก “ข้าไม่เข้าใจความหมายหรอก แต่จำประโยคนี้ได้”

จางชุนเถามองเถ้าแก่พลางเอ่ย “จากประโยคนี้ ท่านพอฟังรู้ใช่ไหมว่าอักษรตัวไหน?”

“รู้ ๆ” เถ้าแก่ร้านโลงศพเคยเรียนหนังสือ อย่างไรเสียบางครั้งบางคราวเขาต้องเขียนเรียงความแสดงความอาลัยเพื่อหาเงิน

เถ้าแก่ร้านโลงศพเป็นคนมีความสามารถ โชคดีที่จางซิ่วเอ๋อมาเจอเขา ไม่อย่างนั้นนางคงกระอักกระอ่วนน่าดู

“สามีที่ตายไปของเจ้าชื่อเนี่ยหย่วนเฉียวเหรอ?” เถ้าแก่ถามอีกครั้งเพื่อยืนยัน หากเขียนป้ายผิดคงแย่แน่

จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า

จากนั้นเถ้าแก่จึงหยิบพู่กันชาดแดงขึ้นมาเขียนป้ายวิญญาณ

ที่จริงมีวิธีสลักอักษรบนนั้นก่อนแล้วค่อยย้อมสี แต่แบบนั้นแพงกว่า จางซิ่วเอ๋อคิดว่าแบบนี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียตำลึงมากมายบนเรื่องแบบนี้

จางซิ่วเอ๋อที่กล้าใช้เงินมาตลอดกลับงกในเวลานี้

ไม่นานนัก ป้ายวิญญาณที่เขียนว่า ‘ป้ายแห่งสามีเนี่ยหย่วนเฉียว’ ก็เสร็จ ด้านข้างมีตัวอักษรเล็ก ๆ อีกแถวว่า ‘แม่จางเป็นผู้ตั้งป้าย’

จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมาแล้วก็ซื้อกระดาษเงินกระดาษทองและเทียนเพิ่ม จะเล่นละครทั้งทีก็ต้องเล่นให้ครบชุด

หลังจากออกมาจากร้านโลงศพ จางซิ่วเอ๋อพาทุกคนเดินเล่นอยู่ในเมือง นางคิดไปคิดมาก่อนจะไปซื้อชุดชั้นในผ้าฝ้ายอ่อนให้แม่โจวและจางซานยาที่ร้านผ้า

เสื้อผ้าที่ใส่ด้านนอกนางไม่กล้าให้พวกนางใส่แบบดี ๆ ใส่ไปก็รักษาไว้ไม่ได้

แต่เสื้อด้านในคนตระกูลจางจะหน้าด้านแย่งเหรอ

แม่โจวปฏิเสธไม่ได้ ได้แต่รับไว้

จางซิ่วเอ๋อไปซื้อเนื้อกับพ่อค้าซุนอีก คราวนี้นอกจากเนื้อสามชั้น 2 ชั่ง จางซิ่วเอ๋อยังซื้อขาหมูอีกสี่ขาบวกกับเครื่องในพวงหนึ่ง

จากนั้นนางก็ซื้อพวกแป้งด้วยแล้วถึงยอมจบการซื้อ ยิ่งตอนที่เห็นข้าว และนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้กินข้าวนานแล้วจึงกัดฟันซื้อมาด้วยนิดหน่อย

ความเร็วในการใช้เงินของจางซิ่วเอ๋อทำให้แม่โจวเห็นแล้วปวดฟัน

ก่อนกลับ แม่โจวจะคืนตำลึงเงินในมือที่เหลือให้จางซิ่วเอ๋อ

จางซิ่วเอ๋อให้ไปแล้วก็ไม่คิดจะเอาคืน “แม่ เก็บไว้ใช้เถอะ”

พูดมาถึงตรงนี้จางซิ่วเอ๋อก็เอ่ยเสริมอย่างเป็นห่วง “แต่แม่อย่าให้คนอื่นรู้นะ คนอย่างท่านย่าข้าถ้ารู้ว่าแม่มีเงินนะ แค่ขอไปไม่เท่าไหร่หรอก ข้าว่านางต้องโวยวายให้เป็นเรื่องอีกแน่ ๆ”

แม่โจวจะไม่รู้สิ่งที่จางซิ่วเอ๋อกังวลได้อย่างไร จึงเอ่ยขึ้นทันที “ซิ่วเอ๋อ ที่เจ้าพูดมาข้าเข้าใจ”

“แต่เงินนี่แม่เอาไปแล้วมันร้อนมือนะ” แม่โจวหน้าแดงเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองเอาแต่ใช้เงินลูกสาว

จางซิ่วเอ๋อเลิกคิ้วสูง “เงินจะร้อนได้อย่างไรเจ้าคะ คนเป็นแม่ใช้เงินลูกสาวมันทำไมรึ? ท่านแม่ ถ้าข้าเป็นบุตรชายทำก็จะไม่คิดแบบนี้ใช่ไหม ในใจแม่ก็ยังไม่ชอบลูกสาวอย่างพวกเราอยู่ดี”

แม่โจวได้ฟังก็รีบบอก “เจ้าพูดอะไรโง่ ๆ แม่เก็บไว้ก็ได้”

จางซิ่วเอ๋อมองแม่โจวและยิ้มตาหยี

แม่โจวเพิ่งรู้ตัวทีหลังว่าตกหลุมพรางจางซิ่วเอ๋อ นางเอ่ยเสียงงอน ๆ “เจ้านี่นะ”

“ท่านแม่ ในเมื่อพี่ใหญ่กตัญญูแม่ ท่านก็เก็บไว้เถอะ” จางชุนเถาเสริม

จางซิ่วเอ๋อมองจางชุนเถาอย่างชื่นชม

แม่โจวซ่อนหนึ่งเศษตำลึงเงินไว้ที่ตัวอย่างละเอียด รู้สึกว่าไม่มีใครมาเจอได้ง่าย ๆ แล้วถึงหยุด

………………………………………